ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 140 แต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสม
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 140 แต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสม
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับว่า อื้ม เสียงเบา และพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ให้เจ้าเดินเข้าไปก่อน ข้าค่อยไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลงจากรถม้าทันที พร้อมก้าวยาวเข้าไปในจวร ดูจนกระทั่งนางลับสายตา หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งให้คนรถพากลับจวน
เมื่อถึงประตูจวนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กลับเรือนของตนทันที แต่ไปที่เรือนของเมิ่งฉีแทน เมื่อเห็นว่าภายในห้องยังมีไฟสว่างอยู่ จึงยืนถามอยู่ในบริเวณเรือนว่า “พี่รอง ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านเข้านอนแล้วหรือยัง”
เสียงของเมิ่งฉีดังออกมาจากห้อง “เข้ามาสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง เมิ่งฉีกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะในห้อง บนโต๊ะมีสมุดบัญชีวางอยู่
“พี่ทำเช่นนี้จะเหนื่อยเกินไปนะเจ้าคะ เราจ้างคนทำบัญชีเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง
เมิ่งฉีรวบสมุดบัญชีและวางกองไว้อีกด้าน “ไม่ต้องหรอก ข้าตรวจสอบสมุดบัญชีทกวัน เช่นนี้เมื่อถึงสิ้นเดือนแล้วก็จะง่ายต่อการคิดบัญชี”
เมื่อพูดจบจึงถามต่อว่า “เรื่องงานแต่งของอี้เซวียนยกเลิกไปแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ยกเลิกแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าวันนี้จวนอ๋องเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”
เมิ่งฉีมองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง แน่นอนว่านางได้ปิดบังเรื่องที่ได้ฆ่าคนตายไปเมื่อครานั้น
เมื่อเมิงฉีได้ยินจึงตกใจเป็นอย่างมาก พูดว่า “เรื่องน่าตกใจอะไรเช่นนี้ พระสนมทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เชียวหรือ อ๋องฉีมิได้ฆ่าแกงนางใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ อ๋องฉีขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือไม่ยอมออกมา หวงฝู่อวี้เองก็นั่งคุกเข่าขอร้องแทนพระสนมอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอ๋องฉีจะตัดสินใจเช่นไร”
“ไม่ว่าจะทำการตัดสินใจเช่นไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของเรา นับแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องไปที่จวนอ๋องอีก เพื่อความปลอดภัย” เมิ่งฉีสั่งนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูดว่า “คงเป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ วันพรุ่งพระชายาและแม่ทัพฉู่จะไปทำการสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง ข้าเองก็ต้องติดตามไปด้วย”
เมิ่งฉีย่นคิ้ว คิดเล็กน้อยจึงพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วันพรุ่งเจ้าตรงไปที่จวนท่านแม่ทัพเลย ให้ชิงหลวนไปส่งข่าวให้อี้เซวียน พวกเจ้าไปพบกันที่นั่นก็พอ”
รู้ว่าเมิ่งฉีพูดไปเพราะเป็นห่วงเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ขัดข้องอะไร พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“ค่ำแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าตรวจสอบบัญชีวันนี้เสร็จเรียบร้อยก็จะไปพักผ่อนเช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า และกลับไปยังจวนของตน
ชิงหลวนและจูหลีทำตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อกลับถึงเรือนก็ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตนเองทันที จากนั้นก็ไปจุดไฟในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว และยืนรออยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับมา จึงรีบเปิดม่านประตูให้นางอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องรับใช้ข้าแล้ว วันพรุ่งยังมีเรื่องต้องทำอีก”
ทั้งสองตอบรับ รอจนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง จึงค่อยกลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนของตนเอง
ได้นอนพักในจวนอ๋องไปแล้วครู่หนึ่ง ยามนี้แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความรู้สึกง่วง แต่นางก็ยังคงนอนลงบนเตียง และหลับตาลง นึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ คิดไปคิดมา แล้วจึงผล็อยหลับไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ถึงเวลาฝึกซ้อมยามเช้าเสียแล้ว นางสวมใส่เสื้อผ้าและลุกจากเตียง เมื่อออกไปก็พบว่าชิงหลวนและจูหลีได้มาคอยท่าอยู่แล้ว
ทั้งสามเดินออกจากบริเวณจวนของเมิ่งเชี่ยนโยว เดินมายังบริเวณว่างของจวนดังเคย กัวเฟยและเหล่าองครักษ์ได้เดินทางมาถึงแล้ว เมื่อยืดเส้นยืดสายเสร็จ เหล่าองครักษ์บ้างก็เริ่มฝึกต่อสู้กัน บ้างก็ฝึกวิชาคนเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ทั้งหมดจึงหยุดลงพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว ต่างแยกย้ายกันไปชำระล้างเนื้อตัวที่ที่พักของตน
ชิงหลวนและจูหลีนำน้ำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจึงค่อยกลับไปชำระร่างกายที่ห้องของตน เมื่อทุกคนทำธุระเสร็จ เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ครัวได้เตรียมสำรับเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว
เมิ่งฉีก็ตื่นแล้ว
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนเสร็จเรียบร้อยเมิ่งฉีและองครักษ์สองสามคนก็ได้นั่งรถม้าเดินทางไปยังโรงฝีมือ องครักษ์ประจำร้านแป้งมันฝรั่งก็เตรียมตัวไปที่ร้านด้วยเช่นกัน
เมิ่งฉีสั่งกัวเฟยว่า “อีกหนึ่งชั่วโมงพวกเราจะไปจวนท่านแม่ทัพ เจ้าเตรียมรถม้าเอาไว้ให้ดี”
กัวเฟยรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินกลับเข้าเรือนของตนเอง ไปตำยาสมุนไพรกับชิงหลวนและจูหลีอยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว ชิงหลวนและจูหลีจึงได้ลุกขึ้นล้างไม้ล้างมือ และช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งตัว
วันปกติแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องให้พวกนางมาช่วย แต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นเคย เพราะงานวันนี้ค่อนข้างสำคัญ นางจึงยอมตามใจทั้งสอง แต่ก็ยังสั่งว่า “อย่าแต่งเสียจนเกินหน้าไปล่ะ แต่งให้ดูสำรวมเสียหน่อยก็พอ”
ทั้งสองรู้ดีเรื่องรสนิยมในการแต่งตัวของนาง เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบกระจกมาให้นางส่อง
เมื่อส่องกระจกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างพอใจ จึงพาทั้งสองออกจากจวนไป
กัวเฟยเตรียมรถม้าเอาไว้ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะขึ้นรถม้า ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาจากไกลๆ เมื่อเห็นว่ามีสัญลักษณ์ของจวนอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยืนตรงขึ้น
