ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 191-2 สงสัย
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 191-2 สงสัย
ก่อนอื่นก็ต้องเดินมาที่จวนหลักเพื่อทำความเคารพสองสามีภรรยาเปาชิงเหอก่อน พูดคุยกันนิดหน่อย แล้วค่อยเดินไปที่ห้องของเปาอีฝาน
บาดแผลที่ขาของเปาอีฝานยังไม่หายดี ตอนนี้กำลังฝึกเดินช้าๆ อยู่ภายในห้อง ร่างกายท่วมไปด้วยเหงื่อ
ได้ยินเสียงรายงานของแม่บ้าน ซุนฮุ่ยยิ้มรับนางเข้ามาในห้อง บอกว่า “เมื่อวานนี้ข้ายังคุยกับท่านพี่อยู่เลยว่า โรงงานจะเปิดอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่กลับมาอีก หรือว่าที่บ้านเกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบ ก็สั่งให้แม่บ้านยกน้ำชามา
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ทำตัวเป็นคนนอกแต่อย่างใด นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหัวเราะว่า “เจ้าทายถูก เกิดเรื่องในบ้านนิดหน่อย”
เปาอีฝานและซุนฮุ่ยมองตากัน แล้วซุนฮุ่นก็พูดว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น สะดวกเล่าให้พวกเราฟังหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “เรื่องใหญ่ พลาดนิดเดียวก็จะทำให้ตระกูลเมิ่งและตระกูลของจูหลานไม่รอดเลยสักคนเชียวล่ะ”
เปาอีฝานหยุดชะงัก แล้วเดินกระเผกๆ มานั่งที่ข้างๆ โต๊ะ ถามอย่างรีบร้อนว่า “เรื่องใหญ่อันใดหรือ ถึงขนาดเกี่ยวข้องกับจูหลานด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าตั้งแต่ตอนที่ตนยังไม่เข้าบ้านก็เห็นรั่วหลานแล้ว ไปจนถึงเรื่องของจูหลาน จนกระทั่งทำให้จางลี่ที่ยังไม่หายดี แม้แต่เรื่องที่จูหลานโดนข่มขืนก็บอกพวกเขา แต่ไม่ได้บอกว่ามีมหาเสนาบดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
เรื่องน่าประหลาดเช่นนี้ เมื่อซุนฮุ่ยฟังจบ ก็ถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
ส่วนเปาอีฝานโกรธถึงขั้นเอามือทุบโต๊ะ “ขุนนางสันดานสุนัขนี่มันโหดร้ายยิ่งนัก ถึงขนาดที่คิดหาวิธีที่เลวทรามต่ำช้าขนาดนี้มาทำร้ายพวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แต่น่าเสียดาย ที่สมาชิกครอบครัวของเขาโดนฆ่าตายหมด ข้ากับอี้เซวียนจึงหาคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้”
ซุนฮุ่ยพยักหน้า “คนที่อยู่เบื้องหลังคนนี้ช่างโหดร้าย นั่นชีวิตคนยี่สิบกว่าคนเลยนะ”
“ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีตระกูลเฉียวอีก” จริงๆ แล้วเฉียวหมิ่นไม่ได้ถูกจัดให้ไปอยู่ที่ที่รับรองข้าราชการเมื่อก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ของซุนฮุ่ยและเฉียวหมิ่นจึงยังดีอยู่ เมื่อได้ยินว่าตระกูลของพวกเขาถูกกระทำจนถึงขั้นนี้ จึงอดที่จะน้ำตาคลอไม่ได้ พูดออกมาว่า “แล้วเฉียวหมิ่นล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระพริบตา แล้วโกหกว่า “เขาเป็นนักโทษคนสำคัญ โดนควบคุมตัวกลับเมืองหลวงไปแล้วล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ซุนฮุ่ยพยักหน้า
