ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 189-1 จดหมายจากเมืองหลวง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 189-1 จดหมายจากเมืองหลวง
ร่างกายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ฮูหยินจูยิ้มแล้วพยักหน้า “โชคดีที่เจ้าและซื่อจื่อมาได้ทันเวลาพอดี ช่วยเหลือคนแก่อย่างพวกเราสองคน มิเช่นนั้นพวกเราสองคนก็ไปพบยมราชแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วโบกมือ “ท่านและท่านลุงเป็นผู้มีบุญ ถึงได้รอดมาได้ อย่าได้เอาความดีเหล่านี้มายกให้พวกเราเลย”
ฮูหยินจูไม่รู้ได้อย่างไรว่านางไม่อยากให้พวกนางรับน้ำใจนี้ ถอนหายใจหนึ่งเฮือก พูดว่า “ถ้าหากว่าพวกเจ้ามาช่วยพวกเราไม่ทันเวลา ผ่านไปอีกสองสามวัน ต่อให้มีปาฏิหาริย์ ก็เปล่าประโยชน์ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจดี ไม่อยากให้พวกเรารับน้ำใจของเจ้า ถ้าหากครั้งนี้ไม่ได้เจ้า ตระกูลจูของพวกเราเกรงว่าจะไม่มีใครเหลือรอด”
“จะว่าไปแล้ว ข้าก็ทำให้พวกท่านเหนื่อยไปด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไป “ถ้าเมื่อปีนั้นข้าไม่ได้อยู่ใกล้จูหลานจนเกินไป ทำให้เฉียวหมิ่นเกิดช่องว่างภายในใจ ก็จะไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
ป้าจูตีมือนางเบาๆ บอกว่า “เด็กน้อย เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า หากว่าเฉียวหมิ่นไม่ใจแคบ คิดไปเองมั่วซั่ว แล้วมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร พูดแล้ว เป็นเพราะพวกเราดูคนไม่ออก เลยทำให้ตระกูลจูเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหายไป นางพูดปลอบใจว่า “ท่านป้า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตระกูลเฉียวก็ได้รับผลกรรมของเขาอย่างที่จะเป็นแล้ว พวกเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย จะทำให้ตัวเองหัวเสียเปล่าๆ”
ท่านป้าจูรู้สึกว่าการพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่นั้นไม่ค่อยเหมาะสม จึงหยุดสนทนาหัวข้อนี้ แล้วถามพร้อมสีหน้าที่เป็นกังวลว่า “ลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะข้าและท่านลุงของเจ้าร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าถ้าไปแล้วจะทำให้เจ้าลำบาก เมื่อคืนหลังจากที่ฟื้นแล้ว พวกเราคงไปดูพวกนางสองคนแม่ลูกแล้ว”
ท่านลุงท่านป้าจู รู้เพียงแค่แม่ลูกจางลี่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าพวกนางได้รับบาดเจ็บมากขนาดไหน เพื่อทำให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้บอกความจริง นางทำเป็นไม่มีอะไร แล้วบอกว่า “สองแม่ลูกยังดีอยู่ เป็นก็แต่ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อย ข้าก็เลยให้พวกนางพักอยู่ที่บ้านของข้าก่อนสักพัก รอให้พวกนางอาการดีขึ้นก็จะให้กลับมา พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ท่านป้าจูพยักหน้า ท่านลุงจูก็วางใจ
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แต่ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่คลำชีพจรให้กับท่านลุงแล้วเรียบร้อย ก็กำชับทั้งสองคนอย่าไปคิดมากเรื่องอื่น ให้พักผ่อนเยอะๆ พักฟื้นร่างกายให้ดี แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขอตัวลา
ท่านลุงและท่านป้าจูอยากส่งทั้งสองคนด้วยตนเอง หวงฝู่อี้เซวียนเลยบอกว่า “ไม่ต้องลำบาก พวกเราจะไปดูอาการคุณชายจูอีก”
