ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 178 การช่วยชีวิตที่ยากเย็น
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 178 การช่วยชีวิตที่ยากเย็น
จูเสี่ยวปิดตาแน่น ไม่ได้ยินคำพูดอะไรของนางเลย มุมปากก็ยังคงมียาไหลออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวตาแดง และเช็ดให้เขาไม่หยุด ยาที่ดื่มไปแทบจะไหลออกมาจนหมด จนปากของจูเสี่ยวไม่มีอะไรให้ไหลออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยเขาเช็ดจนสะอาด กัดฟัน พูดสั่งว่า “ไปตักยามาอีกหนึ่งถ้วย”
ชิงหลวนและจูหลีสบตากัน จูหลีพยักหน้า ชิงหลวนรีบเดินออกไป ไม่นานก็ยกถ้วยยามาหนึ่งถ้วย
รอบนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนวิธีใหม่ ป้อนจูเสี่ยวหนึ่งคำแล้วมองเขากลืนลงไป ถึงจะค่อยๆ ป้อนอีกหนึ่งคำ หลังจากหมดไปหนึ่งถ้วยเล็กๆ แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงขั้นเหงือออกเต็มไปหมด แต่รอบนี้มุมปากของจูเสี่ยวไม่มียาไหลออกมา
โล่งใจไปเล็กน้อย ยื่นถ้วยยาให้ชิงหลวน มองดูสองแม่ลูกตรงหน้าที่หน้าแดง หายใจแรงเหมือนกัน เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหัวเข้าใกล้จางลี่ กัดฟันพูดขู่อยู่ข้างๆ หูของนาง “จางลี่ ข้าบอกเจ้า ตอนนี้ลูกชายของเจ้าใกล้ตายแล้ว ถ้าหากเจ้ายังไม่ลุกขึ้นมาดูแล ต่อไปเจ้าจะไม่เห็นหน้าเขาไปอีกตลอดชีวิต”
ชิงหลวนและจูหลีตกใจ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเหมือนซาตานและกล่าวต่อไปว่า “ก็ได้ หากเจ้าไม่สงสารลูกของเจ้าจริงๆ ข้าจะไปสงสารเขาทำไม ข้าบอกเจ้าว่าตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่สนใจแล้ว เจ้าสองแม่ลูกอยากตายก็ตาย อยากอยู่ก็อยู่ ไม่มีผลอะไรกับข้า” พูดจบ ก็ทำท่าทางให้เข้ากับที่นางพูด เดินถอยหลัง ถอยห่างจากสองแม่ลูกเล็กน้อย
แต่ชิงหลวนและจูหลีที่ตาไวได้สังเกตเห็นพร้อมกันว่า แม้หน้าตาของจางหลี่จะยังคงแดงอยู่ แต่ลมหายใจที่แรงของนางเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ทั้งสองต่างดีใจ เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน แสดงใบหน้าที่เลื่อมใสศรัทธาออกมา
แน่นอนว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนกัน ใจที่กังวลเริ่มคลายลงสักที ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา แล้วกลับอยู่ข้างจางลี่ จับมืออีกข้างของนางที่ไม่ได้วางไว้บนตัวจูเสี่ยว กล่าวว่า “ลี่เอ๋อร์ อดทนไว้ เสี่ยวเอ๋อร์รอเจ้าไปดูแลอยู่ จูหลานรอเจ้ากลับไปอยู่ ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ารอเจ้ากลับไปดูแลพวกท่านอยู่ เจ้ายังมีหน้าที่อีกเยอะ เจ้าจะปล่อยมือไปแบบนี้ไม่ได้ พี่โยวเอ๋อร์รับปากกับเจ้า หากเจ้าอดทนผ่านด่านนี้ไปได้ ข้าจะทำให้เฉียวหมิ่นตายโดยไม่มีแม้แต่ที่ฝังศพแน่นอน ให้เจ้าได้ปลดปล่อยความแค้นในใจของเจ้า
พูดถึงเฉียวหมิ่น จางหลี่ก็มีสีหน้าของความเจ็บปวดออกมา ค่อยๆ ขยับตัว เหมือนเป็นเพราะความรีบร้อน หรืออาจเป็นผลจากยาลดไข้ที่ดื่มลงไป หน้าผากเริ่มมีเหงื่อออกมา
จูหลีรีบหยิบผ้าสะอาดที่วางอยู่ข้างๆ ช่วยนางเช็คเหงื่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกเล็กน้อย ความตึงเครียดได้เบาลงเล็กน้อย