เปาอีฝานได้เห็นแววตาที่มีพิรุธของนาง จึงรู้ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้ จึงหาข้ออ้างมาแยกซุนฮุ่ยออกไป “ฟ้าใกล้มืดแล้ว เจ้าไปจัดการที่ห้องครัวเถิด ให้แม่ครัวทำกับข้าวเพิ่มสักสองสามอย่าง วันนี้แม่นางเมิ่งจะอยู่กินข้าวกับเราด้วย”
ซุนฮุ่ยดีใจตอบรับ แล้วเดินออกไป
เมื่อนางเดินออกไปไกลแล้ว เปาอีฝานถึงจะพูดว่า “พูดมาเถอะ ว่าใครเป็นคนบงการเรื่องนี้ แล้วเรื่องเฉียวหมิ่นอีกว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็รู้อยู่แล้วว่าปิดบังเจ้าไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องที่มหาเสนาบดีเป็นคนบงการและเรื่องที่เฉียวหมิ่นโดนลงโทษโดยการส่งไปที่กองทหาร ให้เป็นผู้หญิงระบายกามของเหล่าทหารให้เขาฟัง “ถึงแม้ว่าพวกเราจะรู้ว่าเฮ่อจางเป็นคนบงการหลัก แต่ว่าหวังเต๋อเซิ่งตายไปแล้ว เลยไม่มีพยาน อยากใช้โอกาสนี้โค่นล้มเขานั้นยังเป็นไปไม่ได้ ทำได้แต่รอโอกาสภายหลัง”
“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้พวกเจ้าก็ต้องระวังหน่อยล่ะ” เปาอีฝานกำชับ “ในเมื่อเฮ่อจางมีความคิดแบบนี้ จะต้องไม่ยอมจบง่ายๆ แน่”
“ที่ต้องการก็คือให้เขาไม่จบง่ายเพียงนี้ ขอเพียงแค่เขาลงมือจะต้องมีเบาะแสเล็ดลอดออกมาแน่นอน”
เห็นนางไม่พอใจเป็นอย่างมาก เปาอีฝานจึงเตือนนางอย่างจริงจังว่า “เขาเป็นขุนนางมาหลายปี เส้นสายมากมาย จะลงมือกับพวกเจ้าตอนไหนก็ได้ จะต้องระวังหน่อย” เมื่อพูดจบก็พูดต่ออีกว่า “อาการบาดเจ็บของข้าพักอีกสักระยะหนึ่งก็คงดีขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นข้าคงช่วยพวกเจ้าได้บ้าง”
“ไม่ต้อง” เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธโดยพลัน “ครอบครัวของเจ้าคนยังพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้าหากว่าโดนเขาหมายหัวล่ะก็จะแย่เอา ในมือของข้ามีเหล่าองครักษ์ลับอยู่ ถึงแม้ว่าเขาอยากที่จะกำจัดข้ามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าที่จะทำอย่างโจ่งแจ้งหรอก”
เมื่อเห็นนางวางแผนเช่นนี้ เปาอีฝานจึงไม่แนะนำต่ออีก แต่กำชังนางว่า “อย่าได้ใจไปเลย จะต้องระมัดระวังในทุกๆ เรื่อง”
เมื่อทั้งสองคนพูดจบ ซุนฮุ่ยที่ไปจัดการเรื่องสำรับอาหารเดินกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยืนขึ้น บอกว่า “พี่ใหญ่ และพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าพาลูกๆ มาเล่นที่เมืองหลวงอยู่ไม่กี่วัน ข้าจะกลับไปหาพวกเขา วันนี้ขอกลับก่อน รอวันที่พวกเขากลับไปแล้ว ข้าจะมากินด้วยอย่างดีเลย”
ซุนฮุ่ยสงสัย หลังจากนั้นก็คิดได้ว่าพวกเขาสองคนคงมีเรื่องคุยกัน ก็เลยแยกตนออกไป แล้วหัวเราะว่า “ได้ พวกเรากับพี่เมิ่งก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ไว้วันหลังเชิญพวกเขามาที่นี่สิ”
แล้วส่งนางกลับด้วยตนเอง เมื่อเห็นนางนั่งรถม้าไปไกลแล้ว ซุนฮุ่ยก็หุบยิ้ม แล้วเดินเข้าจวนไป