เมื่อวานหลังจากที่ทั้งสองคนฟื้นขึ้นมา จูหลานได้ให้หมอมาตรวจดูอาการ หมอบอกว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไรมาก ในขณะที่กำลังโล่งอก จูหลานเองก็เป็นลมไปด้วย
ทั้งสองคนตกใจมาก หลังจากที่หมอคลำชีพจรของเขา บอกเพียงว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ พวกเขาไม่รู้เรื่องที่เฉียวหมิ่นทำกับจูหลานไว้ จึงเกิดความสับสนในใจ สงสัยในผลตรวจของหมอ ตอนนี้ได้ยินว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจะไปเยี่ยมจูหลาน จึงดีใจเป็นอย่างมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดไม่ถึงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเป็นคนเอ่ยปากให้ตนไปเยี่ยมจูหลาน นางมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเขานิ่งเฉย ก็รู้สึกดีใจ แล้วยิ้มให้เขา
ท่านลุงจูจะนำพวกเขาสองคนไปด้วยตัวเอง แต่ก็โดนหวงฝู่อี้เซวียนห้ามเอาไว้ “ท่านพักผ่อนเถิด การพักฟื้นร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราจะไปกันเอง”
ท่านลุงทำการค้ามาหลายปี ทักษะการมองสีหน้าท่าทางคนก็มีไม่น้อย เมื่อได้ยินเขาห้าม คาดว่าเขาคงมีอะไรจะคุยกัน จึงไม่ได้ดึงดัน เขายืนส่งพวกเขาสองคนออกไปอย่างมีความสุข มองพวกเขาที่กำลังเดินไปที่จวนของจูหลาน แล้วกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับท่านป้าจู
จวนของจูหลานเงียบสงบ ไม่มีบ่าวใช้ยืนเฝ้า เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้าไปข้างในจวนของจูหลาน
หวงฝู่อี้เซวียนกลับหยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับมามองไปที่เขา
“หนึ่งก้านธูป” หวงฝู่อี้เซวียนพูดประหลาด
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ความหมายของเขาทันที เขาหมายถึงให้เวลานางเข้าไป ส่วนเขาจะยืนรออยู่ด้านนอก ภายในใจนางพลันรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่น นางยิ้มมุมปากแล้วเคาะประตู
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน
นางเคาะอีกครั้ง
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มหงุดหงิด ตะโกนถามว่า “จูหลาน เจ้าตายแล้วงั้นหรือ ถ้ายังไม่ตายให้ตอบด้วย”
จูหลานนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่อ่อนแอ สายตาจ้องมองไปที่ทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างไร้สติ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเมิ่งเชี่ยนโยว สติจึงกลับมา เขาอ้าปาก คิดอะไรได้ แต่ก็ไม่ได้พูด
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เมิ่งเชี่ยนโยวที่หมดความอดทน จึงใช้เท้าถีบประตูเปิดออก แล้วเดินเข้าไป เมื่อเห็นสภาพใกล้ตายของเขาที่กำลังนอนอยู่บนเตียง นางกระแอมขึ้นเบาๆแล้วพูดเหน็บแนมเขาอย่างไม่เกรงใจว่า “ไม่ใช่ว่าโดนผู้หญิงข่มขืนมาหรอกหรือ เจ้าไม่ได้เสียเปรียบสักหน่อย ทำท่าจะเป็นจะตายให้ใครดูกัน”
จูหลานไม่ได้พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไร
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เดินไปคลำชีพจรให้กับเขา กลับเดินไปนั่งที่เก้าอี้ในห้อง ถามว่า “ภรรยาและลูกของเจ้ายังพักฟื้นอยู่ที่บ้านของข้า เจ้าคิดจะพาพวกนางกลับมาเมื่อใด”
ในที่สุดจูหลานก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พวกนางสองคนเป็นอย่างไรบ้าง”
“บอกไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้าตาย คาดว่าพวกนางจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
