ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 158 ที่พูดเพราะหวังดี
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 158 ที่พูดเพราะหวังดี
หวงฝู่อวี้เหม่อนิ่งไปชั่วขณะ
“คุณชายรองคงจะทราบดี ท่านเป็นบุตรของพระชายารองและมารดาของท่านก็กระทำความผิดอย่างมหันต์ หากว่าเป็นจวนอื่นแล้วล่ะก็ คงเดือดร้อนพาลไปถึงท่านด้วยตั้งนานแล้ว และแม้แต่สามัญชนท่านก็เทียบเท่าไม่ได้ แต่พระชายาและอี้เซวียนไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาเห็นท่านเป็นคนในครอบครัว ดูแลท่าน เจือจุนท่านอย่างเอาใจใส่ นี่ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขามีจิตใจเมตตาหรือสงสารท่าน แต่เพราะพวกเขาคิดเช่นนั้นจากใจจริงตลอดมา”
หวงฝู่อวี้พูดอะไรไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อไปว่า “คุณชายรองยังจำเรื่องที่แม่ของท่านวางยาทำหมันให้แก่อี้เซวียนได้หรือไม่ อี้เซวียนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านอ๋องและพระชายา แผนการณ์ของแม่ท่านจึงไม่อาจสำเร็จได้ แต่นางกลับใส่ยาทำหมันลงไปในขนม และให้เจ้ามอบให้แก่อี้เซวียน ถึงจะบรรลุผล ถ้าหากไม่ใช่ข้าเจอเข้าก่อน ทั้งชีวิตของอี้เซวียนไม่เพียงแต่จะมีลูกหลานสืบทอดไม่ได้ และยังอาจจะเหมือนกับคนพิการที่ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดไป แต่เมื่อเขารู้เข้าว่ามียาทำหมันซ่อนอยู่ในขนมที่ท่านยกไปให้ ก็ยังไม่โยนความผิดให้ท่าน กลับกันแล้ว ยังช่วยท่านปิดบังต่อหน้าท่านอ๋องและพระชายาอีก คุณชายรองลองนึกดูเสียเถิดเจ้าคะ อี้เซวียนทำเช่นนี้ไปเพราะเหตุใดกันแน่ ถ้าหากเขาไม่ได้มองท่านเป็นพี่น้องแท้ๆ ของตัวเอง เขาจะเลือกไม่เปิดโปงเช่นนี้หรือไม่”
หวงฝู่อวี้สับสนและสมองตื้อไปหมด จึงเหม่ออึ้งไป เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ริมฝีปากของเขาอึ้งๆ อ้ำๆ ปิดๆ เปิดๆ อยู่อย่างนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็ไม่มองเขาอีก แต่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างช้าๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หวงฝู่อวี้ถึงจะล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วพูดพึมพำว่า “ข้าเกือบจะทำร้ายพี่ใหญ่แล้ว ข้าเกือบจะทำร้ายพี่ใหญ่”
“คุณชายรองตอนนี้รู้แล้วสินะเจ้าคะ ว่าพระชายากับอี้เซวียนจริงใจหรือเสแสร้งต่อท่าน”
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น นัยน์ตามีประกายของน้ำตา “แม่นางเมิ่ง ข้า…ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลง ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “คุณชายรองคิดทบทวนให้ดีละกันเจ้าค่ะ พวกเราช่วยท่านได้แค่ระยะหนึ่ง แต่ไม่อาจช่วยท่านได้ตลอดชีวิต หลังจากนี้ต่อไปจะทำเช่นใด และทำอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับใจของท่าน” พูดจบ ก็เดินออกไป
หวงฝู่อวี้ยังคงอยู่ในห้อง นึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับหลายวันที่ตัวเองได้กระทำลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากเรือนของหวงฝู่อวี้ พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ นางพูดได้เท่านี้ หากภายหลังหวงฝู่อวี้ยังหูเบาเชื่อฟังคำยุแยงของคนอื่นอีก และทำตัวเป็นปรปักษ์ต่ออี้เซวียน นางก็จะไม่เกรงใจเหมือนตอนนี้อีก การที่คนมีจิตใจดี มีเมตตาเป็นเรื่องที่ดี แต่หากใจดี มีเมตตาเกินไป ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนได้ นางจะไม่ทำให้หวงฝู่อวี้ต้องกลายเป็นจุดอ่อนของอี้เซวียน ที่จะทำให้ชีวิตเขาในภายหลังต้องพานพบกับความหายนะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยเด็ดขาด
