ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 185-1 คะนึงหา
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 185-1 คะนึงหา
เหวินเปียวรู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ จึงไม่กล้าชักช้า ชูแส้ม้าและเฆี่ยนให้ทยานกลับจวนจูอย่างรวดเร็ว รถม้าข้าหลังตามมาติดๆ
เมื่อถึงหน้าประตูจวนจู รถม้าหยุดลง เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะลงจากรถม้าเพื่อไปดูว่าท่านพ่อท่านแม่ของจูหลานฟื้นหรือยัง หวงฝู่อี้เซวียนกลับกดไหล่ห้ามนางไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนหมองหม่น เม้มปากไม่พูดอะไร
จูหลานลงจากรถม้า เดินไปข้างหน้ารถม้าของทั้งสองคน หวังจะเชิญทั้งสองเข้าไปในเรือน เสียงเย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น “คุณชายจู ข้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับเรือนไปจัดแจงต่อเถิด ข้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว คิดถึงท่านพ่อท่านแม่มาก ขอไม่เข้าไปเรือนเจ้าแล้วนะ”
จูหลานงงงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว
ยังไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปของจูหลาน หวงฝู่อี้เซวียนก็ถามเสียงเย็นชาว่า “คุณชายจู ยังมีธุระอะไรอีกหรือ”
จูหลานได้สติ รีบตอบว่า “ไม่ ไม่มีขอรับ”
พูดจบ เหลือบไปมองม่านรถที่ไม่มีทีท่าว่าจะถูกเปิด จึงหันหลังเดินเข้าเรือนบ้านตน
เมื่อได้ยินเสียงเดินจากไป นึกถึงจางลี่แม่ลูกที่อยู่บ้านตน เมิ่งเชี่ยนโยวอยากบอกจูหลานว่าพวกเขาสองแม่ลูกอาการสาหัส เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราว แล้วก็ถอนหายใจ เฮ้อ ออกมา อยากจะเรียกหยุดเขาไว้
หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบมองนาง คำพูดที่กำลังจะเอ่ยต่อของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกสายตาเย็นชาของเขามองจนต้องกลืนกลับไปหมด
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ศพของมือธนูที่อยู่หน้าประตูและในลานบ้านของจวนจูก็หายวับไปด้วยวิชาเก่งกล้า ทั้งหน้าประตูและในลานบ้านสะอาดสะอ้าน ไม่มีแม้แต่รอยเลือด
หลงเว่ยนำตัวที่ไร้สติของหวังเต๋อซิ่งมายืนหน้าประตู เห็นจูหลานเดินเข้าไป จึงเดินไปหน้ารถม้ารายงานว่า “ซื่อจื่อ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนรถม้า พยักหน้าเบาๆ สั่งว่า “ข้าจะกลับบ้านหาท่าพ่อและท่านแม่ข้า พวกเจ้าอยู่นี่ไปก่อน ช่วยอำเภอตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนและเร็วที่สุด หาพยานหลักฐานของหวังเต๋อเซิ่งให้ได้ แล้วรีบกลับเมืองหลวง”
หลงเว่ยขานรับ
“เหวินเปียว กลับบ้าน!” เมื่อสั่งหลงเว่ยเสร็จ ก็สั่งเหวินเปียวต่อ
เหวินเปียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ค้านอะไร จึงขานรับ ควบม้ากลับบ้าน
พี่น้องของเหวินเปียวและทหารองครักษ์ทั้งหลายยืนอยู่หน้าจวนจู เห็นรถม้าของเหวินเปียวจากไป ก็รีบขึ้นรถม้าตามหลังไป
เนื่องจากตอนมาเร่งรีบ ทำให้รถม้าของเหวินเปียวทยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องด่วนอะไรแล้ว เหวินเปียวจึงลดความเร็วลง รถม้าจึงไม่มีแรงกระแทกมากเหมือนตอนมา
ในรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้เจอนางมาหลายวันไม่ได้โผเข้ากอดและจูบเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอดใจไม่ได้อย่างที่เคยทำ แต่แค่เม้มปากแน่นแล้วจ้องนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาจ้องจนขนตั้งชัน ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร ยังคงจ้องนางอย่างไม่ลดละ
