ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 171-1 ผู้อยู่เบื้องหลัง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 171-1 ผู้อยู่เบื้องหลัง
ซุนวั่งเคยถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตำหนิ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับนาง จึงได้มีความรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้ยินดังนั้น เขามีแววตาเปลี่ยนไป ร่างกายขยับเล็กน้อย แต่ทว่า เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงกับชีวิตของซุนเชี่ยนและชื่อเสียงของตระกูลซุน ซุนวั่งจึงอดกลั้นไม่เผยความกลัวออกมา กล่าวว่า “พูดง่ายดีนี่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เมิ่งเสียนจะใยต้องรับนางมาเป็นเมียน้อยหรือ บัดนี้ข้ามาหาถึงที่ พวกเจ้าจึงได้พูดเช่นนี้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเองก็รีบพูดว่า “ท่านชาย พวกเราไม่ปิดบังความจริงหรอก การที่เสียนเอ๋อร์รับนางมาเป็นเมียน้อยเพราะเสียไม่ได้ เนื่องจากถูกคนวางแผนใส่ร้าย ไม่เพียงแต่เชี่ยนเอ๋อร์หรอก แต่เสียนเอ๋อร์เองก็ทรมานใจมากเช่นกัน”
เมื่อวานสีหน้าของเมิ่งเสียนเองก็ไม่สู้ดี ดูไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน ซุนวั่งเริ่มเชื่อแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่วางใจ จึงพูดว่า “เชี่ยนเอ๋อร์เล่า พวกเจ้าไปตามนางมา ข้าถามนางเสียก่อนค่อยว่ากัน หากสิ่งที่พวกท่านพูดไม่เป็นความจริง วันนี้ข้าก็จะพาเส้าเอ๋อร์กลับไปด้วย ตระกูลซุนของเราเลี้ยงดูพวกเขาสองแม่ลูกเองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนว่า “ไปเรียกพี่ชายใหญ่และซ้อมา”
ชิงหลวนตอบรับ ไปยังห้องของเมิ่งเสียน ไม่นานก็กลับมารายงานว่า “ทั้งสองบอกว่าอีกครู่จะรีบตามมาเจ้าค่ะ”
ซุนวั่งได้ยินดังนั้นจึงแปลกใจ ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยากลับรู้สึกใจเต้นกลัว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแต่ไม่พูดกระไร
ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนถึงได้ตามมาอย่างรีบร้อน ดูออกว่าเพิ่งจะตื่นนอน ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาก็มาเสียแล้ว เมื่อเห็นว่าซุนวั่งอยู่ในห้อง ซุนเชี่ยนผงะไปเล็กน้อย อ้าปากถามอย่างตะลึงว่า “เตี่ย ท่านมาทำอะไรหรือ ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นหรือเจ้าคะ”
ซุนวั่งขมวดคิ้ว ตำหนิด้วยเสียงดุ “ดูสภาพเจ้าทีสิ เป็นถึงสะไภ้ของบ้าน แต่กลับนอนตื่นสายโด่ง รู้ไปถึงไหนตระกูลซุนของเราก็ต้องอายไปถึงนั่น อยู่ที่บ้านพวกเราสั่งสอนเจ้าเช่นนี้หรือ”
ซุนเชี่ยนหน้าแดง ไม่กล้าโต้เถียง
ซุนวั่งรู้สึกอับอาย ตนเองรีบมาแต่เช้าตรู่ก็เพื่อจะมาไตร่สวนความผิดของผู้อื่น คิดว่าลูกสาวของตนนั้นไม่มีข้อเสียใด แต่เมิ่งเสียนกลับรับเมียน้อยเข้าบ้าน แสดงว่าไม่ได้ให้ความเคารพตระกูลซุนเลย แต่เหตุการณ์เช่นนี้กลับทำให้ตนเองขายหน้า ทีแรกคิดว่าจะมาอาละวาด แต่คำที่ตนเองพูดเมื่อครู่กลับกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นซุนเชี่ยนถูกตำหนิ เมิ่งเสียนรีบขอโทษแทนนาง “ท่านพ่อตา เรื่องนี้จะโทษเชี่ยนเอ๋อร์มิได้ขอรับ เป็นข้าเองที่รั้งนางไว้บนเตียง”
เมื่อเขาพูดออกไป ใบหน้าของซุนเชี่ยนก็แดงขึ้นมา ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