รถม้ามาหยุดตรงหน้าของนาง ม่านของรถถูกเปิดขึ้น ใบหน้างดงามของหวงฝู่อี้เซวียนปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาง “เมื่อข้ารู้ว่าเจ้าจะตรงไปยังจวนท่านแม่ทัพ ข้าจึงตั้งใจมารับเจ้าไปด้วยกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าของเขาไป คนรถกลับรถ และเดินรถไปยังจวนท่านแม่ทัพ กัวเฟยก็ได้เดินรถม้าตามหลังมาด้วย
ในรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนพูดว่า “ข้าและเสด็จแม่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว รออยู่กว่าชั่วโมง ไม่เห็นวี่แววของเจ้า จึงคาดว่าเจ้าคงจะเดินทางไปที่บ้านของท่านอาโดยตรง ข้าจึงมารับเจ้า ส่วนเสด็จแม่ได้เดินทางไปก่อนแล้ว”
“พระชายาต้องดีใจเป็นแน่ใช่ไหมเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เมื่อคืนหลังจากที่ข้ากลับไป ก็บอกท่านเรื่องนี้ เสด็จแม่ดีใจเสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน พูดตลอดว่าในที่สุดจวนท่านแม่ทัพก็จะมีนายหญิงเสียที ท่านเองก็ถือว่าได้ตอบแทนบรรพบุรุษแล้ว”
“จริงด้วย หลายปีมานี้ ท่านแม่ทัพได้แต่ตามหาเจ้า จนไม่มีเวลาได้หาภรรยา นี่ก็เป็นเรื่องหนักใจอีกเรื่องของพระชายา บัดนี้เรื่องการแต่งงานของแม่ทัพลงตัวแล้ว พระชายาก็คงจะวางใจเรื่องนี้ได้เสียที” พูดจบก็พูดต่อว่า “อีกอย่างน้องซูเอ๋อร์เองก็เป็นที่พอใจของท่าน ท่านก็คงจะมีความสุขขึ้นเป็นแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนหยอกล้อนางว่า “ยังเรียกน้องซูเอ๋อร์อยู่อีกหรือ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปเรียกว่าน้าสะไภ้แทนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าลืมเรื่องบรรดาศักดิ์ไปเสียเลย จริงด้วย จากนี้ต้องเรียกว่าท่านน้าแล้ว อย่างนี้ก็ดี รอถึงตรุษจีนพวกเราก็สามารถขออั่งเปาจากนางได้แล้ว”
หลายปีมานี้นิสัยชอบอั่งเปาช่วงตรุษจีนของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยเปลี่ยนไป ขอเพียงแค่เป็นอั่งเปา แม้ว่าด้านในจะมีเงินเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้นางมีความสุขได้ หวงฝู่อี้เซวียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงหลงไหลในอั่งเปาเช่นนี้ จึงยิ้มและพูดว่า “ไม่เพียงแค่นาง กับเสด็จแม่ของข้าเองก็ไม่อาจปล่อยผ่านได้ จะต้องให้ทั้งสองเตรียมอั่งเปาสองซองใหญ่เอาไว้เสียแล้ว” พูดจบ ก็เสริมอีกประโยคว่า “ส่วนอั่งเปาของข้าจะให้เจ้าทั้งหมดเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข หวงฝู่อี้เซวียนกระพริบตาถี่ ในใจรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อยากจะกดนางลงบนรถแล้วจูบแรงๆ เสียให้เข็ด แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกครูjมีเรื่องสำคัญต้องทำ หากริฝีปากของนางบวมขึ้นมา จะเป็นที่นินทาของผู้อื่นได้ จึงพยายามหักห้ามใจของตัวเองเอาไว้ และหันไปถลึงตาให้เมิ่งเชี่ยนโยวแทน
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวถูกถลึงตาใส่อย่างไร้ที่มาที่ไป จึงได้ผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เดาความคิดของเขาได้ จึงเอามือป้องปากแอบยิ้มคนเดียว
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนดุขึ้นมา เป็นการข่มขู่นางโดยไร้เสียง ราวกับจะบอกว่าหากนางยังกล้าหัวเราะต่อไป เขารับรองว่าจะทำให้นางยิ้มไม่ออกเป็นแน่
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้มอย่างรู้ตัว นั่งลงอย่างเรียบร้อย
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะผิดหวัง แต่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
รถม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนท่านแม่ทัพ หวงฝู่อี้เซวียนลงรถม้าไปก่อน และก็ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถ
เมื่อยามเฝ้าประตูเห็นพวกเขาก็เข้ามาทำความเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านแม่ทัพได้สั่งเอาไว้ว่าหากพวกท่านมาถึงแล้ว ให้เดินทางไปที่เรือนหลักได้เลย ท่านและพระชายากำลังรอพวกท่านอยู่ที่นั่น”
ทั้งสองจูงมือกัน เดินทางมาถึงจวนหลัก ในนั้นเต็มไปด้วยสิดสอดทองหมั้น กล่องทุกกล่องถูกเปิดฝาออกหมด เหล่าเครื่องเพชรเงินทองสะท้อนแสงแวววาวใต้แสงอาทิตย์ พ่อบ้านกำลังตรวจสอบของทีละกล่องอยู่ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงได้ทำความเคารพ “ซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งเดินทางมาถึงแล้วหรือ เชิญให้เข้าไปนั่งในห้องก่อนขอรับ ท่านแม่ทัพและพระชายาฉีกำลังรอพวกท่านอยู่ด้านใน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองสิดสอดทองหมั้นที่วางอยู่เต็มจวน จึงถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ของเยอะเช่นนี้ ท่านแม่ทัพคงมิได้ขนเอาทรัพย์สมบัติเก่าของตระกูลออกมาจนสิ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“หลายปีมานี้ ท่านอาทำคุณงามความดีไว้มาก ฮ่องเต้จึงมอบรางวัลและเครื่องเงินเครื่องทองให้เขาไม่น้อย อีกอย่างเงินเดือนของท่านน้าก็สูง ค่าใช้จ่ายในจวนไม่มากมาย ของนี่เป็นเพียงสมบัติส่วนหนึ่งเท่านั้น”
“พระเจ้าช่วย” เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “สมบัติของท่านแม่ทัพมีมากถึงเพียงนี้ ภายหน้าน้องซูเอ๋อร์คงสบายแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงตัว ก้มลงไปใกล้หูนางและพูดว่า “เจ้ามิต้องอิจฉานางหรอก สมบัติของจวนอ๋องมีเยอะกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็นของเจ้าทั้งสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองค้อนเขาไปหนึ่งที
เมื่อพระชายาได้ยินเสียงของทั้งสองพูดคุยกัน จึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “รีบเข้ามาเถิด กำลังรอพวกเจ้าอยู่พอดี”
ทั้งสองเดินเข้ามาในห้อง พระชายาแต่งตัวสง่างามนั่งอยู่ที่ตำแหน่งหลักของห้อง ฉู่เหวินเจี๋ยสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมนั่งอยู่ด้านข้าง
เมื่อเห็นฉู่เหวินเจี๋ยแต่งตัวเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะพร้อมพูดว่า “ท่านแม่ทัพเจ้าคะ วันนี้ท่านคงมิแต่งตัวเช่นนี้ไปสู่ขอที่จวนเฝิงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ก้มลงมองการแต่งตัวของตนเอง ฉู่เหวินเจี๋ยคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงเงยหน้าถาม “ข้าแต่งตัวเช่นนี้ไม่เหมาะสมหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงหนักแน่นว่า “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“อย่างไรหรือ”
“ท่านเป็นถึงท่านแม่ทัพ แต่กลับสวมใส่ชุดของชาวบ้านธรรมดาไปสู่ขอ ท่านจะให้คนที่เมืองหลวงคิดกันอย่างไรเจ้าคะ คงจะต้องคาดเดากันไปว่าท่านมิให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ และคงจะต้องมีคนช่างสงสัยไปเที่ยวถามไถ่ ถึงตอนนั้นหากเรื่องของท่านและน้องซูเอ๋อร์แพร่ออกไป จะมีคนพูดได้ว่าท่านสู่ขอซูเอ๋อร์เพราะเสียมิได้ หากซูเอ๋อร์ยอมแต่งงานกับท่านเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะถูกเหล่าภรรยาของชนชั้นสูงดูถูกเอานะเจ้าคะ”