เฮ่ออีเดินรอบจวนกลับมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ในเรือน จึงรู้สึกแปลกใจ ขณะที่กำลังจะโค้งคำนับนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็โบกมือห้าม พูดว่า “อย่ารบกวนนายของเจ้า มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องให้เขาคิดทบทวนให้ดี” พูดจบ ก็เดินออกไป กลับไปยังเรือนของตัวเอง
เฮ่ออีอึ้งไปชั่วครู่ และมองเข้าไปในห้อง
ภายในห้องไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
เฮ่ออีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ อยากจะเข้าไปในห้องดูเสียหน่อย แต่พอนึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ดึงเท้าที่ก้าวเหยียดออกไปกลับมา แล้วถอยไปเฝ้าอยู่ที่ประตูนอกเรือน
ไทเฮาและฮ่องเต้ไม่รับปากอี้เซวียนถึงเรื่องงานสมรสของเขา แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองคาดเดาไว้ได้แล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริง ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงไม่เป็นสุข มักจะเกิดความรู้สึกว่า ในใจอัดอั้นไปด้วยสุมไฟที่ไม่อาจหาที่ระบายออกได้ พอกลับเข้าห้อง ก็สั่งชิงหลวนให้นำยาสมุนไพรแต่ละชนิดวางไว้บนโต๊ะ โบกมือให้พวกเขาออกไป แล้วใช้แรงตำยาอย่างหนัก เสียง ตึงตึงตึง นั้น น่าสะพรึงจนทำให้ชิงหลวนและจูหลีสองคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างมองหน้ากัน
เสียงตำยาดังต่อเนื่อง ล่วงเลยจนเวลาพลบค่ำถึงหยุดลง ชิงหลวนและจูหลีมองกันแวบหนึ่ง ขณะที่กำลังจะส่งเสียงซักถาม เมิ่งเชี่ยนโยวได้เปิดม่านประตู เดินออกมาจากห้อง นางเดินไปยังข้างนอก พลางพูดสั่งว่า “ชิงหลวน เจ้าไปเรียกคุณชายรองให้ไปช่วยในครัว จูหลีเจ้าไปเก็บกวาดสมุนไพรในห้องหน่อย”
ทั้งสองคนรับคำอย่างกระวีกระวาด และไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องครัว แม่ครัวและสาวใช้สามคนที่ช่วยอยู่เห็นนางเดินเข้ามา ก็ทักทายอย่างนอบน้อม “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปเถอะ ข้าวเย็นวันนี้ข้าจะทำเอง”
นางมักจะมาทำอาหารในห้องครัวเป็นประจำ แม่ครัวและเหล่าสาวใช้เคยชินจนเห็นว่า เรื่องแปลกกลายเป็นปกติเสียแล้ว พอได้ยินแล้วก็เดินออกไปด้านนอก เหลือแต่เพียงสาวใช้คนหนึ่งที่อยู่เพื่อเตรียมช่วยนางจุดไฟ
“เจ้าก็ออกไปด้วยเถิด ประเดี๋ยวจะมีคนมาช่วย”
สาวใช้ก็เดินออกไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนอยู่ในห้องครัวหนึ่งรอบ เพื่อสำรวจว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง พอคิดออกว่าจะทำอาหารอะไรบ้าง ก็เริ่มเตรียมตัว
หวงฝู่อวี้เหม่อนิ่งอยู่ในห้องทั้งบ่าย คิดถึงว่า ตลอดหลายปีนี้พระชายาทำดีกับตัวเอง และยังมีหวงฝู่อี้เซวียนที่หลังจากกลับมาแล้ว ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซื่อจื่อก็ไม่ได้เป็นเหมือนบุตรของพระชายาบ้านอื่นที่จะผลักไสไล่ส่งตน แต่กลับปฏิบัติเหมือนกับเป็นพี่น้องแท้ๆ ด้วยเหตุนี้ แม่ของเขาจึงหลอกยืมมือเขาไปวางยาหวงฝู่อี้เซวียน
เรื่องราวแต่ละเรื่องค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหัวของเขา เวลานี้หวงฝู่อวี้ถึงจะรู้ซึ้งว่า ครั้งนี้ตัวเองได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ ผิดอย่างมหันต์เสียด้วย ความรู้สึกเสียใจภายหลังที่นับไม่ถ้วนเอ่อล้นขึ้นในใจ อยากจะรีบกลับไปที่จวนเพื่อขอขมา