ทั้งซุนวั่งและเมิ่งเอ้ออิ๋นต่างอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือจะไม่เข้าใจความหมาย หมดคำพูดไปชั่วขณะ
เมิ่งเสียนรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ใบหน้าก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นพร้อมก้มหน้าลง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซุนวั่งจึงได้แกล้งทำเสียงกระแอมขึ้น เพื่อเลี่ยงบทสนทนานี้ พูดว่า “ข้าถามเจ้าหน่อยเถิด ในเมื่อพวกเจ้ารักกันถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องรับเมียน้อยเข้าบ้านเพิ่ม”
ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ ซุนเชี่ยนเงยหน้า ตอบอย่างเร่งรีบว่า “เตี่ย เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเจ้าค่ะ เซี่ยงกงถูกคนใส่ร้ายเจ้าค่ะ”
ขนาดซุนเชี่ยนก็ยังพูดเช่นนี้ ซุนวั่งจึงเชื่อหมดใจ พูดกับทุกคนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะไม่ถามให้มากความ หวังว่าพวกเจ้าจะทำได้อย่างที่พูดนะ หลังตรุษจีนแล้วหวังว่าข้าจะได้คำตอบที่น่าพอใจ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบให้สัญญา “วางใจเถิด คำพูดพวกเราเชื่อถือได้ พวกเราจะให้คำตอบที่น่าพอใจต่อท่านสำหรับเรื่องนี้เป็นแน่”
ซุนวั่งพยักหน้า และก็ตำหนิซุนเชี่ยนอีกเล็กน้อย “เป็นถึงสะไภ้แล้ว ต้องรู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่สามี ดูและเรื่องในบ้านโดยไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าทำตัวเป็นลูกสาวที่จะทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตน”
ซุนเชี่ยนหน้าแดงพยักหน้าตอบรับ
ซุนวั่งยืนขึ้น วางเส้าเอ๋อร์ไว้บนพื้น พูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “อย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากต้องการให้ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ เมิ่งเสียนเป็นลูกเขยตระกูลซุน ใส่ร้ายเขาก็เท่ากับใส่ร้ายตระกูลซุนของเรา พวกเราจะละเลยไม่ได้”
ใบหน้าของเมิ่งเอ้ออิ๋นเผยความสบายใจออกมา พยักหน้าระรัว ไม่ได้รั้งเขาไว้ ครอบครัวเมิ่งส่งซุนวั่งกลับบ้าน มองดูเขาขึ้นรถม้าแล่นไกลออกไป
เมิ่งซื่อหันหลังกลับ พูดกับซุนเชี่ยนและเมิ่งเสียนว่า “ข้าเก็บอาหารของพวกเจ้าเอาไว้ในหม้อ ไปกินเสียสิ”
ซุนเชี่ยนอายจนหน้าแดง ก้มหน้าตอบรับ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อพาเส้าเอ๋อร์ เมิ่งเจี๋ยกลับห้องซีเซียง ไปเก็บของที่หวงฝู่อี้เซวียนฝากมาให้
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เมิ่งเสียน เป็นสัญญาณให้เขาไปห้องครัว
ส่วนตนนั้นเดินไปด้านหน้าโอบไหล่ของซุนเชี่ยนเอาไว้ กระซิบข้างหูนางว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าพูดไม่ผิดคำเลยใช่หรือไม่”
ซุนเชี่ยนหน้าแดง พยักหน้า “เซี่ยงกงเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หลังจากดื่มจนเมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก จนกระทั่งตื่นมาตอนเช้า ถึงได้…” ประโยคหลังไม่ได้พูดออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจชัดเจน พูดว่า “เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร หลังกินข้าวเสร็จพวกเราค่อยไปจัดการกับรั่วหลาน”