วันที่สอง สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์ ตามโจวอิ๋งไปที่บ้านของท่านตี้ซือ
ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่าโจวอิ๋งอยู่ที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวกับสองสามีภรรยาเมิ่งเสียน พี่โจวก็ไม่ได้ว่าอะไร
หลายวันต่อมา ทั้งครอบครัวไปเที่ยวเล่นกันจนทั่วเมืองหลวง เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์เล่นกันอย่างสนุกสนาน จะต้องกลับบ้านมืดๆ ทุกวัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังหาเวลาว่างพาซุนเชี่ยนไปที่ร้านผ้าใหมหยุนเสียง เมื่อได้ข่าวว่านี่คือพี่สาวคนโต เจ้าของร้านผ้าไหมอวิ๋นเซียงดีใจเป็นอย่างมาก แล้วรายงานเกี่ยวกับร้านให้นางฟังอย่างละเอียด
สุดท้าย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้พาทุกคนไปที่ร้านค้าร้านหนึ่งที่อยู่นอกเมือง
เมื่อเปิดประตู เห็นข้างในนั้นมีเครื่องแต่งกายที่สวยงามมีราคา สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและสองสามีภรรยาเมิ่งอี้ถึงกับกลั้นหายใจ เมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์รวมไปถึงหงเอ๋อร์ดีใจจนวิ่งเข้าไปด้านใน วิ่งเล่นอยู่หลายรอบในบ้านหลังใหญ่ ถึงจะหยุด
“ต่อจากนี้เวลาที่ครอบครัวเราย้ายมาอยู่เมืองหลวง ก็ให้มาอยู่ที่นี่ ห่างไกลจากผู้คนในเมือง เวลาเปิดประตูออกมายังสามารถเห็นที่นาท้องไร่ แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องคิดถึงบ้านเก่ามาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ทุกคนต่างก็อึ้ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ขนาดโจวอิ๋งที่เติบโตมาในเมืองยังชะเง้อดูนู่น จับนี่ แถมยังมีสีหน้าท่าทางที่ปลื้มปีติขนาดนี้
เห็นสีหน้าขอวทุกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า ยืนอยู่กับที่ ให้พวกเขาเดินดูให้พอ
ให้ดูบ้านให้พอ ซุนเชี่ยนจึงรีบโบกมือ บอกว่า “ข้าไม่กล้าอยู่ที่ๆ หรูหราขนาดนี้หรอก ไม่ชินยิ่งนัก”
เมิ่งเสียนก็พยักหน้าเห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวอดขำไม่ได้ “บ้านนี้เป็นบ้านของพวกเรา ไม่ใช่บ้านของคนอื่น มีอะไรให้ไม่ชินอีก”
พวกเขาอยู่ที่บ้านหลังนั้นจนถึงเย็น เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งหมดจึงขึ้นรถม้ากลับเป่ยเฉิง เมิ่งเชี่ยนโยวยังพาทั้งหมดไปเดินดูที่โรงงานอีก เห็นว่าโรงงานที่นี่ใหญ่กว่าที่บ้านอีก เมิ่งเสียนก็สบายใจ
ฟ้ามืดแล้ว ทุกคนจึงกลับบ้าน นายประตูรีบมารายงาน ว่า “นายหญิง ซื่อจื่อรอท่านอยู่ที่ห้องตั้งนานแล้ว เห็นว่าพวกท่านยังไม่กลับมาเสียที เพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ เขาฝากบอกว่า อ๋องฉีและพระชายาได้ยินว่าพวกท่านมาที่นี่ เลยเชิญให้พวกท่านไปที่จวนเสียหน่อยขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้าจวน เมิ่งเสียนรีบบอกก่อนเลยว่า “น้องเล็ก เจ้าห้ามรับปากเป็นอันขาด ให้ตายอย่างไรพวกเราก็ไม่ไป”
