ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 171-2 ผู้อยู่เบื้องหลัง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 171-2 ผู้อยู่เบื้องหลัง
รั่วหลานนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงด้านนอก จึงลุกขึ้นอย่างยากลำบาก พูดอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านพี่ เสี่ยวกู ประทานโทษที่รั่วหลานไม่ได้ออกไปทำความเคารพ ร่างกายของรั่วหลานเจ็บเหลือเกิน”
แรงถีบของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นแรงเหลือเกิน รั่วหลานถูกถีบจนกระเด็นร่วงลงกับพื้นอย่างแรง นางพูดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะมารยา
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองห้องนาง เคลื่อนตั่งสองตัวมานั่งระยะห่างจากรั่วหลานเพียงสองก้าว บอกซุนเชี่ยนให้นั่งลง
แม้ว่าซุนเชี่ยนจะไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งลง และถามรั่วหลานอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของข้าหรือไม่”
รั่วหลานพยักหน้าอย่างลืมตัว จากนั้นก็รีบส่ายหน้า
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบนิ่ง แต่คำพูดที่พูดออกมาทำให้รั่วหลานต้องกลัวจนตัวสั่น “เจ้าน่าจะรู้จักสินัยของข้าดี ทางที่ดีเจ้าตอบคำถามที่ข้าจะถามเจ้าด้วยความสัตย์จริงดีกว่า มิเช่นนั้นข้าก็มีวิธีเป็นร้อยที่จะทำให้เจ้าต้องร้องของชีวิต”
รั่วหลานคงจะกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งแต่ถูกนางถีบกระเด็นเมื่อวาน เมื่อนางพูดจบ จึงรีบพยักหน้าแรงๆ
“ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เคยได้ยินชื่อข้าหรือไม่”
ครั้งนี้รั่วหลานพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “เคยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง น้ำเสียงแข็งขึ้นมา “ได้ยินมาจากใคร”
“ได้ ได้ ได้ยินมาจากเถ้าแก่หลิวเจ้าค่ะ” พูดจบก็เปลี่ยนคำว่า “ข้าได้ยินมาจากท่านลุงเขยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเผยร้อยยิ้มน่ากลัวออกมา ถามว่า “เป็นเถ้าแก่หลิวจริงๆ หรือ”
รั่วหลานเบิกตาโพลง มองนางอย่างตกใจ
สีหน้าของนางบ่งบอกทุกอย่างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ต้องถามอะไรอีก ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้นั้นเป็นจริง จึงพูดว่า “ดูทีแล้ว หากเจ้าไม่ได้รับการสั่งสอนจากข้า ก็คงไม่ยอมพูดความจริงสินะ”
รั่วหลานถดเข้าหาเตียงอย่างลืมตัว พูดเสียงร้อนรนว่า “เสี่ยวกูเจ้าคะ ที่ข้าพูดเป็นความจริง เถ้าแก่หลิวเป็นลุงเขยของข้าจริงๆ ข้าไม่ได้โกหกท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางอย่างไร้สีหน้าอยู่นาน จนกระทั่งรั่วหลานใจแทบเต้นระรัว มีสีหน้าตื่นตระหนก ถึงได้เลิกจ้องนาง จะโกนเสียงดังว่า “จูหลี! ”
จูหลีตอบรับและเดินเข้ามา “นายหญิง!”