น่าจะเป็นเพราะความผูกพันของแม่ลูกจริงๆ ไม่เพียงแต่เหงื่อบนตัวของจางหลี่ที่ยิ่งไหลออกมา แม้แต่ใบหน้าเล็กๆ ของจูเสี่ยวก็เริ่มมีเหงื่อออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าด้วยตัวเอง เช็ดให้เขา ให้กำลังใจเขา “เสี่่ยวเอ๋อร์ ดีมาก ใช่ อดทนอย่างนี้ต่อไป”
ทุกคนยุ่งวุ่นวายในห้อง สาวใช้ทั้งหลายที่อยู่นอกห้องกลับมองสบตากัน ไม่รู้ว่าในห้องเกิดอะไรขึ้น สาวใช้หนึ่งในนั้นกล่าวถามออกมาอย่างกล้าหาญ “แม่นาง ต้องการให้พวกเราช่วยอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเสียงเรียบๆ ออกมาจากข้างในว่า “ต้มยาลดไข้เพิ่มอีก ทุกสองชั่วโมงยกเข้ามาหนึ่งรอบ ยังมีซุปโสม ต้มเพิ่มอีก บอกพวกคุณชายรองอาการของสองแม่ลูกดีขึ้นแล้ว บอกพวกเขาอย่าได้กังวล”
สาวใช้รับคำสั่ง ไปรายงานเมิ่งฉีและเซี่ยเจียงเฟิง
เมิ่งเชี่ยนโยวไปแล้วประมาณสองชั่วโมงกว่า ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมา ทั้งสองร้อนรนใจเป็นอย่างมาก ฟังคำรายงานของสาวใช้แล้ว ก็วางใจลง เมิ่งฉีลุกขึ้น กล่าวว่า “คุณชายเซี่ย ท่านนั่งพักก่อน ข้าไปสั่งงานเสร็จแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
เซี่ยเจียงเฟิงโบกมือ “คุณชายเมิ่งไปทำธุระของท่านเถิด ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า วันนี้ข้ารบกวนพวกเจ้ามากพอแล้ว”
เมิ่งฉีรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่พาคนงานมาพัก ยิ้มให้เขา กล่าวว่า “เราเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมากี่ปีแล้ว คุณชายพูดแบบนี้ก็เกรงใจเกินไป”
สั่งให้สาวใช้เปลี่ยนน้ำชาใหม่ให้เซี่ยเจียงเฟิง เมิ่งฉีกลับไปที่ห้องตัวเอง ในจวนเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ หวังเยียนต้องรู้เป็นคนแรกแน่นอน แต่เมื่อครู่ตอนที่เมิ่งฉีเข้ามาหยิบโสม ได้สั่งให้นางดูแลลูกดีๆ อย่าออกนอกห้อง รอเขาเสร็จธุระกลับมาแล้วจะเล่าให้นางฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
หวังเยียนเชื่อฟัง ไม่ได้ออกไปไหน แต่ว่ารอเกือบครึ่งวันแล้วเมิ่งฉีก็ยังไม่กลับมา กำลังจะให้สาวใช้คนสนิทของตัวเองไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเมิ่งฉีเดินเข้าห้องมา รีบกล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมิ่งฉีเห็นว่าเซิ่งเอ๋อร์หลับแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมา นำเรื่องตั้งแต่เแรกริ่มเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด
หวังเยียนและจางหลี่สองแม่ลูกก็คุ้นเคยกันดี เป็นคนตรงไปตรงมา นิสัยเข้ากันได้ ฟังจบ ดึงกระโปรงขึ้นแล้วเดินออกไป “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เมิ่งฉียื่นมือขวางนางไว้ “อย่าไปเลย ตอนนี้พวกเขาสองแม่ลูกยังสลบไม่ฟื้นเลย น้องเล็กกำลังหาทางช่วยพวกเขาอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย รอพวกเขาสองแม่ลูกฟื้นขึ้นมาก่อนเจ้าค่อยไปช่วย”
หวังเยียนเชื่อฟังเลยหยุดเดิน รีบกล่าวถามว่า “เมื่อไหร่พวกเขาสองแม่ลูกจะฟื้นขึ้นมา”
เมิ่งฉีส่ายหัวไปมา “พูดยาก ข้าเห็นสีหน้าของน้องสาวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คิดว่าไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เจ้ารออย่างวางใจเถิด ดูแลเซิ่งเอ๋อร์ คุณชายเซี่ยก็เป็นห่วงพวกเขาสองแม่ลูก วันนี้ไม่ไปแล้ว ข้ายังต้องไปเตรียมที่พักให้พวกเขา”
หวังเยียนพยักหน้า เอากล่องเล็กๆ สามกล่องออกมาจากกล่องใหญ่ เอาให้เขาทั้งหมด “ยังเหลือตรงนี้อีกไม่กี่กล่อง เจ้าเอาไปหมดเลย ต้มเยอะๆ ให้พวกเขาสองแม่ลูกดื่ม”