สีหน้าของจูหลานจึงออกอาการเล็กน้อย เขาพยายามใช้แรงเพื่อลุกขึ้นนอนพิง แล้วถามว่า “สาหัสหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวปราดมองไปที่เขาทีหนึ่ง แล้วถามกลับว่า “ทั้งตัวมีแต่บาดแผล ไม่มีส่วนไหนที่ไม่มี สลบไปสองวันสองคืนกว่าจะฟื้น เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
สีหน้าของจูหลานแสดงออกถึงความเจ็บปวด เขาหลับตาลงด้วยความรู้สึกทรมาน พูดว่า “ข้ารู้สึกผิดต่อทั้งสองนัก”
“แล้วอย่างไร เจ้าจะตายเพื่อชดใช้อย่างนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามติดตลก
จูหลานนิ่งเฉย
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินไปที่ข้างๆ เตียง แล้วจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งจูหลานทนสบตานางไม่ไหว จนเขาก้มหน้าลง แล้วถามไปว่า “ข้าทายถูก เจ้าอยากตายหรือ”
จูหลานยังคงไม่พูดอะไรทั้งนั้น
แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดอย่างดีใจว่า “มาๆ ไหนเจ้าบอกข้าสิว่าอยากตายอย่างไร ข้าช่วยเจ้าเอง”
จูหลานก้มหน้าลงแล้วนิ่งไป
“ผูกคอตาย ใช้มีดแทง วางยาพิษ เจ้าเลือกดูสิ จะเอาแบบไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
จูหลานก็ยังคงไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าขึ้น แล้วถีบไปที่จูหลาน
จูหลานไม่ทันได้ตั้งตัว โดนถีบกระเด็นไปที่อีกด้านหนึ่งของเตียง หัวโขกไปที่กำแพง มีเสียงออกมาดัง ปั๊ก
แล้วตามด้วยเสียงด่าของเมิ่งเชี่ยนโยว “บ้าเอ้ย ข้าเกือบโดนยิงจนตัวพรุนเพื่อช่วยเจ้าออกมา แต่ดูสภาพที่เจ้าโดนหยามนี้สิ อยากตายไม่ยากอยู่ ถ้าเจ้าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นที่เจ้าโดนเฉียวหมิ่นข่มขืน ทำไมถึงไม่ตายๆ ไปเสียล่ะ”
จูหลานโดนนางถีบจนมึน หัวโขกกับกำแพงจนบวมแดงขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เขามองนางด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ แล้วพูดว่า “เจ้า…”
“เจ้าอะไรของเจ้า เร็วเข้า เสียชาติเกิดยิ่งนัก สนองความต้องการแล้วพวกข้าก็จะกลับบ้านแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเกรี้ยวโกรธ
หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอก เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็เกิดความสะใจ ยิ้มเสียจนปากจะฉีกถึงรูหู
จูหลานเห็นท่าทีดุดันของนางแล้วก็ตกใจ อ้าปากค้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดความอดทนแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็หาของที่เหมาะสมไม่ได้ แล้วนางก็ก้มหน้าลง หยิบผ้าปูที่นอน ออกแรงฉีกออกเป็นหลายชิ้น แล้วผูกติดกัน
จูหลานมองการกระทำของนางอย่างอ้ำอึ้ง ตกใจจนตัวเข้าไปติดเตียง
เมื่อผูกผ้าปูเสร็จ ก็ส่งให้จูหลาน “เอาไป แบบนี้ง่ายดี เร็วเข้าสิ ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางอีกเยอะ”
ในที่สุดจูหลานก็มีสติ แล้วตะโกนออกไปว่า “ข้าไม่ได้อยากตาย”
“เจ้าไม่ได้อยากตายงั้นหรือ เจ้าไม่ได้อยากตายแล้วจะทำตัวแบบนี้ทำไมกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความเกรี้ยวกราดและสงสัย
จูหลานก็หดตัวแล้วถอยไปอีก ตัวติดกับกำแพง จนรู้สึกปลอดภัยแล้ว จึงตอบกลับไปว่า “ข้าเพียงแต่กำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังโมโห ก็ได้ถามกลับไปว่า “คิด พ่อแม่กับลูกเมียเจ้าเกือบจะไม่รอดอยู่แล้ว เจ้าไม่ไปดูแลพวกเขา ยังมีเวลาว่างมาคิดเรื่องอะไรอีก”