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มเดือดพล่านในใจ ด่าเสียงสูง “เจ้า…” นึกขึ้นได้ว่าเหวินเปียวรู้วิชา ประสาทหูและตาแหลมคมฉับไว เขาอาจได้ยินสิ่งที่ตนพูด จึงลดเสียงลงต่ำ พูดอย่างโมโหว่า “มีเรื่องอะไรก็บอกมาสิ วางมาดแบบนี้ไปให้ใครเขาดูกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยังคงจ้องนาง ไม่พูดไม่จา
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกประหนึ่งชกอากาศ มีแรงแต่ทำอะไรมิได้ ความเดือดดาลที่มีในใจทำให้นางอยากจะถีบเขาลงไปเสียจริงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งรู้สึกอยากถีบเขาลงไป “คืนนี้เจ้านอนห้องเดียวกับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไม่ให้ตัวเองทุบตีเขา พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ที่นี่คือบ้านนะ ท่านพ่อท่านแม่อยู่ ข้าจะนอนห้องเดียวกับเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างภรรยาและลูกของจูหลานก็บาดเจ็บหนัก ยังนอนอยู่บ้านพี่ชายรองเลย ข้าต้องไปดูแลพวกเขา จะให้มามัวสนใจเจ้าได้อย่างไร”
สีหน้าหวงฝู่อี้เซวียนขึงขัง เขยิบเข้าใกล้นาง ขู่เสียงต่ำ “หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะกลับไปขอร้องท่านพ่อท่านแม่ให้เราแต่งงานกันภายในสามวัน เจ้าเชื่อไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหว สุดท้ายก็ถีบเขาไปทีหนึ่ง “เจ้าเป็นบ้าอะไรเนี่ย ฮ่องเต้ยังไม่เห็นด้วยเลย เราจะแต่งงานกันได้อย่างไร”
โดนถีบไปทีหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้สนใจอะไร พูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าไม่สน หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่ ข้าและเจ้าถูกเนื้อต้องตัวกันมาตั้งแต่ตอนอยู่เมืองหลวงแล้ว ไม่แน่อาจจะได้ทั้งกายมาแล้วด้วย ยังไงพวกเขาก็ต้องรีบตกลงให้พวกเราแต่งงานกันโดยเร็ว”
หวงฝู่อี้เซวียนแทบจะไม่เคยพูดจาเอาแต่ใจเช่นนี้มาก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงงันไปชั่วครู่ ยกมือแตะหน้าผากเขา ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องนาง ไม่ได้พูดอะไร รอนางตอบ
เมื่อรู้ว่าหน้าผากเขาไม่ได้ร้อน จึงรู้ว่าเขาไม่ได้พูดลามปาม เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างงงงวย จ้องอยู่สักพัก เห็นแววตาเขาแน่วแน่ แสดงให้เห็นว่าหากไม่ได้ดั่งใจเขาจะไม่ลดละแน่นอน จึงได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นนางตกลง หวงฝู่อี้เซวียนจึงเผยรอยยิ้มออกมา กอดนางไว้ ประกบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของนางอย่างแม่นยำ
อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้ว หากคนในบ้านเห็นปากที่บวมแดงจากการถูกจูบ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไรกัน เมิ่งเชี่ยนโยวตีเขา ให้สัญญาณว่าอย่าทำเกินไป แต่ก็กลัวว่าเหวินเปียวจะได้ยิน จึงไม่ได้ออกแรงมากขนาดนั้น