เมิ่งฉีรับมา แล้วก็กำชับนางอีกหลายคำ แล้วอุ้มกล่องออกไปที่ห้องครัว หยิบออกมากล่องหนนึ่ง ให้สาวใช้ สั่งนางให้ต้มซุปโสมมา
ยุ่งอยู่สิบห้านาที ใบหน้าของจางหลี่สองแม่ลูก เหงื่อที่ไหลออกเพราะความอ่อนเพลียของร่างกายถึงเริ่มลดน้อยลง สีหน้าเริ่มกลับมาเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสามถอนหายใจใหญ่ๆ หนึ่งรอบ ชิงหลวนหยิบผ้ามาผืนหนึ่ง ยื่นให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่เหงื่อออกเต็มหัว “นายหญิง เช็ดเหงื่อพักผ่อนสักครู่เถิดเจ้าค่ะ”
เมิ่วเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน ถอดเสื้อคลุมที่มีแต่รอยเปื้อนเลือดและยาน้ำติดอยู่ออก แล้วรับผ้ามา เช็ดเหงื่อที่ออกมาจากหน้าผาก ตรัสสั่งจูหลี “เจ้ากลับจวนไปเอาเสื้อคลุมมาให้ข้าตัวหนึ่ง”
จูหลีรับคำสั่ง เดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยววางผ้าบนมือลง จับมือของจูเสี่ยวมา จับชีพจรของเขา รู้สึกว่าเส้นชีพจรดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้ ค่อยโล่งอกเล็กน้อย จับมือของเขาวางเข้าไปในผ้าห่ม
เงยหน้าขึ้น มองท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว สั่งชิงหลวน “เจ้าออกไปฟังดูสิ องครักษ์ลับส่งข่าวคราวกลับมาบ้างหรือไม่”
ชิงหลวนก็เดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนนั่งอยู่บนเตียงร้อนอย่างเงียบๆ มองดูสองแม่ลูกที่สลบ ใจที่ยังกังวลอยู่ไม่ได้ลดลงเลย สองแม่ลูกโดนรุมทำร้ายเมื่อวาน ถึงวันนี้เวลานี้รวมแล้วเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ถ้าหากพรุ่งนี้ในเวลานี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีกก็อาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกตลอดชีวิต
ถ้าหากจูหลานถูกช่วยออกมาแล้วได้ยินข่าวนี้ ไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้หรือไม่ คิดถึงตรงนี้ ส่ายหัวไปมา ให้ตื่นจากความคิด สงบใจลง ไม่มีทาง เรื่องอย่างนี้ตนจะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ชิงหลวนเดินเข้ามา เห็นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยว้ส่ายหัวพอดี ในใจนึกสงสัย แต่ก็รายงานด้วยความเคารพว่า “นายหญิง ข้าถามแล้ว ไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมาเจ้าค่ะ”
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว เมิ่งฉีสั่งคนให้จัดเตรียมอาหาร สั่งคนไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวให้มารับประทานอาหารที่ห้องอาหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวให้คนยกเข้ามาเลย หลังจากกินไปหนึ่งคำแล้ว ก็เฝ้าดูจางหลี่สองแม่ลูกไม่ห่าง
ด้านเซี่ยเจียงเฟิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กินแม้แต่คำเดียว แค่ดื่มซุปไปไม่กี่คำ ก็กลับไปนั่งรอฟังข่าวที่ห้องรับแขกต่อไป
ทุกคนต่างรอคอยด้วยความกังวลใจ
ท้องฟ้ายิ่งมืดลง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนให้ไปบอกเมิ่งฉี บอกทุกคนให้ไปพักผ่อน ไม่ต้องอยู่รอแบบนี้ เซี่ยเจียงเฟิงอดทนรอไม่ได้ต่อไป เดินตามหลังเมิ่งฉีไปห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ หลังจากกล่าวขอบคุณกันเสร็จแล้ว ก็นอนลงไปบนเตียงพร้อมเสื้อผ้าทันที แต่ก็ไม่มีความรู้สึกง่วงแม้แต่น้อย