“เมื่อวานแม่นางรั่วหลานล้มจนเจ็บไปทั่วทั้งร่างเข้าช่วยนวดให้นางที” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรียบๆ
จูหลีตอบรับ เดินหน้านึงไปหารั่วหลาน
รั่วหลานกลัวจนถดตัวไปด้านหลัง ถามด้วยความกลัวว่า “เจ้าจะทำอะไร”
จูหลีไม่ตอบ เอื้อมมือคว้าตัวนางไว้ กดนางไว้บนเตียง บังคับนวดให้นางตามคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว
เสียงร้องดั่งถูกเชือดของรั่วหลานดังขึ้น
สาวใช้ทั้งสองของซุนเชี่ยนอยู่ที่หน้าประตูรู้สึกทั้งสะใจและกลัว สะใจที่เสี้ยนหนามตำใจอย่างรั่วหลานผู้นั้นถูกลงโทษเสียที แต่สิ่งที่กลัวคือ หากตนเองทำผิดขึ้นมา จะถูกลงโทษเช่นนี้หรือไม่
ซุนเชี่ยนไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน รู้สึกทนไม่ไหว แต่เมื่อนึกถึงว่านางเป็นเหตุที่ทำให้คนทั้งครอบครัวกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเดือน จึงได้อดกลั้นไว้ไม่พูดอะไรออกมา
การนวดของจูหลีคือการกดจุดประสาทของรั่วหลาน ทุกครั้งที่นางกด รั่วหลานรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ตายไปแล้ว กดจุดไม่กี่ครั้ง นางก็เจ็บจนแม้แต่ปลายผมก็ยังมีเหงื่อออกมา รีบขอร้องว่า “ข้ายอมพูดแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล่าวอะไร จูหลีก็ไม่หยุดมือ จนกระทั่งเสียงอ้อนวอนของรั่วหลานเริ่มแหบแผ่วลง จนกระทั่งซุนเชี่ยนทนไม่ไหวอยากจะขอร้องชีวิตแทนนางนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดปากพูดว่า “พอแล้ว”
จูหลีจึงได้หยุด ถอยออกไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
รั่วหลานหายใจหอบ นางเจ็บจนเหงื่อออกเปียกท่วมทั้งร่าง รู้สึกราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของตนถูกหักออกมา และประกอบเข้าไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ไม่ได้รีบร้อน นั่งลงบนตั่งมองนางอย่างผ่อนคลาย
ผ่านไปราวๆ สิบห้านาที รั่วหลานจึงได้รู้สึกว่าร่างกายของนางไม่ได้เจ็บเท่าเดิมแล้ว รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จึงได้พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แม่นางอยากจะถามอะไรก็ถามมาเถิด ข้าไม่กล้าโกหกอีกต่อไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้พูดว่า “เถ้าแก่หลิวคือผู้ใดกัน”
รั่วหลานไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป ตอบคำถามตามตรง “เขาเป็นผู้ว่าการเขตเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนเบิกตาโตอย่างตกใจ
“เจ้าเป็นใคร เป็นอะไรกับเขา”
สายตารั่วหลานขยับเล็กน้อย เม้มปาก ครู่หนึ่งจึงได้ตอบว่า “ข้าเป็นเมียน้อยคนที่เจ็ดของผู้ว่าราชการเขตเจ้าค่ะ”
ซุนเชี่ยนตกใจจนลุกขึ้นอย่างเร็ว ตึง ชี้หน้ารั่วหลานว่า “เจ้า เจ้า เจ้า…”
รั่วหลานเปลี่ยนเป็นท่าคุกเข่าอยู่บนเตียง “ฮูหยินไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ท่านชายพูดว่าหากท่านทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เขาก็จะขายครอบครัวของข้า”
“ซ้อ นั่งลงเจ้าค่ะ ฟังความทั้งหมดของรั่วหลานเสียก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
อย่างไรก็ตามซุนเชี่ยนก็เป็นคนที่ทำธุรกิจมานาน ไม่ใช่แม่บ้านทั่วๆ ไป หลังจากตกใจไปแล้ว ไม่นานก็สามารถสงบลงได้ นั่งลงที่ตั่งดังเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พูดมาสิ เหตุใดผู้ว่าการเขตจึงได้ให้เจ้ามาทำเช่นนี้”
รั่วหลานคุกเข่าลงบนโต๊ะ พูดช้าด้วยเสียงแหบแห้งว่า “แม่นางจำตระกูลเฉียวได้หรือไม่” พูดจบก็เสริมอีกว่า ตระกูลของเฉียวหมิ่นที่ถูกส่งไปยังที่พักชั่วคราวของทางการน่ะเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบว่า “ข้าจำได้”
“ท่านผู้ว่าการเขตเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเฉียว ข้าเองหลังจากที่ท่านมาประจำการแล้ว ก็ถูกตระกูลเฉียวขายส่งมาให้เป็นเมียน้อยของท่าน เพื่อจะได้ผูกดองกับท่าน ปีนั้นแม่นางตระกูลเฉียวก็ได้หมั้นหมายกับจูหลานแล้ว ได้ยินมาว่าเพราะท่าน แม่นางตระกูลเฉียวจึงได้มีจุดจบที่น่าสงสารเช่นนั้น หลายปีมานี้ ตระกูลเฉียวได้เก็บความแค้นไว้ในใจ รอโอกาสที่จะแก้แค้นท่านและท่านชายจู แต่ว่าก็หาโอกาสไม่ได้ จนกระทั่งผู้ว่าการเขตผู้นี้ได้มาประจำการที่เขตชิงเหอ ตระกูลเฉียวจึงได้มีความหวัง อย่างแรกก็เอาใจเขา โดยการซื้อตัวข้าและหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ส่งไปเป็นเมียน้อยของเขา และยังมอบเงินทองมากมายให้เขา ขอร้องให้ผู้ว่าการเขตหาวิธีให้ครอบครัวของเขาถูกปล่อยออกมาจากที่นั่น จากนั้นก็หาวิธีปิดล้อมร้านค้าของท่านชายจู และยังบังคับให้เขาหย่ากับภรรยาและมาแต่งงานกับแม่นางเฉียว”
พูดถึงตรงนี้ นางคงจะเหนื่อยแล้ว หายใจหอบ จึงได้พูดต่อว่า “ทีแรกท่านชายจูไม่ยอม แต่ตระกูลเฉียวกลับตามตื้อไม่ถอย จนกระทั่งกิจการของท่านชายจูเกือบจะพังไปแล้ว เขาจนปัญญา วางแผนจะพาครอบครัวของคนเองหนีไปบ้านพ่อตา แต่ผู้ว่าการกลับส่งคนมาจับตามองจวนจูไว้ ไม่ให้พวกเขาออกจากเขตนี้ไป”
คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดเข้าหากัน ก่อนตรุษจีนเซี่ยเจียงเฟิงไปหานางที่เมืองหลวง แต่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย เขาไม่รู้เรื่อง หรือว่าถูกบังคับจนไม่กล้าพูดกับนาง
คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “แล้วพี่ใหญ่ของข้าเกี่ยวอะไรด้วย”
“แม่นางเฉียวกล่าวว่าตอนนั้นเป็นเพราะท่านจึงทำให้นางต้องเดินมาถึงจุดนี้ นางจะต้องแก้แค้นให้ได้ ดังนั้นจึงได้มีแผนให้ท่านผู้ว่าการมาขอร่วมธุรกิจ และเชิญท่านชายเมิ่งไปยังในเมือง ส่วนเรื่องร้านรวงนั้น เป็นของปลอมทั้งสิ้น ของด้านในเป็นของที่ย้ายมาจากบ้านจู เพื่อตบตาให้ท่านชายเมิ่งตกหลุมพรางเจ้าค่ะ ผู้ว่าการสั่งให้คนไปบอกเถ้าแก่ใกล้ๆ ร้านว่าหากมีคนมาถามถึงร้านนี้ จะต้องตอบตามที่พวกเขาได้สั่งไว้เท่านั้น”
“คืนนั้นเจ้าได้ทำอะไรลงไปบ้าง เจ้ามาที่บ้านของพวกเรามีเป้าหมายอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
รั่วหลานรีบยกมือปฏิเสธ รีบพูดว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ เพียงแค่ทำตามคำสั่งของพวกเขาเท่านั้น หลังเข้าไปแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออก นอนอยู่ข้างกายท่านชาย ตอนนั้นท่านชายดื่มจนเมามากแล้ว นอนนิ่งไม่ขยับ และไม่ได้แตะตัวข้าเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องอื่นนั้น เป็นของปลอมทั้งสิ้นเจ้าค่ะ กระทั่งภาพที่ท่านชายเห็นตอนหลับฝันก็เป็นฤทธิ์ยาที่ท่านผู้ว่าใส่ลงไป เป็นความฝันเจ้าค่ะ”
“แล้วอย่างไรต่อ เป้าหมายที่เจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร เจ้าลงแรงทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา คงไม่เพราะเพียงจะแต่งงานกับพี่ข้า และทำลายชื่อเสียงของพวกเราหรอกนะ”
รั่วหลานคุกเข่าอยู่บนเตียง ยืดตัวตรง ก้มหัวคำนับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นาง ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพราะถูกบังคับ หากข้าไม่ยอมทำ พวกเขาก็คงไม่ปล่อยครอบครัวของข้าไป ได้โปรดแม่นางเห็นแก่ตั้งแต่ที่ข้ามาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใด ไม่เคยทำร้ายคนในครอบครัวท่าน ปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง พูดว่า “พูดมาสิ หากเจ้าพูดความจริงออกมา ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
รั่วหลานเม้มปากแน่น มองเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างรอคอยว่า “แม่นางให้สัญญากับข้าได้หรือไม่ ขอแค่ข้าพูดออกมา ก็จะไว้ชีวิตข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอย่างเลือดเย็น โน้มตัวมาด้านหน้า เข้าใกล้นาง พูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้าหรือ”