ถูกแรงตีไม่หนักไม่เบา หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจอะไร จูบลงไปอย่างดุเดือด หลังจากหายจากอาการคิดถึงที่ห่างกันช่วงก่อนหน้านี้ จึงปล่อยนางพลางหายใจหอบ เมื่อเห็นแก้มแดงระเรื่อของนาง ก็อดใจไม่ไหวจูบลงไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยกมือขึ้นป้องปากเขา ขู่เขาว่า “หากเจ้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ พี่รองไล่เจ้าออกไป ก็เจียมตัวหน่อยนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนฟุดฟิดนั่งตัวตรง มองนางอย่าไม่สบอารมณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวเฉตาไปทางอื่น แสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางของเขา ลูบปากตัวเอง โชคดี คนในบ้านคงดูไม่ออก
จึงดุเขาด้วยสายตา
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะชอบใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงโมโห ถีบเขาไปอีกทีหนึ่ง
หวงฝู่อี้เซวียหัวเราะเมื่อถูกนางถีบ ยื่นแขนไปกอดนางไว้ คางเกยอยู่เหนือศีรษะนาง ถอนหายใจอย่างอิ่มใจว่า “ในที่สุดก็ได้กอดเจ้าแล้ว หลายวันนี้ข้าคิดถึงเจ้าจนจะเป็นบ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ขัดขืน แอบอิงในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย แต่ปากกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่า “ข้าไม่คิดถึงเจ้าแม้แต่น้อยเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนเอียงหัว กัดติ่งหูนางเบาๆ หยอกล้ออยู่ชั่วครู่ พูดเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “บอกมา คิดถึงข้าไหม”
เมิ่งเชี่ยนโยวขนลุกจนทนไม่ได้ รีบพูดใหม่ด้วยเสียงเบาว่า “คิดถึงสิ คิดถึง”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะเสียงต่ำ กลับไปนั่งท่าเดิม พูดต่อว่า “ข้ากำลังคิดหาเหตุผลที่กลับบ้านมาครานี้ พอดีได้รับจดหมายจากเจ้า ข้าจึงเข้าวังไปขอหลงเว่ย ม้าเร็ววิ่งมาทัน โชคดีนะ โชคดีจริงๆ ที่ข้ามาทัน ไม่เช่นนั้น…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็กอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่นกว่าเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเขา ยื่นมือไปโอบคอเขาไว้ ยิ้มแล้วจูบไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ พูดขึ้นว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าจนแก่ จะตายไปง่ายๆ อย่างนี้ได้อย่างไรกัน แม้เจ้าจะไม่มา คนอย่างพวกเขาก็ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก”
ท่าทีของเมิ่งเชี่ยนโยวช่างเย้ายวนเหลือเกิน หวงฝู่อี้เซวียนอดใจไม่ไหวประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า ค่อยๆ ประกบลงไปอย่างนุ่มนวล
เมื่อรู้สิ่งที่นางคิดในใจ หวงฝู่อี้เซวียนก็ปล่อยตัวเองไปตามสบาย เขาค่อยๆ เม้มดูดไปตามกลีบปากของนาง บดเคล้าอย่างนุ่มนวล
จนทั้งสองหายใจไม่ทันจึงผละออกจากกัน
ไม่ได้เจอหลายวัน ความปรารถนาก็มีมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อครู่นี้อีก หวงฝู่อี้เซวียนกลัวว่าตนเองจะสกัดกั้นใจไม่อยู่จนทำอะไรไม่ดี จึงหายใจเข้าลึกๆ พูดเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงทุ้มต่ำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติ นำเรื่องที่เมื่อตนกลับบ้านเจอรั่วหลาน แล้วเค้นถามทุกเรื่องจากนาง จึงให้ทหารองครักษ์ไปสอบถามที่จวนจู รวมถึงเรื่องที่ทหารองครักษ์ช่วยแม่ลูกจางลี่ และเรื่องหลังจากนั้นเล่าให้เขาฟัง
ฟังจบ นัยน์ตาหวงฝู่อี้เซวียนพลันแสดงความดุร้าย พูดขึ้นว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าเฮ่อจางถึงกับลงมือบุกไปถึงที่บ้าน โชคดีที่เจ้ากลับบ้านมาสังสรรค์ปีใหม่ ไม่เช่นนั้นไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดเช่นนั้น พยักหน้าอย่างโล่งใจ พูดว่า “ข้าส่งคนให้เฝ้ารั่วหลานไว้แล้ว รอเจ้ากลับเมืองหลวงก็พานางกลับไปได้เลย”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แม้ตระกูลเฉียวจะตายกันหมดแล้ว แต่หวังเต๋อเซิ่งยังมีชีวิตอยู่ ขอแค่เขาปริปาก ครั้งนี้ข้าก็จะปลอกลอกเขาได้”