จัดแจงทุกคนเสร็จหมดแล้ว เมิ่งฉีกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลังจากเมิ่งเยียนกล่อมลูกหลับแล้ว นั่งรอเขาอยู่ที่เก้าอี้ในห้อง
เมิ่งฉีเดินเข้ามา เห็นนางอ้าปาก ก็รู้ทันทีว่านางจะถามอะไร ส่ายหัวไปมากับนางก่อน
หวังเยียนแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา อยากจะถามอะไรอีก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมา กลืนมันลงไปเหมือนเดิม
เมิ่งฉีถอนหายใจออกมา “นอนเถิด พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จะได้ไปเปลี่ยนกับน้องสาว”
หวังเยียนพยักหน้า สองสามีภรรยาก็นอนลงไป แต่ก็ไม่มีความรู้สึกง่วงเหมือนกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้สาวใช้ ชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่หน้าประตูสลับกันไปพักผ่อน
ชิงหลวนเห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กล่าวว่า “นายหญิง ข้ากับจูหลีจะเฝ้าดูฮูหยินจูและคุณชายจูไว้ ท่านไปพักผ่อนสักครู่เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “อาการของสองแม่ลูกยังไม่คงที่ ข้าเฝ้าเองจะวางใจกว่า ชิงหลวนพยักหน้า กล่าวว่า “จูหลี เจ้าไปพักก่อนเถิด อีกสี่ชั่วโมงลุกขึ้นมาเปลี่ยนกับข้า”
จูหลีก็ไม่ได้ปฏิเสธ พยักหน้าแล้วเดินออกไป
ในห้องก็เหลือเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและชิงหลวนสองคนที่เฝ้าจางหลี่สองแม่ลูก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่วางใจแตะหน้าผากของพวกเขาไปมา รู้สึกเย็นๆ ไม่ร้อน ถึงเริ่มวางใจลงเล็กน้อย
“นายหญิง ท่านหลับสักครู่เถิด มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกท่าน” ชิงหลวนกล่าว
ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนพวกเขาสองแม่ลูกถึงจะฟื้นขึ้นมา ตัวเองรอต่อไปแบบนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ขยับถอยพิงตู้วางของด้านหลัง หลับตาลง
ชิงหลวนหยิบผ้าห่มข้างๆ มาห่มบนตัวนางให้อย่างห่วงใย หลังจากนั้นค่อยๆ ยกเก้าอี้มาหนึ่งตัววางไว้ข้างเตียงร้อน นั่งรอจางหลี่สองแม่ลูกอย่างไม่ละสายตา
สี่ชั่วโมงผ่านไป จูหลีเข้ามาเปลี่ยนอย่างตรงเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลืมตาขึ้นม ตรัสสั่งสาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกยกยาลดไข้เข้ามา ค่อยๆ ป้อนสองแม่ลูกให้ดื่มลงไป ชิงหลวนถึงกลับไปพักผ่อน เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มอีกครั้ง หลับตาลง ในขณะเหมือนฝันเหมือนตื่นนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ของจางลี่ “น้ำ…น้ำ…น้ำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลืมตาขึ้นมาทันที มือที่เร็วกว่าสติรีบแตะลงบนหน้าผากของนาง รู้สึกได้ว่าตัวนางไม่ร้อน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจก็แสดงออกมาทันที รีบกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วใช่หรือไม่ รีบลืมตาขึ้นมามองข้า ข้าคือพี่โยวเอ๋อร์”
เปลือกตาของจางหลี่ขยับไม่หยุด เหมือนกับว่าพยายามจะลืมตาขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวและจูหลีเฝ้ามองดูนางอย่างรอคอย จางหลี่ใช้แรงทั้งหมดที่มีของตัวเอง ตาก็ไม่ลืมขึ้นมา ร้อนใจจนเหงื่อออกบนหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยนางเช็ด และสั่งจูหลี “ยกน้ำมา”
