ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 185-2 คะนึงหา
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 185-2 คะนึงหา
ผู้ใหญ่อาวุโสได้ยินเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นเดินตัวโยกเยกด้วยความดีใจ สั่งให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เขา แล้วลูกหลานจึงประคองเขาเดินไปหน้าประตูบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น
สามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตู
ผู้ใหญ่ตระกูลอื่นๆ ก็ทยอยตามกันมาอย่างชื่นมื่นใจ
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผ่านไปชั่วครู่ข่าวก็แพร่กระจายไปทั้งหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มากันหมด หลายร้อยครัวเรือนกรูกันมาอยู่หน้าบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋น เห็นเป็นผืนดำทั้งผืน แต่ไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวาย ทุกคนต่างชะเง้อหน้าเฝ้ามองไปที่ถนนใหญ่ของหมู่บ้าน เมื่อเห็นรถม้าสองสามคันทยอยมาถึง จึงแสดงท่าทางตื่นเต้นกัน
รถม้าหยุดลงหน้าฝูงคน หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านรถแล้วเดินลงมา
ไม่เจอหลายปี เด็กชายในตอนนั้นบัดนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มาพร้อมกิริยาท่าทางที่น่าเคารพ ประหนึ่งแสงอาทิตย์และแสงพระจันทร์สาดส่องลงที่ตัวเขา จนทำให้หมู่คนเหล่านี้ดูต่ำต้อย ได้แต่มองดูอย่างไม่สามารถเอื้อมถึงได้
ผู้ใหญ่อาวุโสที่ถูกลูกหลานประคองอยู่นั้น ก็เดินนำทุกคนด้วยตัวโยกเยกไปหน้าหวงฝู่อี้เซวียน คุกเข่าลง พูดอย่างตื้นตันใจว่า “ข้าเมิ่งชิงเย่า ผู้ใหญ่บ้านตระกูลเมิ่งขอเป็นตัวแทนทั้งหมู่บ้านคารวะท่านซื่อจื่อ”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบยื่นมือไปประคองผู้ใหญ่อาวุโส ทำสัญญาณมือให้ทุกคนลุกขึ้น พูดเสียงดังว่า “ข้าแค่กลับมาเยี่ยมบ้าน ทุกท่านทำตัวตามสบายเถอะ”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนต่างตื้นตันใจ ขอบคุณและลุกขึ้น เมิ่งซื่อยืนอยู่หลังฝูงชน ยกแขนซับน้ำตาที่รื้นออกมา
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนเห็น ก็เดินฝ่าฝูงชนไป หยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งซื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋น สะบัดชายเสื้อ คุกเข่าลงไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ เด็กอกตัญญูคนนี้กลับมาหาพวกท่านแล้วขอรับ”
เสียงฮือฮาดังขึ้น เพราะไม่มีใครคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งซื่อก็ตกใจเช่นกัน รีบเดินหน้าไปพยุงเขาขึ้นมา เมิ่งซื่อกล่าวตำหนิ “เจ้าเด็กคนนี้ สถานะของเจ้าตอนนี้สูงส่งเพียงไหน จะมาคุกเข่าต่อหน้าเราได้อย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นตามแรงประคองของพวกเขา ยิ้มและพูดขึ้นว่า “แม้สถานะของลูกจะสูงส่งเพียงใด ก็ยังเป็นลูกของท่านอยู่วันยันค่ำ จะให้คุกเข่าโขกศีรษะ ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ”
ผู้ใหญ่อาวุโสตระกูลเมิ่งลูบหนวดแล้วยิ้มพลางพยักหน้า
ผู้ใหญ่ตระกูลอื่นก็พยักหน้าตามกัน มีเพียงผู้ใหญ่บ้านตระกูลหนิวที่แสดงสีหน้าเสียใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่คิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคุกเข่าให้ท่านพ่อท่านแม่ตนต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ก็รู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย ยืนอยู่หลังฝูงชน เห็นแผ่นหลังของเขา ก็พลันเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา
เมื่อคุกเข่าโขกศีรษะให้สามีภรรยาเมิ่งซื่อแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปคารวะสามีภารยาเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ ท่านย่า หลานกลับมาแล้วขอรับ”
เมิ่งจงจวี่เรียนหนังสือมา ให้ความสำคัญกับมารยาท เอียงลำตัวแล้วจึงยิ้มให้เขา พลางประคองเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
