ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 153 ขอพระราชโองการ
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 153 ขอพระราชโองการ
“อัปยศยิ่งนัก!” ไทเฮาตะคอกด่า “เจ้าคงถูกตามใจจนเคยตัว ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำเสียแล้ว เขาเป็นถึงพระชายาจะไม่รู้จักกฎระเบียบได้อย่างไร! เห็นได้ชัดว่าเจ้าจงใจหาเรื่อง ถึงสั่งให้คนลงมือหนักเพียงนี้!”
เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจ รีบร้องขอความเป็นธรรม “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้ายนะเพคะ พระชายาเขาไม่รู้จักกฎระเบียบจริงๆ หม่อมฉันจึงสั่งให้คนสั่งสอนนะเพคะ”
ไทเฮาเห็นว่ากุ้ยเฟยไม่ยอมรับผิดเสียที พยักหน้าอย่างโมโห “ได้ มาดูกันว่าสิ่งที่เจ้าพูดวันนี้จริงหรือไม่” พูดจบ ก็ตะโกนเรียก “ทหาร!”
ขันทีผู้ดูแลวังเดินเข้ามา ไทเฮาสั่งด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “จับบ่าวของเฮ่อกุ้ยเฟยขังแยกทีละคน ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นี้ หากตอบไม่ตรงกัน โบยให้ตายเสียหมด”
ขันทีขานรับ เดินออกไป
ไทเฮายังสั่งไม่สิ้นเสียง สีหน้าของเฮ่อกุ้ยเฟยขาวโพลน ตัวสั่นเทา ถึงสำนึกขึ้นได้ นางได้ใจเหมือนอึ่งอ่างพองตัว เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้จะหลุดรอดสายตาของไทเฮาได้อย่างไร แต่ตอนนี้ถ้าจะให้คุกเข่าขอโทษ ก็คงมีจุดจบไม่ดีเช่นกัน จึงตัดสินใจกัดฟันสู้จนถึงที่สุด
ขันทีเดินออกไปสั่งคนตามคำสั่งของไทเฮา บ่าวหญิงของเฮ่อกุ้ยเฟยถูกจับขังแยกทันที สิ่งที่ไทเฮาพูดพวกเขาก็ได้ยินหมดแล้ว ยังจะมีใครกล้าปิดบังอีก ต่างเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด
ขันทีฟังแล้วส่วนใหญ่พูดตรงกัน จึงกลับไปรายงานไทเฮา
ไทเฮาโกรธจนเดือดพล่าน มือเอื้อมไปจับแก้วน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะเขวี้ยงลงบนพื้นอย่างแรง “เจ้าคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แม้แต่พระชายาเจ้ายังกล้าใส่ร้าย”
แก้วน้ำชาแตกละเอียดต่อหน้าเฮ่อกุ้ยเฟย เศษแก้วกระจายไปทั่วห้อง เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจจนร้องเสียงหลง
ไทเฮายังไม่หายโกรธ หันไปถามฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
ฮ่องเต้ได้ยินสิ่งที่ขันทีบอก ในใจก็คุกกรุ่นด้วยความโกรธ เหลือบมองเฮ่อกุ้ยเฟย ออกคำสั่งว่า “ห้ามเฮ่อกุ้ยเฟยออกนอกพื้นที่สามเดือน”
เฮ่อกุ้ยเฟยนั่งนิ่งบนพื้น ผู้หญิงในวังมีมาก ทุกคนต่างตั้งตาคอยฮ่องเต้มาเสพสังวาส ความรักใคร่เอ็นดูที่ได้รับทุกวันนี้ก็มีมากโข จนพอจะทำให้พวกนางอิจฉาตาร้อน หากตัวเองถูกกักบริเวณสามเดือน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะยังคิดถึงนางไหม
ครั้นเฮ่อกุ้ยเฟยจะเอ่ยปากขอร้อง ฮ่องเต้ก็พูดขึ้นว่า “กล้าพูดอะไรอีกสักคำ จะห้ามออกนอกพื้นที่ครึ่งปี”
แค่สามเดือนก็เพียงพอให้ฮ่องเต้ลืมกุ้ยเฟยได้แล้ว หากเป็นครึ่งปี ฮ่องเต้คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเฮ่อกุ้ยเฟยคือใคร คำขอร้องของเฮ่อกุ้ยเฟยถูกกลืนลงไปหมด
ขันทีผู้รับใช้ฮ่องเต้ เดินไปหน้าเฮ่อกุ้ยเฟย พูดอย่างนอบน้อม “เฮ่อกุ้ยเฟย เชิญขอรับ”
เฮ่อกุ้ยเฟยแขนขาอ่อนแรง ลุกยืนไม่ไหว ขันทีเอกส่งสายตาให้ขันทีผู้น้อย ขันทีน้อยสองคนเดินมาทันที พยุงและลากเฮ่อกุ้ยเฟยออกไป
แพทย์หญิงประคบยาให้พระชายาฉีเสร็จ กูกูผู้ดูแลวังประคองพระชายาฉีเดินออกมาจากม่าน และประคองไปนั่งบนเก้าอี้อย่างระมัดระวัง
ไทเฮาเอ่ยถามแพทย์หญิงสองสามคำ และให้เขาจากไป
ไทเฮาพูดกับพระชายาฉีว่า “หัวเข่าบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องเล็ก กลับไปแล้วให้ทำตามคำสั่งของแพทย์หญิง พักผ่อนให้มาก เดินให้น้อย”
พระชายาฉีตอบรับด้วยความนอบน้อม
หลังจากสั่งให้คนยกชาแล้ว ไทเฮาเอ่ยปากถาม “วันนี้ที่พวกเจ้าสองคนเข้าวัง มีอะไรจะบอกหรือ”
พระชายาฉีพยักหน้า พูดขึ้นว่า “เสด็จแม่เพคะ เรื่องการหมั้นของเซวียนเอ๋อร์และคุณหนูจวนราชเลขาถูกยกเลิกไปแล้ว หม่อมฉันอยากขอให้ท่านช่วยออกพระราชโองการสมรสให้เขาและแม่นางเมิ่ง ให้พวกเขาได้ตกลงปลงใจ ปีหน้าจะได้จัดงานสมรสได้เลยเพคะ”
ไทเฮาชะงัก
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ไทเฮามองหน้าอ๋องฉีและพระชายาฉี พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องของเซวียนเอ๋อร์ยังไม่รีบ รอให้เราไตร่ตรองแล้วจะบอกพวกเจ้าอีกที”
“ตอนที่เสด็จแม่พูด เซวียนอ๋อร์ยังไม่ถอนงานหมั้น ตอนนี้เขาถอนแล้ว หม่อมฉันคิดว่าสมควรพูดเรื่องนี้แล้วนะเพคะ” พระชายาฉีกล่าว
ไทเฮาโบกมือ “ไม่ได้ เรื่องนี้เราขอคิดดูก่อน แม้ว่าเซวียนอ์อร์จะถอนงานหมั้นกับคุณหนูจวนราชเลขาไปแล้ว แต่ก็ไม่เหมาะสมอยู่ดีหากจะแต่งตั้งให้สาวบ้านนอกเป็นสนมเอก อีกอย่างนะ เพิ่งจะถอนงานหมั้นไป ข้าก็ได้ยินมาว่าคุณหนูบ้านหลินล้มป่วยทันที เซวียนเอ๋อร์ขอหมั้นตอนนี้ มิเป็นการหักหน้าท่านราชเลขาหรอกหรือ ไม่ได้!”