ชิงหลวนเข้ามาตะโกนเรียกเขา บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาไปช่วยงานในครัว หวงฝู่อวี้ถึงจะเรียกสติกลับคืนได้ นึกอย่างแรกก็คือ เมิ่งเชี่ยนโยวคิดวิธีใหม่ที่จะมาจัดการเขาอีกแล้ว แม้ว่าไม่ยินยอม ก็ไม่กล้าที่จะต่อต้าน จึงลุกขึ้น เดินออกไป แล้วตามมาถึงห้องครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าหั่นผัก เห็นเขาเข้ามา จึงสั่งว่า “เย็นนี้ข้าจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ท่านสักสองสามอย่างนะเจ้าคะ ท่านมาจุดไฟหน่อยเจ้าค่ะ”
งานชั้นต่ำเช่นนี้ ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะเคยทำ จึงบ่นอย่างไม่พอใจทันที “นี่เป็นงานที่บ่าวรับใช้เท่านั้นถึงจะทำ ข้าทำเป็นที่ไหนกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดหั่นผักลง มองเขาอย่างทีเล่นทีจริง และพูดว่า “ในบ้านของข้า ไม่มีการแยกว่าใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว อี้เซวียนมา ก็ต้องช่วยจุดไฟเหมือนกัน ท่านจะทำไม่เป็นได้อย่างไร”
หวงฝู่อวี้ส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้าไม่เชื่อ พี่ใหญ่เป็นคนสูงศักดิ์เช่นนั้น จะช่วยเจ้าจุดไฟได้อย่างไร เจ้าอย่ามาหลอกข้าเสียเลย”
“ท่านจะไม่จุดไฟจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับอย่างใจเย็น
หวงฝู่อวี้ฟังออกว่านางกำลังพูดขู่อยู่ กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างอ่อนแรง “ถ้าข้าไม่จุดไฟ จะเกิดอะไรขึ้น”
“แน่นอนว่าจะไม่มีข้าวกินสิเจ้าคะ ไว้เมื่อไรที่ท่านจุดไฟเป็นแล้ว ค่อยกินข้าวนะเจ้าคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาอย่างสบายๆ
หวงฝู่อวี้ถลึงตา ถามกลับอย่างไม่เชื่อถือด้วยความตกใจ “ไม่มีข้าวกิน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแรงๆ
เห็นนางดูเหมือนไม่ได้ล้อเล่น หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วย่นอย่างสับสน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าลงไปหั่นผักใหม่อีกครั้ง
หวงฝู่อวี้ยืนอยู่ที่เดิม มองดูท่าทางอย่างชำนาญของนางชั่วครู่ ถึงจะกัดฟันพูดว่า “จุดก็จุด ถ้าไฟไม่ดี เจ้าก็อย่ามาโทษข้าละกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดชี้ไปยังตำแหน่งของเตาไฟ “เตรียมฟืนไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านไปจุดไฟเลยเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้เดินอย่างอุ้ยอ้ายเข้าไป มองเตาไฟอย่างขยะแขยง พับเสื้อผ้าของตัวเองอย่างระมัดระวังเสร็จแล้ว ถึงจะย่อลงมาอย่างไม่เต็มใจ คว้าฟืนกำใหญ่ยัดเข้าไปภายในเตา เมื่อเจอหินเหล็กไฟ ก็ออกแรงตีเพื่อจุดให้ไฟติดบนฟืน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีที่ดูเอาการเอางานของเขา ก็ไม่ได้สนใจเขาอีก ก้มหน้า เริ่มหั่นผัก
หลังจากที่หวงฝู่อวี้จุดไฟได้ก็รู้สึกได้ใจอย่างมาก แต่ไฟติดเพียงชั่วครู่ก็มอดดับลง ทำให้รู้สึกร้อนรนใจอย่างมาก พอจุดอีกครั้ง ก็มอดดับอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ภายในครัวเต็มไปด้วยควันโขมง
หวงฝู่อวี้สำลักตลอด เฮ่ออีทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงเดินเข้ามาข้างๆ เตาไฟ “นายท่าน ให้ข้าช่วยท่านเถิดขอรับ”
หวงฝู่อวี้ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนมาช่วย พอจะลุกขึ้นและเพิ่งจะลุกได้ครึ่งเดียว เสียงที่เข้มงวดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “ข้าไม่อนุญาตให้ช่วยเขา อนุญาตได้เพียงแค่บอกให้เขาทำอย่างไร”
ร่างของหวงฝู่อวี้ก็ย่อลงกลับไป
เฮ่ออีให้เขานำฟืนในเตาออกมาส่วนหนึ่ง และจุดใหม่ สอนให้เขาเป่าอย่างไร ถึงจะสามารถทำให้ไฟลุกได้
หวงฝู่อวี้ทำตามที่บอก ไฟภายในเตาก็ลุกโชนขึ้นทันที ในใจรู้สึกยินดีและตะโกนร้องอย่างดีใจ “จุดติดแล้ว!”