จากนั้นก็คารวะเมิ่งต้าจิน และผู้ใหญ่แต่ละตระกูล หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินแหวกฝูงชนเข้าไปในบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาเข้าบ้าน ก็สั่งเหวินเปียวว่า “พาพี่น้องเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ อีกสักครู่ข้าจะให้ชิงหลวนนำยาไปให้พวกเจ้า”
เหวินเปียวขานรับ สั่งคนจูงม้าไปหลังลานบ้าน
เมื่อไม่มีคำสั่งพิเศษอะไร เหล่าทหารองครักษ์ก็กลับห้องตนไปพักผ่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง เดินนำชิงหลวนและจูหลีไปที่ลานบ้านของเมิ่งฉี และตรงไปที่ห้องพักฟื้นของแม่ลูกจางลี่
ตั้งแต่ที่นางไปตัวอำเภอ ซุนเชี่ยนเฝ้าอยู่ข้างกายแม่ลูกจางลี่ตลอด ป้อนยาและซุปโสมให้พวกเขาทานอย่างเป็นเวลา และพูดคุยเป็นเพื่อนแม่ลูกสองคนนี้เมื่อพวกเขาตื่นเป็นครั้งคราว
ตอนนี้พอดีกับที่แม่ลูกคู่นี้ตื่นอยู่ ซุนเชี่ยนพูดคุยกับพวกเขาด้วยเสียงเบา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ซุนเชี่ยนก็รีบลุกขึ้น ปริปากกำลังจะถาม แต่เห็นว่าจางลี่แม่ลูกทั้งคู่อยู่ด้วย จึงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่านางจะถามอะไร ยิ้มแล้วพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “ซ้อ อี้เซวียนกลับมาแล้ว คนในบ้านวุ่นอยู่กับการต้อนรับผู้ใหญ่ที่มาคารวะ พี่กลับไปช่วยหน่อยเถอะ”
ตั้งแต่ที่จากกันเมื่อสี่ปีก่อน อี้เซวียนก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ซุนเชี่ยนก็คิดถึงเขาเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเขากลับมา ก็ตะลึงพรึงเพริด รีบลุกขึ้น และพูดอย่างดีใจว่า “ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย แม่ลูกลี่เอ๋อร์ฝากเจ้าดูแลก่อนนะ ข้าช่วยเสร็จแล้วจะกลับมา”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่อยู่กับพวกเขาเลย”
ซุนเชี่ยนพยักหน้า เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
จางลี่ก็รู้จักอี้เซวียน รู้ว่าเป็นว่าที่สามีของเมิ่งเชี่ยนโยว หัวเราะและเย้าแหย่นาง “พี่โยวเอ๋อร์มีความสุขจัง นี่ไม่เจอแค่ไม่กี่วัน อี้เซวียนก็ตามกลับมาเลยนะเจ้าค่ะ”
ได้ยินนางพูดหยอกล้อกับตน ดูเหมือนว่าบาดแผลครั้งนี้น่าจะไม่ทิ้งร่องรอยในใจนางมากนัก เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ น้ำเสียงผ่อนคลาย พูดขึ้นว่า “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว พี่โยวเอ๋อร์คนนี้ของเจ้าประดุจเทพธิดา หายากแม้บนสวรรค์และบนดิน เขาต้องคอยตามอยู่ข้างกายอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหนีไป เขาคงร้องไห้ฟูมฟายหาตัวกลับมาไม่ได้แน่ๆ”
จางลี่ถูกเหย้าแหย่จนหัวเราะออกมา ลืมว่าตนเองบาดเจ็บอยู่ จนสะกิดไปโดนบาดแผล ปวดจนขมวดคิ้วร้องโอ้ย
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบถามขึ้นว่า “เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ลูกชายที่ยังขยับตัวมากไม่ได้เพราะทั้งตัวเต็มไปด้วยแผลก็เงยหน้ามองนาง ยื่นมือน้อยๆ ของตนออกไปจับตัวนาง ถามอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ แม่เป็นอะไรขอรับ”
ใบหน้าจางลี่มีรอยยิ้ม ลูบหัวเขาและพูดว่า “แม่ไม่เป็นอะไร แม่แค่ถูกโยวเอ๋อร์กูกูของเจ้าแหย่จนหัวเราะน่ะ แล้วสะกิดไปโดนแผล”
สีหน้าของเสี่ยวเอ๋อร์ผ่อนคลายลง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้น
เมื่อเห็นรอยยิ้มของแม่ลูกที่คล้ายคลึงกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก คิดอยู่ชั่วครู่ พูดว่า “ลี่เอ๋อร์ เมื่อกี้ข้าไปตัวอำเภอมา”
จางลี่ชะงัก หันหน้าไปมองนาง สีหน้าแสดงทั้งความกลัวและความคาดหวัง ปากกระตุกสองสามครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง จูหลาน ท่านลุง ท่านป้าจูไม่เป็นอะไร”
จางลี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองนางอย่างไม่สบายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากให้นางจดจำคุณงามความดีนี้ไว้ พูดว่า “อี้เซวียนก็มาเพราะเรื่องนี้ ข้าราชการสารเลวนั่นและเฉียวหมิ่นถูกจับตัวแล้ว บ้านตระกูลเฉียวก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด”
จางลี่ตกใจเบิ่งตาโต
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง สีหน้ายิ้มแย้ม “เพราะฉะนั้น ต่อไปก็จะไม่มีคนทำร้ายพวกเจ้าแล้ว”
“แล้วเฉียวหมิ่นล่ะ จะถูกโทษประหารไหม” หลังจากตกใจ จางลี่ก็ถามขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดบังการลงโทษที่ตัวเองจะลงมือกับเฉียวหมิ่น หัวเราะและพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ เฉียวหมิ่นและข้าราชการสารเลวนั่นเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด น่าจะถูกจับขังในเมืองหลวง รอรับโทษอยู่กระมัง เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้นางไม่ถูกประหาร ก็ถูกโทษจำคุกตลอดชีวิต ทั้งชีวิตนี้จะไม่ปรากฎต่อหน้าพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ”
จางลี่เป็นคนเมตตา แม้เฉียวหมิ่นจะกระทำมิดีต่อตนและเสี่ยวเอ๋อร์ แต่เมื่อคิดถึงความรักเดียวใจเดียวของนางที่มีต่อจูหลานมาหลายปี แต่กลับไม่ได้จูหลาน จึงลงมือทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกสงสารนางจับใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร หุบยิ้ม ทำหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ลี่เอ๋อร์ คนเรามีจิตใจเมตตาเป็นเรื่องดี แต่หากเมตตาเกินไป คือความโง่เขลานะ คนอย่างเฉียวหมิ่นไม่มีค่าให้สงสาร และห้ามสงสารด้วย”
จางลี่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
ได้ยินว่าคนในบ้านไม่เป็นอะไร จางลี่ก็วางใจ พูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวครู่หนึ่ง ความง่วงก็จู่โจม จึงกอดเสี่ยวเอ๋อร์ไว้และผล็อยหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ในห้อง เฝ้าแม่ลูกสองคน
ผู้คนรุมล้อมหวงฝู่อี้เซวียนจนเข้าไปในบ้าน พูดคุยกับเขาอย่างเป็นมารยาทแล้วจึงบอกลาลุกจากไป
เมื่อบ้านเงียบลงแล้ว เมิ่งซื่อจึงถามเรื่องที่เมืองหลวง
หวงฝู่อี้เซวียนเล่าให้ฟังคร่าวๆ ปิดบังความจริงที่เขากลับมา พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกคิดถึงพวกท่านมาก กว่าจะได้วิชามา ลูกรีบกลับมาจากเมืองหลวงภายในวันเดียว รู้สึกเหนื่อยล้ามากเลย ขอท่านช่วยหาห้องสงบให้ลูกพักผ่อนหน่อยได้ไหมขอรับ”
รถม้าที่บ้านไปเมืองหลงอยู่บ่อยๆ เมิ่งซื่อรู้ว่าไปครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวันสองคืน เมื่อได้ยินอี้เซวียนพูดเช่นนั้น ก็สงสารจับใจ รีบพูดทันทีว่า “ได้สิ ได้ แม่จะไปเก็บกวาดห้องให้เลยนะ ลูกรอสักครู่นะ”
“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่” อี้เซวียนกล่าวขอบคุณและยิ้มให้
เมิ่งซื่อเดินออกไป เรียกซุนเชี่ยนไปเรือนของเมิ่งเสียวเถี่ย
จริงๆ แล้วเมิ่งเสียวเถี่ยและเมิ่งชิงอยู่ที่นี่ แต่เพราะว่าเทศกาลปีใหม่ เขาย้ายไปอยู่บ้านเก่า อาศัยบ้านเดียวกับเมิ่งจงจวี่สามีภรรยา บ้านเขาตอนนี้จึงไม่มีคนอยู่ชั่วคราว
เมิ่งซื่อเปิดประตู เดินไปที่บ้านฝั่งตะวันตกทันที เมื่อทำความสะอาดเรียบร้อย จึงเดินกลับไปลานบ้านข้างหน้า อุ้มผ้าห่มหนาๆ สองสามผืนวางลงบนเตียง และยังนำกะละมังใส่ถ่านสองสามใบวางไว้ในห้อง แล้วจึงกลับไปที่ห้องของตน พูดอย่างสงสารกับอี้เซวียนว่า “แม่ทำความสะอาดให้เสร็จแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ รอมื้อเย็นแม่จะเรียกลูกนะ”
อี้เซวียนยิ้มและขอบคุณอีกครั้ง เดินไปที่ห้องเพียงลำพัง เขาเหนื่อยจริงๆ กับการกลับบ้านอย่างเร่งรีบครั้งนี้ ถอดเสื้อนอกออก เอนตัวลงนอนบนผ้าห่มนุ่มหนา ใจจริงอยากจะหลับตางีบสักครู่ แต่ในหัวคิดถึงแต่สิ่งที่เฉียวหมิ่นพูด “นางเคยเห็นร่างเปลือยของจูหลาน! นางเคยเห็นร่างเปลือยของจูหลาน!”
พลันลืมตาขึ้น พึมพำอย่างโหดเ**้ยมว่า “รอดูว่าคืนนี้ข้าจะจัดการเจ้ายังไง”