“จูหลี!” เมื่อรู้สึกว่ารถม้าถึงเขตชิงซีแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกเสียงดัง
จูหลีมาหน้ารถม้า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนาง “เจ้ากลับบ้านไปก่อน บอกท่านพ่อกับท่านแม่ว่าอี้เซวียนกลับมาแล้ว”
จูหลีขานรับ ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจความตั้งใจของนาง พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องก็ได้ ผู้คนจะแห่มากันมาเสียเปล่าๆ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจที่ข้ากลับบ้านนะ”
“ตอนนี้สถานะเจ้าไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้วันนี้เจ้ากลับบ้านอย่างเงียบๆ พรุ่งนี้เขารู้กัน คนทั้งหมู่บ้านก็จะไปคารวะเจ้าอยู่ดี มีแต่จะยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตูมกัน เอาวันนี้ให้จบเลยดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ปิดบ้านไม่ต้องรับแขก เราทั้งบ้านจะได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบ” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายพลางยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหัวลงไปหอมแก้มนาง แล้วพยักหน้า “ข้าฟังเจ้า พรุ่งนี้เราจะได้นอนอย่างสบายใจจนแสงแดดเลียก้นแล้วค่อยตื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดจาไม่ไพเราะแบบนี้มานานแล้ว อดยิ้มไม่ได้ พูดขึ้นว่า “หากคำพูดนี้ของเจ้าพูดออกมาต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลายในเมืองหลง ไม่รู้ว่าเขาจะตกใจอ้าปากค้างจนคางหลุดกี่คนนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว ส่ายหัว “คางพวกเขาหลุดลงพื้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่เพราะข้าพูดว่า ‘พระอาทิตย์เลียก้น’ แต่เพราะข้าพูดว่า ‘พวกเรา’ ต่างหาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตอบตกลงจะนอนเป็นเพื่อนเขาในห้องเดียวกัน หน้าก็แดงขึ้นมา ถามขึ้นอย่างสงสัย “เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นบ้าอะไรน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก้มหน้าหอมแก้มนางอีกครั้ง พูดเสียงต่ำข้างหูนางว่า “คืนนี้ค่อยบอกเจ้า”
หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแดงก่ำกว่าเดิม แต่ก็รู้ว่าเขาไม่ทำเรื่องเกินเลยอะไรที่ทำให้ตนขายหน้า จึงไม่ได้ขัดขืนอะไร
จูหลีถึงบ้านก่อนพวกเขา นำเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับบ้านรายงานเมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อ
ในขณะที่เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจ ก็นึกถึงสถานะของอี้เซวียน จึงสั่งให้เมิ่งซื่อเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย แล้วรีบเดินไปบ้านใหญ่ บอกข่าวนี้กับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจิน
สถานะของหวงฝู่อี้เซวียนสูงส่งหาที่เปรียบมิได้ เมิ่งต้าจินได้ยินเช่นนั้นไม่ต้องรอให้เมิ่งจงจวี่สั่ง ก็บอกให้เมิ่งเหรินและเมิ่งอี้นำความไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่แต่ละตระกูลเพื่อมาคารวะหวงฝู่อี้เซวียน
ส่วนตนก็นำข่าวดีนี้ไปบอกผู้ใหญ่บ้านตระกูลเมิ่ง