“ดีมากเจ้าค่ะ ทำตามนี้เลย รอประเดี๋ยวที่ข้าไปผัดกับข้าว ก็จุดไฟให้แรงขึ้นก็ได้แล้ว”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า และใส่ฟืนกำเล็กๆ เพิ่มเข้าไปในเตาอย่างระมัดระวัง ทำให้ไฟแรงขึ้นเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมเสร็จ ก็เริ่มผัดกับข้าว โดยกำชับให้เขาจุดไฟให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย หวงฝู่อวี้มีท่าทีออกจะป้ำๆ เป๋อๆ เสียหน่อย ไฟติดแรงบ้าง เบาบ้าง พอไม่ระวังไฟก็มอดดับไปหลายครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้รีบร้อน และกำชับให้เขาทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็พอแล้ว
เดิมทีหวงฝู่อวี้กลัวเป็นอย่างมาก พอเห็นนางไม่ได้ต่อว่าตน และไม่ได้ลงโทษตน ใจก็ค่อยๆ สงบลง และค่อยๆ ทำความเข้าใจวิธีการ
อาหารทำเสร็จแล้ว หวงฝู่อวี้เหงื่อออกโซมกาย รู้สึกไม่สบายเหนียวตัวไปทั้งตัว จึงร้องขอว่า “ข้าอยากไปอาบน้ำก่อนสักหน่อย ค่อยมากินข้าว”
กับข้าวจานสุดท้ายยกออกมาวาง เมิ่งเชี่ยนโยวตักใส่จานเล็กแยกออกมา แล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ลองชิมดูว่าที่ข้าทำอร่อยหรือไม่เจ้าคะ”
อาหารที่กินตอนกลางวันล้วนถูกฝ่าเท้าเหล่านั้นของหวงฝู่อี้เซวียนถีบจนสำรอกออกมาหมดแล้ว กลิ่นที่หอมหวนของอาหารเมื่อครู่ ทำเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายไปหลายอึก พอเห็นจานที่ยื่นมาอยู่ตรงหน้า หวงฝู่อวี้ลุกขึ้นรับมา และหยิบตะเกียบที่เฮ่ออีส่งให้ คีบอาหารคำใหญ่เข้าปากทันที คำแรกที่ลงท้องไป ก็ถลึงตาด้วยความไม่เชื่อ พูดชมอย่างเป็นไม่คำ “อร่อย อร่อยสุดๆ เลย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองเขา และพูดว่า “แต่ไหนแต่ไรมาบ้านของพวกข้าไม่เคยมีกฎเหลืออาหารไว้ให้ใคร ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าท่านอยากจะไปอาบน้ำ”
หวงฝู่อวี้กินคำสุดท้ายหมด ก็นำจานส่งให้เฮ่ออี และส่ายหัว “ไม่รีบ ข้ากินข้าวเสร็จค่อยอาบน้ำก็ยังไม่สาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา
เมิ่งฉีกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำให้พวกเขารู้จักซึ่งกันและกันเสร็จ ก็พูดว่า “ข้ารับปากคุณชายรองว่าจะให้เขามาทำงานด้านบริหารจัดการโรงงานแล้ว วันรุ่งก็ให้เขาไปเข้างานเลยเจ้าค่ะ”
แม้ในใจของเมิ่งฉีรู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก และพยักหน้า
เมื่อกินข้าวเสร็จ หวงฝู่อวี้กลับไปยังเรือนของตัวเองเพื่ออาบน้ำ เมิ่งฉีอยู่ต่อ รอฟังคำอธิบายของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกเล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด และพูดว่า “จุดประสงค์ของอี้เซวียนและข้าคือ ให้เขาได้ออกห่างจากพวกลูกของข้าราชการเหล่านั้นก่อน เพื่อไม่ให้โดนพวกเขายุแยงให้ทำอะไรที่ไม่สมควร อีกประการก็คือ หลบเลี่ยงคนของสำนักมหาเสนาบดีที่จะมาหลอกใช้เขาเพื่อต่อกรกับจวนอ๋องฉี ส่วนด้านการค้านี้ ถ้าหากเขาสามารถเรียนรู้ได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี หากเรียนไม่ได้ก็ไม่บังคับเจ้าค่ะ”
เมิ่งฉีพยักหน้า “แม่เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้แม่พาเขาไปแล้วกัน”