ไทเฮาพูดว่าไม่ได้ตลอด พระชายาฉีเริ่มรีบร้อน น้ำเสียงแฝงความร้อนรน “เสด็จแม่เพคะ เซวียนอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ต่างมีใจให้กัน ให้พวกเขาได้สมปารถนาเถอะนะเพคะ”
“ไร้สาระสิ้นดี!” ไทเฮาดุว่า “เซวียนเอ๋อร์ยังเด็ก ลุ่มหลงในตัวผู้หญิงเพียงชั่วครู่ จะรู้จักอะไรคือใจต้องกันหรือ อีกอย่างข้าเคยสัญญากับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อสาวบ้านนอกคนนั้น รอให้เซวียนอ๋อร์สมรสแล้ว จะแต่งตั้งให้เขาเป็นสนม”
เมื่อเห็นความเด็ดขาดของไทเฮา พระชายาฉีมองไปที่อ๋องฉี
อ๋องฉีพูดขึ้น “เสด็จแม่ เสด็จแม่ยังไม่รู้จักเซวียนเอ๋อร์ดีพอ เรื่องอะไรที่เขาตั้งมั่นแล้ว ไม่ว่าใครจะกีดกันอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อสี่ปีก่อน ที่ลูกรับเขากลับมา เขาก็หาวิธีทำลายชื่อเสียงของสาวเมิ่ง เขารอคอยมาตลอดสี่ปี จนตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ หากเสด็จแม่ยังไม่เห็นด้วยกับงานหมั้นของเขา ลูกเกรงว่าเซวียนเอ๋อร์จะกระทำอะไรที่คาดไม่ถึง ถึงครานั้นเราคงเสียใจภายหลังนะพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงไทเฮาลดต่ำลง “ตั้งแต่ที่เขากลับมาพร้อมลูกในตอนนั้น เขาก็ควรรู้ตัวดีว่าเป็นคนในวัง ไม่ใช่ทุกเรื่องจะเป็นไปได้ดั่งใจ เจ้าไปบอกเขาทีเถอะ เรื่องที่ข้าเห็นด้วยที่จะแต่งตั้งสาวบ้านนอกคนนั้นเป็นสนม ก็ถือเป็นพระคุณยิ่งแล้ว หากเขายังไม่ยอมลดละอีก ก็อย่าโทษน้ำมือของข้านะ”
จะใช้วิธีอะไร ทุกคนต่างรู้ดี ก็คือการขู่คนบ้านเมิ่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวยอมจำนนนอย่างเชื่อฟัง
ฮ่องเต้นั่งเงียบอยู่ข้างๆ พระชายาฉีรู้ดีว่าความเห็นของไทเฮาก็คือความเห็นของฮ่องเต้ จึงเกิดร้อนรนขึ้นมา
พระชายาฉีลุกขึ้น คุกเข่าลง “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันมีลูกเซวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว พลัดพรากกันไปสิบเอ็ดปี กว่าจะได้มาเจอกัน หม่อมฉันไม่อยากให้เขาเป็นอะไรอีก ขอร้องเสด็จแม่ปล่อยให้พวกเขาได้สมปรารถนากันเถอะนะเพคะ”
หัวเข่าที่เพิ่งประคบอย่าเสร็จของพระชายาฉี เมื่อคุกเข่าลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดก็แล่นแปลบ เม็ดเหงื่อปรากฎบนหน้าผากทันที ไทเฮาเห็นดังนั้น ก็ยิ่งโมโห กล่าวว่า “เจ้ายอมทำเพื่อสาวบ้านนอกคนนั้นได้จนไม่เอาแม้แต่ขาตัวเองแล้วหรือ”
พระชายาฉีกลั้นความเจ็บปวดไว้ ตอบกลับว่า “เสด็จแม่เพคะ ช่วงนี้หม่อมฉันได้พบปะพูดคุยกับโยวเอ๋อร์ไปไม่น้อย นางเป็นเด็กจิตใจดี คอยคิดแทนคนอื่นเสมอ มีความรับผิดชอบ ความสามารถก็มีมาก คุณหนูในเมืองสองสามคนรวมกันยังไม่ได้เท่านางเลยเพคะ อย่าพูดถึงเซวียนเอ๋อร์เลย แม้แต่หม่อมฉันเองยังชอบนางเลยเพคะ ขอร้องเมตตาพวกเขาเถอะเพคะ”
อ๋องฉีถลกเสื้อคุกเข่าลง สำทับเพิ่มเติมว่า “กระหม่อมเห็นว่าเซวียนเอ๋อร์แลแม่นางเมิ่งเป็นคู่สร้างคู่สม ขอร้องเสด็จแม่เมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า พวกเจ้า…” ไทเฮาพูดไม่ออก ได้แต่ชี้ไปที่พวกเขาทั้งสอง
ระยะหลังมานี้ฮ่องเต้ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมิ่งเชี่ยนโยวมามาก ความเห็นที่มีต่อนางค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ในใจก็ยังไม่ยอมรับงานหมั้นของพวกเขา เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เรื่องของสาวบ้านนอกคนนั้น เราก็ได้ยินมาไม่น้อย มีความสามารถอยู่มากพอสมควร แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะคู่กับเซวียนเอ๋อร์ เอาอย่างนี้ เราตกลงพวกเจ้า จะไม่ให้เซวียนเอ๋อร์หมั้นก่อน หนึ่งคือเพื่อไว้หน้าบ้านท่านราชเลขา สองคือช่วงนี้เราจะให้เซวียนเอ๋อร์หมั่นเพียรวิชา ในอนาคตจะให้เขาปฏิบัติงานราชงานหลวงที่สำคัญ ส่วนเรื่องความรักใคร่ของลูกหลานเลื่อนออกไปก่อนแล้วกัน”
คำพูดของฮ่องเต้คือคำพูดศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้เองก็ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งแล้ว ทั้งสองจะขอร้องขอโพยอย่างไร อาจจะทำให้ฝ่าบาททรงพระกริ้วได้ อ๋องฉีและพระชายาฉีมองหน้ากัน ลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีทางเลือก เป็นพระกรุณาล้นพ้น
เรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ เมื่อทั้งสองนั่งลง ไทเฮาก็เอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่ง “อ๋องฉี สนมเฮ่ออยู่ๆ ก็เสียชีวิตกะทันหัน สรุปคือเรื่องอะไรกันแน่”
อ๋องฉีมองไปที่บ่าวใช้ทั้งหลาย
ไทเฮาเข้าใจทันที สั่งพวกเขา “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
บ่าวใช้ขานรับ และเดินออกไป
“ว่ามาสิ” ไทเฮาพูดขึ้น เมื่อพวกเขาเดินออกไปกันหมดแล้ว
อ๋องฉีคิดอยู่พักหนึ่ง จึงนำเรื่องที่สนมเฮ่อหลอกล่อใส่ยาเสน่ห์ให้เมิ่งเชี่ยนโยวและฉู่เหวินเจี๋ย อยากให้พวกเขาคู่กัน เพื่อทำลายบ้านอ๋องฉีและจวนท่านแม่ทัพเล่าให้เสด็จแม่ฟัง
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นจึงโกรธจนตบโต๊ะ “สนมเฮ่อนี่น่ารังเกียจเหลือเกิน! เสียไปง่ายๆ แบบนี้น่าเสียดายจริงๆ สมควรลงโทษเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าครั้งให้นางทนทุกข์ทรมานก่อนจะจากไป”
การลงโทษสี่สิบเก้าครั้งเป็นการลงโทษสำหรับบ่าวหญิงในวัง แต่ละครั้งเจ็บเจียนตาย แต่ทุกครั้งก็ไม่ทำให้ตาย จนกว่าคนที่ลงโทษจะเหลือเพียงหนังและลมเฮือกสุดท้าย จึงยอมให้เขาตาย ไทเฮาทรงกริ้วหนักมาก ถึงพูดคำพูดที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา
พูดถึงสนมเฮ่อ อ๋องฉีไม่มีแม้เพียงความรู้สึก เพียงแค่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อย่างน้อยสนมเฮ่อก็ติดตามลูกมาสิบกว่าปี คอยเลี้ยงดูลูก ช่วงที่พระชายาเจ็บป่วย ก็ช่วยจัดการดูแลบ้านอย่างดี แม้ไม่มีผลงานก็มีความพากเพียร ลูกกลับส่งสนมเฮ่อไปด้วยการให้ดื่มสุราพิษ ถือซะว่าลบล้างให้กับความรักที่ผ่านมาแล้วกัน”
เมื่อครั้งกระนั้นอ๋องฉีชอบพอสนมเฮ่อ แต่เพื่อทำความสนิทสนมกับท่านแม่ทัพผู้มีอำนาจทางการทหาร แต่ไทเฮาท่านดึงดันให้แต่งกับพระชายาฉีคนปัจจุบัน คิดๆ ดูแล้วก็ละอายใจ ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ช่างประไร คนตายเหมือนไฟที่ดับมอด อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองก็ต้องครองรักกันนานๆ ดูแลกันดีๆ อย่าให้เกิดเรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้อีก เราอายุมากแล้ว รับไม่ไหวหรอก”