ความจริงถูกพิสูจน์แล้ว ในใจของซุนเชี่ยนก็เริ่มมั่นใจขึ้นมา เมื่อพูดถึงรั่วหลานก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอีกเช่นเคย พูดว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราจะไปกันตอนนี้เลย ต้องไปถามนางให้แน่ชัด ว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้าเองยังไม่ได้ส่องกระจกใช่หรือไม่ ลองไปส่องดูสิ สภาพเช่นนี้จะไปพบผู้อื่นได้อย่างไร”
ซุนเชี่ยนถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนถูกชิงหลวนตะโกนปลุกให้ตื่นขึ้น จึงได้เดินออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้าล้างตาเลย ดังนั้นจึงได้รีบร้อนเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้ายิ้มๆ เดินเข้าไปในห้องครัว
เมิ่งเสียนได้ตักข้าวเรียบร้อบแล้ว เมื่อเห็นว่านางเดินเข้ามาผู้เดียว จึงได้ถามอย่างแปลกใจว่า “ซ้อเจ้าล่ะ”
“ซ้อไปล้างหน้าล้างตาเจ้าค่ะ ข้าเข้ามาก็เพื่อจะถามพี่ใหญ่สักหน่อย”
เมิ่งเสียนวางชามข้าวไว้บนโต๊ะ ถามว่า “ถามอะไรหรือ เจ้าถามมาเถิด”
“พี่ใหญ่คิดอย่างไรกับรั่วหลานเจ้าคะ” เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวถามจบ ก็จ้องมองไปที่เมิ่งเสียน มองสีหน้าของเขาอย่างละเอียด
เมิ่งเสียนเผยสีหน้าขยะแขยงออกมา “ข้าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับนาง เจ้าจะจัดการกับนางอย่างไรก็ได้”
“นางเป็นถึงสาวงามเชียว งามกว่าซ้อเสียอีก พี่ใหญ่ไม่สนใจเลยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจถามเขา
เมิ่งเสียนชักสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “น้องเล็ก ได้แต่งงานกับหญิงอย่างเชี่ยนเอ๋อร์ก็ถือเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว ต่อให้รั่วหลานเป็นนางฟ้าแปลงกายลงมา ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ปรับสีหน้า พูดอย่างจริงจังว่า “พี่ใหญ่ ท่านจำคำของท่านวันนี้เอาไว้ แม้ว่าพวกเราจะเป็นพี่น้องกัน แต่หากวันใดท่านทำเรื่องให้ซ้อต้องเสียใจ ข้าก็จะไม่ปล่อยท่านไป”
สีหน้าของเมิ่งเสียนไม่เปลี่ยนไป พยักหน้าอย่างมั่นใจ
ซุนเชี่ยนล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับมาอย่างรีบร้อน พูดกับเมิ่งเสียนว่า “เซี่ยงกง ท่านกินข้าวเสร็จแล้วนำอาหารที่เหลือเก็บไว้ในหม้อ อีกครู่ข้าจะกลับมาเก็บล้าง” พูดจบ ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบกลับ ก็รีบคว้ามือเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องเล็ก พวกเราไปกันเถิด”
เมิ่งเสียนกำลังจะอ้าปากถาม แต่ทั้งสองก็ได้เดินออกไปเสียแล้ว
แม้จะบอกว่าจัดสรรจวนให้อยู่ แต่ที่จริงแล้วก็เพียงล้อมห้องพักของบ่าวไพร่ทั้งแถวเอาไว้ให้อยู่เท่านั้น ยังอยู่ในบริเวณของจวนหลัก ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึง
สาวใช้ของซุนเชี่ยนผลัดกันเฝ้ายามรั่วหลานตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็ทำความเคารพ
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“เรียบร้อยดีมากเจ้าค่ะ ตั้งแต่กลับเข้าห้องเมื่อคืน ก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย” สาวใช้คนหนึ่งตอบ
“เปิดประตู”
สาวใช้ตอบรับ เปิดประตูออก เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนเดินเข้าไป