จูหลีเทน้ำร้อนครึ่งแก้ว ใช้แก้วอีกใบเทไปมาหลายๆ รอบ รู้สึกน้ำอุ่นแล้ว จึงหยิบช้อนหนึ่งคันวางลงไปในแก้ว แล้วยื่นไปข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกหัวของจางหลี่ขึ้นสูงเล็กน้อย รับแก้ว หยิบช้อนขึ้น ตักขึ้นมาหนึ่งคำแล้วยื่นไปที่ข้างๆ ปากจางหลี่
จางหลี่อ้าปากให้ความร่วมมืออย่างดี
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ ค่อยๆ ป้อนน้ำเข้าไปในปากของนาง หลังจากจางหลี่กลืนลงไป ก็ค่อยๆ อ้าปากอีกรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนเกือบน้ำตาไหล มือที่ยกน้ำสั่นเล็กน้อย แล้วตักน้ำคำเล็กๆ ป้อนเข้าไปในปากของจางหลี่อีกครั้ง
ดื่มจนน้ำครึ่งแก้วเกือบหมด จางหลี่ถึงหยุดอ้าปาก มิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางดื่มพอแล้ว นำช้อนและผ้าห่มยื่นให้จูหลี ช่วยนางเช็ดน้ำที่ไหลออกมาจากมุมปาก กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ลี่เอ๋อร์ เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เวลานานพอแล้ว รีบตื่นขึ้นมาเถิด เสี่ยวอ๋อร์รอให้เจ้าไปดูแลอยู่นะ”
เหมือนกับว่าจางหลี่ได้ยินคำพูดของนาง เปลือกตาขยับกลิ้งไปมาอีกครั้ง ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จนลืมตาขึ้นได้หมด กรอกตาไปมามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว พึมพำพูดว่า “เสี่ยวเอ๋อร์”
สุดท้ายน้ำตาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลั้นไม่อยู่ ไหลลงมา ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ใช่ เสี่ยวเอ๋อร์ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ตอนนี้ก็อยู่ข้างๆ เจ้า”
สติของจางหลี่ค่อยๆ กลับมา ค่อยๆ ขยับหัวของตัวเองอย่างยากลำบาก มองหาที่ๆ เสี่ยวเอ๋อร์อยู่ด้วยความลำบาก
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือของนางขึ้นมา วางไว้บนหน้าอกของจูเสี่ยว กล่าวด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าวางใจเถิด”
จางหลี่รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจจูเสี่ยวอใบหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลออกมา กล่าวด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ ดีมากจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างมาก ตาแดงก่ำ ช่วยนางเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาตรงหางตา ปลอบใจนางด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว ดีจริงๆ เสี่ยวเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาต้องการเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องรีบดีขึ้นมาเพื่อดูแลเขา”
“ข้า… ดีขึ้น… แน่นอน” จางหลี่รับปากอย่างยากลำบาก
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่นางมี พูดจบ ก็ได้หอบเหนื่อยไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะช่วยนางลูบบริเวณอกเบาๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ได้แต่มองนางหายใจอย่างเจ็บปวดแต่ทำอะไรไม่ได้เลย
ผ่านไปสักพัก ลมหายของจางหลี่ถึงเริ่มเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งคนข้างนอก “ตักซุปโสมเข้ามา”
สาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกรับคำสั่ง ไปที่ห้องครัว ตักซุปโสมที่อุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลามาหนึ่งถ้วยแล้วยกเข้ามา ยื่นวางลงบนมือเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคารพ แล้วถอยออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวกับจางหลี่อย่างอ่อนโยนว่า “ลี่เอ๋อร์ ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแอมาก ฟังคำของพี่โยวเอ๋อร์ ดื่มซุปโสมนี้แล้วเจ้าหลับพักผ่อนดีๆ อีกรอบ รอเจ้าตื่นขึ้นมา เสี่ยวเอ๋อร์ก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว”
จางหลี่พยักหน้าอย่างยากลำบาก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “เจ้าค่ะ” พูดจบ ก็อ้าปากให้ความร่วมมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ป้อนซุปโสมให้นางดื่ม รอจนนางดื่มหมด ยื่นถ้วยให้จูหลี ช่วยนางเช็ดมุมปาก จัดผ้าห่มให้นาง กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถิด พี่โยวเอ๋อร์จะเฝ้าอยู่ข้างๆ เจ้า ช่วยเจ้าดูแลเสี่วเอ๋อร์”
จางหลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขอบคุณออกมาให้นาง เชื่อฟังนางและปิดตาลง แล้วหลับลงไป
จูหลีรู้ว่าชีวิตของจางหลี่ปลอดภัยแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “นายหญิง ตอนนี้ท่านก็สามารถวางใจแล้วไปพักผ่อนได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากไม่พูดอะไร มองดูลมหายใจที่อ่อนแรงของจูเสี่ยว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ถึงตอนนี้จูหลีเพิ่งนึกได้ว่าอาการบาดเจ็บของจูเสี่ยวนั้นร้ายแรงที่สุด ไม่รู้ว่าเด็กตัวเล็กเท่านี้จะผ่านไปได้หรือไม่ นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าดีใจก็หายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหัวลง เอาหน้าผากของตัวเองแตะบนหน้าผากของจูเสี่ยว รู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นของเขา เป็นครั้งแรกที่ในใจเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
จูหลีมองด้วยความเศร้า ทนไม่ได้ต้องหันหลังไป
“จูหลี เจ้าว่าข้าใจดีมากไปหรือไม่ ถึงทำให้พวกเขาโหดร้ายมากเพียงนี้ ทำร้ายคนรอบข้างของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น มองจูหลี ถามด้วยน้ำเสียงที่อยากฆ่าคน
จูหลีหันกลับมา มองจางหลี่สองแม่ลูก พูดอะไรไม่ออก
มิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้รอฟังคำตอบของนาง ก้มลงไปมองจูเสี่ยวด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
ครั้งนี้จนถึงรุ่งสาง จางหลี่และจูเสี่ยวก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ตัวร้อน ลมหายใจก็เริ่มเป็นปกติ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ่งหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ สองวันหนึ่งคืนแล้ว จูเสี่ยวไม่ขยับแม้แต่น้อย แม้แต่คิ้วยังไม่ขยับเลยสักครั้ง ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผลที่ตามมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เซี่ยเจียงเฟิงไม่ได้หลับทั้งคืน เฝ้ารอให้ฟ้าสางอย่างยากเย็น ได้ยินเสียงจากในเรือนรีบลุกขึ้นมา แล้วก้าวขายาวมาในเรือนกล่าวถามสาวใช้ที่เฝ้ารอบดึกว่า “พวกเขาสองแม่ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
สาวใช้ส่ายหัวไปมา
ใจของเซี่ยเจียงเฟิงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงของเขา กล่าวว่า “คุณชายเซี่ย เข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”