ทั้งสองขานรับพร้อมกัน
เรื่องของฉู่เหวินเจี๋ยตบแต่งกับลูกสาวพ่อค้าลึกๆ แล้วฮ่องเต้ดีใจมาก แต่ภายนอกกลับพูดอย่างเสียดายว่า “เช่นนี้ ก็คงลำบากท่านแม่ทัพ เราได้ยินว่าเขาตบแต่งกับลูกสาวตระกูลเฝิง น่าเสียดายดายจริงๆ ไม่กี่วันก่อน เรายังปรึกษากับเสด็จแม่เรื่องการหมั้นหมายของท่านแม่ทัพอยู่เลย”
แม่ลูกใจตรงกัน ฮ่องเต้หมายถึงอะไร ไทเฮานั้นรู้ดีกว่าใคร ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยักหน้า “นั่นน่ะสิ เมื่อไม่กี่วันก่อน ฮ่องเต้ยังยังปรึกษาว่าจะให้ท่านแม่ทัพตบแต่งกับหญิงใดในวังดีอยู่เลย แต่กลับเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ไม่ว่ามีหรือไม่ ในเมื่อฮ่องเต้และไทเฮาพูดออกมาแล้ว พระชายาฉีก็จะคิดซะว่ามีเรื่องนี้จริง กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาสุดมิได้เพคะ แม้ซูเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่ก็ได้ใจเหวินเจี๋ยไปหมดแล้วเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าอย่างปลื้มใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็วางใจแล้ว รอให้ผ่านไปสักพักหนึ่ง เราค่อยแต่งตั้งสนม”
พระชายาฉีรีบพูดขึ้น “เป็นพระมหากรุณาธิคุณหาสุดมิได้เพคะ แต่ไม่ต้องแล้วเพคะ ปกติเหวินเจี๋ยยุ่งงานทหาร ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน หากคนในบ้านเยอะ เกรงว่าจะวุ่นวาย ขอเพียงมีแค่พระชายาเอกคนเดียวก็พอเจ้าค่ะ”
ไทเฮาสบตาฮ่องเต้ครู่หนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ หากเป็นเช่นนี้ เราก็แล้วแต่เจ้าเลย”
สิ่งที่ต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ว อ๋องฉีและพระชายาฉีคารวะเดินออกจากวังไทเฮา
เข่าของพระชายาฉีมีบาดแผล ไทเฮาสั่งให้กูกูผู้ดูแลวังเตรียมเกี้ยวส่งพระชายา
เมื่อทั้งสองจากไป ไทเฮาพูดอย่างไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ เรื่องสมรสของเซวียนเอ๋อร์เจ้ายอมได้อย่างไร”
“เสด็จแม่ แม้แต่อ๋องฉียังบอกว่าสาวบ้านนอกคนนั้นดี คิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงมีอะไรดี หากเราดึงดันไม่เห็นด้วย มีแต่จะทำให้เซวียนเอ๋อร์ไม่พอใจ ตอนนี้เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย เลื่อนเวลาออกไปสักปีสองปีคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ผู้หญิงคนนั้นเลยอายุแต่งงานไปแล้ว ถ้าจะเลื่อนออกไปอีกสองปี คงรอไม่ได้ ถึงตอนนั้นหญิงคนนั้นคงแต่งเข้าบ้านคนอื่น เรื่องสมรสของเซวียนเอ๋อร์ก็จะตกเป็นเรื่องของเรา”
ไทเฮาคิดครู่หนึ่ง พยักหน้า
พระชายาฉีถูกเกี้ยวแบกไปจนถึงรถม้าของจวนอ๋องฉี หลิงหลงประคองพระชายาออกจากเกี้ยว พระชายาฉีขึ้นรถม้าอย่างยากลำบาก อ๋องฉีตามขึ้นนั่งด้วย
คนขับรถม้ารีบทะยานม้ามุ่งไปทางบ้านอ๋องฉี
อ๋องฉีนั่งข้างๆ พระชายาฉี ถลกกระโปรงพระชายาขึ้น
พระชายาฉีสะดุ้งตกใจ “ท่านอ๋อง!” แล้วรีบปัดกระโปรงลงมา
“ข้าขอดูแผลเจ้าหน่อย” อ๋องฉีพูดเสียงต่ำ
พระชายาฉีจับกระโปรงตัวเองไว้แน่น พูดว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักผ่อนไม่กี่วันก็หายเพคะ”