“ข้า… ข้าไม่มีหน้าไปพบพวกเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวโยนผ้าปูที่นอนที่ผูกเรียบร้อยแล้วไปที่ตัวเขา แล้วพูดว่า “เจ้าเอาแต่นอนอยู่แต่ในห้อง แล้วจะมีหน้าไปพบพวกเขาได้อย่างไร”
“ข้า…” จูหลานไม่รู้จะตอบอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วพูดว่า “ไหนว่ามาสิ เจ้าคิดอะไรอยู่”
จูหลานกระพริบตา กลืนน้ำลาย แล้วตอบกลับไปว่า “ข้าขอโทษ…”
“เอาใจความ อี้เซวียนยืนรออยู่ข้างนอก อากาศหนาวขนาดนี้ เดี๋ยวเขาจะไม่สบายเอา แม้เจ้าไม่ตาย ข้าก็จะเอาเจ้าไปแขวนไว้ที่คานห้อง”
เมื่อพูดแบบนี้ หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกก็สะใจกว่าเดิม จนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จูหลานตกใจมาก จึงตอบกลับไปว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะสู้หน้าพวกเขาอย่างไรดี”
“ควรที่จะสู้หน้าอย่างไรก็สู้หน้าอย่างนั้น มีอะไรยากล่ะ”
“เท่านี้เองหรือ” เมื่อฟังคำพูดที่ดูง่ายของนาง จูหลานถามเขากลับอย่างไม่เชื่อ
“แล้วจะอย่างไรล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ
จูหลานแสดงสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่าข้า…”
“นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีใครรู้อีกหรือไม่”
จูหลานส่ายหน้า
“เจ้าเสียหายอย่างนั้นหรือ”
เขาส่ายหน้าอีก
“เจ้าท้องอย่างนั้นหรือ”
คำพูดของนาง ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนที่ยืนอยู่ด้านนอกหลุดขำออกมา
จูหลานก็ส่ายหน้าอีก เมื่อส่ายหน้าเสร็จจึงรู้สึกได้ว่าประโยคนี้มันไม่ถูกต้อง รีบพูดขึ้นว่า “ผู้ชายจะท้องได้อย่างไรกัน”
“เจ้ากังวลอะไร ถึงคนอื่นรู้ไปเจ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
จูหลานโกรธจนเลือดขึ้นหน้า “ข้าไม่ได้ยินยอมเสียหน่อย ถือว่าข้าได้ประโยชน์ได้อย่างไรกัน” พอพูดจบรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ก็ลดเสียงลง แล้วพูดว่า “ข้ากลัวว่าลี่เอ๋อร์รู้เรื่องเข้าแล้วจะไม่สบายใจ”
“พวกเราดูเหมือนคนปากสว่างหรือไง”
จูหลานส่ายหัว “ไม่”
“เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่บอกลี่เอ๋อร์ นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน” เมิงเชี่ยนโยวถามกลับ
จูหลานดูเหมือนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวลดเสียงลง “ตระกูลเฉียวและตระกูลของข้าราชการสุนัขนั่นโดนจัดการไปหมดแล้ว วันนี้เฉียวหมิ่นก็จะถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวง ได้รับโทษที่ควรได้รับ ถ้าเจ้าไม่พูด เรื่องนี้ก็จะไม่แพร่งพรายออกไป ลี่เอ๋อร์ก็จะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ อีกทั้งลี่เอ๋อร์ยังเป็นคนซื่อๆ เจ้าแต่งเรื่องขึ้นมาให้มันผ่านๆ ไปก็แค่นั้น เจ้าจะสร้างความวุ่นวายให้กับตัวเองและนางทำไมเล่า”
จูหลานกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป นางเดินไปพูดไปว่า “ร่างกายของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก พักฟื้นไม่กี่วันก็หาย ส่วนลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์ พอร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้ว ค่อยไปเยี่ยมพวกเขากับท่านลุงและท่านป้าแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป กลับไปข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน เขายิ้มแล้วบอกว่า “ดีมาก เวลาหนึ่งก้านธูปพอดี”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยังไม่ได้หายไป เขายื่นมือไปลูบหัวนาง แล้วจูงมือนางเดินออกจากจวนจู