ซุนเชี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย
เห็นท่าทางลนลานของพวกเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหัวเราะออกมาว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พระชายาฉีเป็นคนดีมาก โอบอ้อมอารี ไม่มีอะไรหรอก อย่ากลัวไปเลย”
อ๋องฉีน่าเกรงขราม ขนาดท่านตี้ซือยังรับไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเป็นคนบ้านนอก เมื่อนึกถึงเมื่อตอนเห็นหน้าอ๋องฉีเมื่อสี่ปีก่อน เมิ่งเสียนก็ใจเต้นแรง พูดอะไรก็ไม่ฟังทั้งนั้น บอกว่า “ไม่ได้ เขาเป็นถึงท่านอ๋อง มีอำนาจล้นเหลือ ถ้าหากว่าพวกเราไป แล้วทำให้เขาไม่พอใจจะทำอย่างไร แล้วอีกอย่าง เจ้ากับอี้เซวียนยังไม่ได้แต่งงานกันจริงจัง ถ้าหากว่าพวกเราทำอะไรผิดพลาดไป จนไปกระทบกับเรื่องงานแต่งของเจ้าสองคน จะไม่ยุ่งไปกันใหญ่หรอกหรือ ไม่ไป อย่างไรพวกเราก็ไม่ไป”
ซุนเชี่ยนพูดตรงๆ ว่า “พวกเราก็มาตั้งหลายวันแล้ว ต้องกลับบ้านแล้ว วันนี้เจ้าก็จัดเตรียมรถม้าให้ที พรุ่งนี้พวกเราจะกลับบ้านแต่เช้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ โอบไหล่ของนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ นั่นเป็นถึงพระชายาฉีเชียวนะ เป็นคนที่ทุกคนอยากที่จะพบแต่ก็ไม่ได้พบ เหตุใดพวกเจ้าถึงปฏิเสธล่ะ แล้วอีกอย่าง เดี๋ยวข้าก็แต่งงานกับอี้เซวียนแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี เจอกันตอนหลังสู้เจอกันตอนนี้เลยเสียดีกว่า ฟังข้าเถิด พรุ่งนี้พวกเราจะไปพร้อมกัน”
ซุนเชี่ยนก็ยังดึงดัน โจวอิ๋งยืนอยู่ข้างๆ กรอกหูเขา ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พระชายาฉีเชิญเชียวนะ ถ้าหากว่าไม่ไป นั่นเป็นการเสียมารยาท จะทำให้คนในเมืองหลวงนินทาโยวเอ๋อร์ได้”
“ใช่แล้ว พวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้าเดินไปไหนมาไหน แล้วมีคนนินทาว่าร้ายหรอกใช่ไหม” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ซุนเชี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไร มองไปที่เมิ่งเสียน
เมิ่งเสียนเป็นคนซื่อ เมื่อได้ยินว่าจะเป็นผลเสียต่อเมิ่งเชี่ยนโยว จึงสลัดความกลัวทั้งหมดทิ้งไป รีบตอบรับทันทีว่า “ได้ พรุ่งนี้พวกเราจะไปจวนอ๋องฉีกัน”
“พี่เมิ่งอี้และพี่สะใภ้ก็ไปด้วยกันเถิด ไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่” เมื่อพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวแอบส่งสัญญาณให้กับทั้งสองคน
ทั้งสองคนเข้าใจความหมายโดยทันที แล้วยิ้มรับ
วันที่สอง เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็มา เข้าไปด้านใน ก็ทำการพูดก่อนเลยว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ หลายวันมานี้ข้าไม่ว่างจริงๆ เลยไม่ได้มาหาพวกท่านเลย ขอพวกท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ”