ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 151 หาเรื่อง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 151 หาเรื่อง
พลทหารทุกนายออกเสียงเรียกพร้อมกันว่า “นายหญิง”
เผชิญหน้ากับคนมากมายอย่างนี้ เฝิงจิ้งซูรู้สึกทำตัวไม่ถูก โดยสัญชาตญาณก็เริ่มค่อยๆ ขยับตัวไปทางฉู่เหวินเจี๋ย
ทหารทุกนายไม่คิดว่านายหญิงแม่ทัพจะเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามเช่นนี้ ดูท่าทางแล้วอายุไม่น่าเกินสิบห้าสิบหกปี ดูตัวเล็ก ยืนอยู่ข้างท่านแม่ทัพที่ตัวใหญ่ ยิ่งดูตัวเล็กเข้าไปอีก แม้ว่าสีหน้าที่แสดงออกมาจะจริงจังและน่าเคารพมากแค่ไหน ในใจของทุกคนต่างดีใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่ทัพของพวกเขาจะอดใจรอไม่ไหวต้องสู่ขอคนอื่นเขาภายในครึ่งเดือน นายหญิงคนนี้ที่ตัวเล็กๆ บางๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากปกป้องดูแลจริงๆ
ทหารทุกนายล้วนเป็นทหารที่อบรมมาด้วยตนเอง ฉู่เหวินเจี๋ยดูพวกเขาแต่ละคนทำตาโตๆ แสดงสีหน้าตกใจออกมา หลังจากนั้นทุกคนก้ยิ้นจนปากจะถึงปลายหูอยู่แล้ว ก็รู้แล้วว่าในใจของพวกเขาคิดอะไรอยู่ ในหน้าดำๆ ก็แดงระเรื่อขึ้นมา เสียงไอออกมากลบเกลื่อน ดึงดูดทุกสายตาให้มองมาทางตัวเอง แล้วกล่าวอย่างเสียงดังว่า “ต่อไปจวนแม่ทัพนี้ก็มีนายหญิงแล้ว หากใครอยากมาขอข้าวกิน ขอแค่ไม่ฝ่าฝืนกฎ ก็สามารถมากันได้”
สิ่งที่ทุกคนรอคอยก็คือคำนี้ ทุกคนออกเสียงดีใจพร้อมกัน
รอจนพวกเขาหัวเราะวุ่นวายไปสักพัก ฉู่เหวินเจี๋ยโบกมือ ทุกคนเงียบ “พอแล้ว รีบเข้าไปกินอาหารในจวนกันเถิด กินเสร็จแล้วก็รีบกลับค่ายทหารเสีย”
ทุกคนรับคำสั่ง
ฉู่เหวินเจี๋ยจูงมือเฝิงจิ้งซูเข้าไปข้างใน ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ฟ้ายังสว่างอยู่ ท่านก็อดใจรอไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือ”
ฉู่เหวินเจี๋ยสะดุดขา ใบหน้าของเฝิงจิ้งซูแดงก่ำขึ้นมาทันที ฉู่เหวินเจี๋ยหันหลังมองเขม่นนายพลทุกนาย กวาดสายตาผ่านใบหน้าของพวกเขาทุกคนหนึ่งรอบ กล่าวด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เพิ่มเวลาฝึกเข้าไปวันละหนึ่งชั่วโมงทุกวัน”
ทุกคนออกเสียงโอดครวญพร้อมกัน ฉู่เหวินเจี๋ยยิ้มมุมปากแล้วหันหลัง พาเฝิงจิ้งซูกลับไปที่ห้องหอ ด้านหลังนายพลทุกนายพุ่งเข้าไป ทุบตีเตะต่อยนายพลที่พูดมากเมื่อกี้ นายพลที่พูดคิดว่าวันนี้ฉู่เหวินเจี๋ยดีใจล้อเล่นนิดหน่อยคงไม่เป็นไร ไม่คิดว่าจะสร้างปัญหาใหญ่ขึ้น เจอการทุบตีเตะต่อยของทุกคน ทำได้แค่กุมหัวหลบไปมา ไม่กล้าสวนกลับ
จริงๆ แล้วงานเฉลิมฉลองแต่งงานควรเริ่มตอนค่ำ แต่ทหารเหล่านี้พิเศษ พวกเขายังต้องกลับค่ายทหาร พระชายาฉีและฉู่เหวินเจี๋ยจึงได้ปรึกษาหารือกัน ตัดสินใจเปิดงานให้พวกเขาก่อนในยามบ่าย หลังจากพวกเขากินเสร็จแล้ว ก็กลับค่ายทหารไป
ทหารทุกนายเดินเข้าจวนด้วยเสียงดังวุ่นวาย มาถึงหน้าโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้พวกเขา ก็เริ่มกินกันอย่างเต็มที่ จนเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ผ่านไป อาหารก็หมดไปในพริบตา
ลุงฝูสั่งคนใช้ในจวนเทอาหารที่เหลือทิ้งไป ทำความสะอาดโต๊ะให้เรียบร้อย กวาดพื้นให้สะอาด ทำความสะอาดทุกที่ทุกมุมให้เรียบร้อย รอเวลาเฉลิมฉลองในยามค่ำ
หลังจากฉู่เหวินเจี๋ยพาเฝิงจิ้งซูกลับเข้าห้องหอแล้ว ก็เดินออกทักทายเหล่าขุนนางทั้งหลายที่มาอวยพร
มองฉู่เหวินเจี๋ยเดินออกไปแล้ว โบกมือไล่สาวใช้ที่ดูแล เฝิงจิ้งซูทุบอกตัวเองเบาๆ ทำท่าเหมือนเจอเรื่องน่าตกใจมาก “ตกใจหมดเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
งานเฉลิมฉลองยาวต่อเนื่องไปจนถึงยามค่ำ แขกเริ่มทยอยกลับไป พระชายาฉียุ่งต่อกันหลายวัน เหนื่อย จนไม่ไหวแล้วจริงๆ กล่าวกับท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนอนพักในจวน ท่านกับเซวียนเอ๋อร์กลับจวนเถิด รอข้านอนพักหนึ่งคืน แล้วจะกลับไป”
ท่านอ๋องนั่งนิ่ง มองนางอย่างไม่ละสายตา จะพูดไม่พูดอยู่อย่างนั้น
พระชายาฉีดูออกถึงความแปลกของเขา กล่าวว่า “ท่านอ๋องมีอะไรก็พูดออกมาเถิดเพคะ ข้าจะทำตามแน่นอน”
ท่านอ๋องฉีหยุดไปสักพักถึงกล่าวออกมาว่า “กลับจวนเถอะ หากพรุ่งนี้ไม่มีเรื่องอะไร เจ้ากับข้าเข้าวังไปขอพระราชกฤษฎีกาให้เซวียนเอ๋อร์และแม่นางเมิ่งกัน กำหนดการหมั้นของพวกเขาให้เรียบร้อย”
ฉู่เหวินเจี๋ยส่งทั้งสี่คนออกนอกจวนแล้ว มองดูทั้งสี่ไปไกลแล้วจึงกลับเข้าไปในจวน
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้าอีกคันของจวนอ๋อง กัวเฟยขี่รถม้าตามมาข้างหลัง
ไม่ได้เจอกันหลายวันอีกแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนไม่ปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้แน่นอน แค่คิดว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีจะเข้าวังไปขอพระราชกฤษฏีกา ตนเองและเมิ่งเชี่ยนโยวจะได้หมั้นหมายกันเร็วๆ นี้ ในใจดีใจมาก ท่าทางก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น จูบจนเมิ่งเชี่ยนโยวหายใจไม่ทัน ทุบตัวเขาอย่างสุดแรง ถึงปล่อยปากนางอย่างอาลัยอาวรณ์ หายใจแรงๆ แล้วมองหน้านาง รอจนลมหายใจเขาเป็นปกติแล้ว ก็จูบทับลงไปใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ท่าทางอ่อนโยนกว่า เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือกอดคอเขาไว้ ปล่อยตามใจเขา
จนชิงหลวนที่อยู่นอกรถม้าออกเสียงด้วยความลังเลว่า “นายหญิง ถึงทางแยกแล้วเพคะ”
สติของเมิ่งเชี่ยนโยวถึงกลับมา รีบตอบกลับไปว่า “อืม ข้าจะลงจากรถม้าเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือขวางนางไว้ จับมือนางกอดคอตัวเองไว้เหมือนเดิม ตรัสสั่งข้างนอกว่า “ไปหนานเฉิง”
รถขี่ม้าหันรถม้า ตรงไปทางหนานเฉิง
พระชายาฉีคิดไว้อยู่แล้วว่าหวงฝู่อี้เซวียนต้องทำอย่างนี้ ฟังรายงานของคนขี่ม้าแล้ว ไม่เอ่ยอะไร สั่งคนขี่ม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าให้กลับจวนอ๋องฉี
ถึงหน้าบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนถึงลงจากรถม้าอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายรับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา กล่าวว่า “ค่ำแล้ว ข้าไม่เข้าไปแล้วพรุ่งนี้อยู่จวนรอฟังข่าวดีจากข้า”
เมิ่งเขี่ยนโยวพยักหน้า เดินเข้าไปในจวน
หวงฝู่อี้เซวียนยืนอยู่กับที่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ จนมองไม่เห็นร่างของนางแล้ว จึงนั่งรถม้ากลับจวนอ๋อง
เมิ่งฉีรู้ว่าวันนี้ฉู่เหวินเจี๋ยแต่งงาน เมิ่งเชี่ยนโยวจะกลับดึกแน่นอน เลยไม่ได้รอนาง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ก็เข้านอนแต่เช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นลานของเขาไม่มีแสงไฟ แอบโล่งใจเบาๆ กลับไปที่ห้องตัวเอง หลังจากอาบน้ำ ก็นอนลง
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีทั้งสองกลับเข้าไปในจวน พระชายาฉีก็เดินตรงไปที่ลานบ้านตนเอง ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน แล้วเดินตามหลังอย่างไม่ออกเสียงใดๆ
พระชายาฉีตกใจ หันกลับไปมองท่านอ๋องฉี กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ท่านอ๋อง ช่วงนี้ข้าเหนื่อยจริงๆ ไม่สามารถรับใช้ท่านได้”
ท่านอ๋องฉีเอ่ยออกมาว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาฉีก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทั้งสองกลับไปลานบ้านของพระชายาฉี ล้างตัวเล็กน้อย แล้วก็นอนเลย พระชายาฉีเหนื่อยมากจริงๆ หัวถึงหมอนก็หลับลึกไปเลยทันที ส่วนท่านอ๋องฉี ไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย ลืมตาจ้องมองใบหน้าที่ล้างเครื่องสำอางแล้วยังคงสวยของพระชายาฉี ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
วันที่สอง ท่านอ๋องฉีตื่นนอนอย่างเงียบๆ จะไปทรงว่าราชกิจ พระชายาฉีสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้น “ท่านอ๋อง ข้าสวมเสื้อให้ท่าน
ท่านอ๋องฉีกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้อง ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถิด รอข้าเลิกจากกิจต่างๆ แล้ว สั่งองครักษ์กลับมาเรียกเจ้า ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปขอโองการที่ตำหนักเสด็จแม่กัน”
ตั้งแต่แต่งงานหลายปีผ่านไปนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องฉีกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและใส่ใจแบบนี้ พระชายาฉีหยุดตกใจไปชั่วขณะ
เห็นท่าทางแบบนี้ของนาง ในสายตาของท่านอ๋องฉีมีความรู้สึกผิดออกมา ยื่นมือดึงปลายผ้าห่มให้นาง “อากาศหนาว อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยล่ะ”
พระชายาฉีนอนราบลงไป มองเขาอย่างงงๆ
ท่านอ๋องฉีสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็เดินออกมา กลับไปยังลานของตน เปลี่ยนเป็นชุดทรงพระราชกิจ ถึงออกจากจวน
เห็นเขาเดินออกไป พระชายาฉีเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกในใจ หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง หลับตาสักพักก็หลับไป
พอนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ลุกขึ้นจากเตียง หลังจากถูกหลิงหลังดูแลอาบน้ำแต่งตัวแล้ว กินข้าวเช้าแล้ว นั่งรอองครักษ์กลับมารายงานอยู่ในห้อง
เวลาประมาณเก้าโมงเช้า องครักษ์กลับมารายงานด้วยความเคารพว่า “พระชายา ท่านอ๋องถูกฮ่องเต้เรียกเข้าไปในห้องหนังสือ ให้ข้าน้อยกลับมารายงานท่าน ให้ท่านไปรอที่ตำหนักพระพันปี เขาจะตรงไปที่นั่นหลังออกจากห้องหนังสือขอรับ”
พระชายาฉีแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ได้ยินก็เดินออกจากจวน ขึ้นรถม้า มาถึงหน้าประตูวัง ให้หลิงหลังพยุงเดินเข้าไปในวัง ตรงไปทางพระตำหนักของพระพันปี
เพิ่งจะเข้าวังหลัง ก็มีสาวใช้ในวังกลุ่มหนึ่งพยุงเฮ่อกุ้ยเฟยเดินเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม พระชายาฉีรีบย่อตัวทำความเคารพ “คารวะกุ้ยเฟย”
“อ้าว นี่ไม่ใช่พระชายาฉีหรือ ดูร่างกายเจ้าแล้วคงหายดีแล้วจริงๆ สินะ อากาศหนาวเย็นขนาดยังออกจวนได้” เฮ่อกุ้ยเฟยไม่ได้สั่งนางให้ลุกขึ้น แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจอะไร
พระชายาฉีรู้อยู่แก่ใจว่านางตั้งใจหาเรื่อง ตอกกลับไปอย่างเรียบๆ ว่า “กุ้ยเฟยรู้ข่าวรวดเร็วจริงๆ ร่างกายของข้าเพิ่งจะดีขึ้นมาได้ไม่กี่วันเอง ท่านก็ทราบเรื่องแล้ว” ความหมายที่อยากบอกนางก็คือ ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงหาเรื่องข้า ไม่ใช่เพราะเจ้ารู้แล้วว่าน้องสาวของเจ้าตาย จึงตั้งใจหาเรื่องข้าหรอกหรือ
เฮ่อกุ้ยเฟยชะงัก กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “พระชายาไม่เพียงแต่ร่างกายดีแล้ว ฝีปากก็ดีขึ้นด้วย แต่ไม่รู้ว่าเวลาหลับ เจ้าฝันร้ายบ้างหรือไม่”
“ตลอดหลายปีนี้ไม่ว่าข้าทำอะไรข้าทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรต้องละอายใจ แน่นอนว่าต้องไม่เคยฝันร้าย” พระชายาฉีตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เพียงแต่ว่า ยืนย่อตัว เป็นเวลานานอย่างนี้ ขาเริ่มอ่อนแรง ร่างกายเริ่มเอนไปมา หลิวหลังคุกเข่าอยู่ข้างหลังอยากพยุงนาง แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้น กลัวว่าเฮ่อกุ้ยเฟยจะทำโทษนางว่าไม่รู้จักมารยาท โทษของการถกเถียง ถึงเวลานั้นอาจทำให้พระชายาเดือดร้อนได้
เฮ่อกุ้ยเฟยตั้งใจหาเรื่องพระชายาจริงๆ เพื่อให้นางทนไม่ไหวจะได้ทำโทษนางได้
พระชายาฉีเข้าใจความหมายของนาง กัดฟันอดทน แต่อดทนไม่ไหวจริงๆ ร่างกายเอนไปมาอย่างรุนแรง
เฮ่อกุ้ยเฟยจับความผิดปกตินางได้แล้ว รีบตรัสสั่งสาวใช้ในวังที่อยู่ข้างหลัง “พระชายาฉีเป็นลูกสาวตระกูลแม่ทัพ อาจจะเรียนมารยาทไม่ตรงตามมาตรฐานพอ พวกเจ้าทั้งหลายสอนนางสิว่าเวลาเจอข้า ต้องทำความเคารพเยี่ยงไร”
สาวใช้ในวังรับคำสั่ง เดินเข้าไป
หลิงหลงตกใจ กราบลงบนพื้นแล้วออกเสียงขอร้อง “กุ้ยเฟย พระชายาของพวกข้าร่างกายอ่อนแอ ขอท่านทรงโปรดประทานอภัยด้วย ปล่อยนางเถิด”
เฮ่อกุ้ยเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น “มารยาทของพระชายาฉีนี่ดีจริงๆ แม้แต่คนใช้ยังกล้าเอ่ยคำไร้สาระต่อหน้าข้า ตบปากนาง สอนพวกคนไม่รู้มารยาทพวกนี้สิว่ามารยาทคืออะไร”
ถึงขนาดนี้แล้ว พระชายาฉีก็ลุกขึ้นยืน เอาตัวบังข้างหน้าหลิงหลง กล่าวด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “มารยาทในจวนอ๋องฉีของข้าเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้กุ้ยเฟยสั่งสอน วันนี้ข้าเข้าวังเพราะมีเรื่องปรึกษาหารือกับพระพันปี หากเฮ่อกุ้ยเฟยไม่มีเรื่องอะไร ข้าขอตัวก่อน” พูดจบ ตรัสสั่งหลิ’หลง “เราไปกันเถิด”
หลิงหลงรับคำสั่ง ลุกขึ้น
พระชายาฉีเดินก้าวออกไปข้างหน้า
“หยุดเดี๋ยวนี้”
เฮ่อกุ้ยเฟยตะคอกเรียกนาง
พระชายาฉีทำเป็นไม่ได้ยิน เดินต่อไปข้างหน้า
เสียงโมโหโกรธาของเฮ่อกุ้ยเฟยดังมาจากทางด้านหลัง “ไปขวางนางไว้เดี๋ยวนี้”
สาวใช้ในวังห้าหกคนรีบวิ่งมาขวางหน้าพระชายาฉีไว้
พระชายาฉียืนตรง หันหลัง กล่าวถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “เฮ่อกุ้ยเฟยหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเห็นข้าแล้วไม่ทำความเคารพ ยังยอมให้สาวใช้พูดจาไร้สาระต่อหน้าข้า ลงโทษตามความผิด ลงโทษโดยการให้เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วโมง” เฮ่อกุ้ยเฟยกล่าวด้วยเสียงสูง
อากาศหนาวเย็น พระชายาฉีสวมใส่เสื้อบางๆ ถ้าหากคุกเข่าอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วโมง หลังจากกลับไปจะต้องป่วยหนักอีกรอบแน่ๆ เข้าใจถึงความตั้งใจที่เลวทรามของนางแล้ว พระชายาฉี ขยับมุมปากเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงดูหมิ่นว่า “หากข้าไม่คุกเข่าล่ะ”
“ไม่คุกเข่า” เฮ่อกุ้ยเฟยยิ้มได้ใจ สั่งสาวใช้ในวัง “หากพระชายาฉีไม่ยอมคุกเข่าขอโทษ พวกเจ้าช่วยนางหน่อยสิ”
สาวใช้ในวังรับคำสั่ง สาวใช้ห้าหกคนพุ่งตัวไป กดตัวพระชายาฉีลงบนก้อนหินอย่างแรง
หลิงหลงคุกเข่าขอร้องอีกครั้ง “กุ้ยเฟย พระชายาของพวกข้าร่างกายไม่ค่อยดี ไม่สามารถคุกเข่าบนที่เย็นๆ แบบนี้ได้ ท่านปล่อยนางไปเถิด”
“หากคนใช้อย่างเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปเลย มา ตบปากสั่งสอนนางว่าอะไรคือมารยาท” เฮ่อกุ้ยเฟยตะคอกสั่งสาวใช้ในวังอีกสองคนก้าวออกมา คนหนึ่งจับนางไว้ อีกคนยื่นมือตบลงไปบนหน้านาง
“หยุดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงด้วยความโกรธของท่านอ๋องฉีดังขึ้นมา พูดจบ ตัวอ๋องฉีก็มาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว เห็นพระชายาฉีถูกหลายคนกดให้คุกเข่าอยูบนพื้น ไฟแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมาก ถีบตรงเข้าไปที่คนพวกนั้นที่อยู่ข้างหน้า “พวกเจ้าอยากตายใช่หรือไม่ ถึงกล้าทำเช่นนี้กับพระชายาของข้า”