เมื่อนางพูดจบ พระชายาก็ทุบหัวตนเองอย่างเสียกิริยา กล่าวว่า “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าเกรงว่าทางจวนเฝิงจะคิดว่าพวกเราใช้อำนาจไปข่มขู่ จึงได้ให้ฉู่เหวินเจี๋ยสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่กลับมิได้คิดถึงขั้นนี้เลย”
“ใช้อำนาจข่มขู่แล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ วันนี้พวกเราก็ใช้อำนาจเข้าสู้จริงๆ ให้ผู้คนทั้งเมืองหลวงได้รู้ว่า ท่านแม่ทัพให้ความรักซูเอ๋อร์ จะสู่ขอนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น ภายหน้าหากต้องไปร่วมงานใหญ่โต เหล่าภรรยาที่สำคัญตนพวกนั้น ก็จะไม่สามารถดูแคลนนางเพราะนางอายุน้อยกว่าได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างยิ้มๆ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นด้วย “โยวเอ๋อร์พูดถูก ไม่เพียงแต่เท่านี้ ขบวนขันหมากจะทำแบบเล็กๆ ไม่ได้ อย่าให้คนนอกมองมาแล้วคิดว่าท่านน้าทำอย่างลับๆ ล่อๆ ขบวนขันหมากจะต้องจัดอย่างยิ่งใหญ่”
พระชายาเห็นงามกับความเห็นของทั้งสอง จึงพูดว่า “เหวินเจี๋ย ทำตามที่พวกเขาบอกเถิด เจ้าไปเปลี่ยนเป็นชุดท่านแม่ทัพ และสั่งให้คนไปแจ้งเหล่านายพลของกองทัพให้มารวมตัวกัน การสู่ขอครั้งนี้ พวกเราจะต้องสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง จะต้องให้จวนแม่ทัพและจวนตระกูลเฝิงได้หน้าอย่างเต็มที่”
ฉู่เหวินเจี๋ยอยู่ในค่ายทหารมาหลายปี พบปะอยู่แต่กับพวกชายฉกรรจ์ ไม่เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้มีเรื่องซับซ้อนเช่นนี้อยู่ เมื่อได้ยินพระชายาสั่ง จึงรีบยืนขึ้น ตะโกนเรียกลุงฝู “ลุงฝู เจ้าสั่งให้ม้าเร็วเดินทางไปที่ค่ายทหาร ไปแจ้งรองแม่ทัพชุยว่าข้าจะจัดขบวนขันหมากไปสู่ขอ ให้เขาจัดเตรียมพลทหาร 20 นายมาที่นี่ภายในครึ่งชั่วโมง”
ลุงฝูตอบรับอย่างดีใจ หันหลังเดินออกไป สั่งบ่าวไพร่คนหนึ่งให้ขี่ม้าไปแจ้งเรื่องที่ค่ายทหาร
ฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตนเอง พระชายา หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวสามคนนั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขก
ผู้รับหน้าที่ส่งข่าวเองก็เคยไปพลทหารมาก่อน หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงให้เขามาเป็นข้ารับใช้ในจวน ไม่นานก็ขี่ม้ามาถึงหน้าค่ายทหาร ลงจากม้า ผูกม้าเอาไว้ แสดงตัวตนกับพลทหารที่ดูแลอยู่หน้าประตู และบอกว่าท่านแม่ทัพต้องการส่งข่าวถึงท่านรองแม่ทัพชุย
พลทหารเฝ้าประตูไปไม่รอช้า รีบไปตามท่านรองแม่ทัพชุยออกมาทันที
เมื่อบ่าวไพร่จำเขาได้ จึงทำความเคารพเขา “ท่านรองแม่ทัพชุย ท่านแม่ทัพให้ข้ามาแจ้งท่านว่าวันนี้ท่านแม่ทัพจะยกขบวนขันหมากไปสู่ขอ ขอให้ท่านนำพลทหาร 20 นายไปร่วมขบวนด้วย
รองแม่ทัพชุยเบิกตากว้าง อึ้งไปครู่ใหญ่ จึงได้ถามอย่างไม่เชื่อว่า “ท่านแม่ทัพจะแต่งงานแล้วหรือ”
“วันนี้เพียงแต่ไปสู่ขอเท่านั้นขอรับ เกรงว่าขบวนขันหมากจะเล็กไป ฝ่ายหญิงจะไม่ยอมรับ” คนใช้ตอบกลับ แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนั้นเขาไปคาดเดาไปเอง
“ท่านแม่ทัพมีหญิงที่โปรดปรานตั้งแต่เมื่อใดกัน”
คนใช้ส่ายหน้า “ข้อนั้นข้อน้อยก็มิทราบขอรับ ท่านแม่ทัพสั่งว่า ให้ท่านนำพลทหารไปภายในครึ่งชั่วโมงขอรับ”
รองแม่ทัพชุยหยุดถาม แล้วพูดเสียงดังว่า “ได้ เจ้ากลับไปบอกท่านแม่ทัพว่า ภายในครึ่งชั่วโมงนี้ข้าจะไปถึง”