“พรุ่งนี้ข้าก็ไม่มีธุระใด ข้าตามพวกท่านไปด้วยแล้วกัน วันแรกควรจะให้เขาได้ปรับตัวเสียหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งฉีไม่ได้คัดค้านอย่างไร
เมื่อได้ตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อย ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกลับเข้าไปพักในห้องตน
ทั้งคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็นั่งรถมาเข้ามายังโรงงานที่อยู่เป่ยเฉิง
เหล่าคนงานเข้างานตั้งแต่เช้าแล้ว เสี่ยวซือคือผู้ที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการโรงงานอยู่ ณ ตอนนี้ เมื่อเห็นคนสามสี่คนเดินเข้ามา ก็รีบเข้ามาแสดงความเคารพ “เถ้าแก่เนี้ย แม่นางเมิ่ง พวกท่านมาแล้วหรือขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วแนะนำ “นี่คือผู้ที่จะมาทำด้านบริหารจัดการใหม่ ต่อไปก็ให้เขาเรียนรู้จากเจ้า หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง เจ้าก็บอกเขาได้เลย”
ทันทีที่เสี่ยวซือได้ยินว่าเป็นคนที่มาทำงานด้านบริหารจัดการ ก็อึ้งไปชั่วครู่ คิดไปว่าตัวเองทำไม่ดีตรงไหน ต้องถูกให้โยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งเสียแล้ว คิดไปพลาง ก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหวาดกังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มบอกเป็นนัยให้เขา “เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าให้ละเอียดอีกที เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว”
เสี่ยวซือเข้าใจความหมายในคำพูดของนางทันที ความเบิกบานใจก็กลับคืนสู่ใบหน้า และพยักหน้าไม่ขาดสาย “บ่าวรับทราบแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพาหวงฝู่อวี้มาที่โรงงานทำบะหมี่มันฝรั่งก่อน หวงฝู่อวี้ได้เห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกประหลาดใจชั่วขณะ เดินไปตรงนี้ที มองไปทางนั้นที เมิ่งฉีก็ไม่ได้ห้ามเขา รอจนเขาได้มองพอแล้ว ก็นำเขามายังโรงงานทำกุนเชียง
เมื่อได้เห็นกุนเชียงที่ตากแห้งไว้ในโรงงาน หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และยังได้สูดกลิ่นที่ปะทะเข้ามาของกุนเชียงที่อยู่ตรงหน้า หลังจากเข้าภายในโรงงาน เห็นนายทหารบาดเจ็บและพิการเหล่านั้นกำลังทำไส้ใส่กุนเชียง ก็เกิดความใคร่รู้อย่างมาก จึงวอนขอต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าก็อยากลองบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าให้เขาไปล้างมือ แล้วให้นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้านายทหารคนหนึ่ง เรียนรู้วิธีการจากเขา
นายทหารทำจนชำนาญอย่างมากแล้ว หวงฝู่อวี้กลับทำไส้ของกุนเชียงรั่วตลอด เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร แต่นายทหารคนนั้นรู้สึกเสียดาย จึงพูดว่า “คุณชาย นี่ไม่ใช่งานที่ท่านทำได้ ท่านรีบหยุดทำเถิด ท่านทำของสิ้นเปลืองมากเกินไปแล้วขอรับ”
หวงฝู่อวี้ทำไส้ของกุนเชียงแตกเกือบทุกอัน ตัวเองก็หมดความรู้สึกสนใจลง ได้ยินแล้วจึงลุกขึ้นไปล้างมือให้สะอาด และกลับมาถาม “ข้าต้องทำอะไรหรือ”
“ก่อนอื่นท่านต้องจำกระบวนการการทำงานของโรงงานนี้ให้แม่นยำ จากนั้นตรวจสอบว่าพวกเขาทำจุดใดผิดบ้าง อีกทั้ง ต่อจากนี้ไป บันทึกสินค้าส่งออกและนำเข้า ก็ต้องการให้ท่านทำให้เรียบร้อยเจ้าค่ะ”