ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 193-1 การจากลา
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 193-1 การจากลา
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากเหวินซื่อแล้ว นายท่านเหวินแทบจะร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ
เหวินซื่อเข้ามาพยุงเขาเดินเข้าไปในห้อง “ท่านปู่ แม่นางเมิ่งก็อยู่ในห้องด้วย ท่านเข้ามาเถอะ”
ตั้งแต่ที่เหวินซื่อได้นำยารักษาแผลเป็นกลับมาเมื่อสี่ปีก่อน นายท่านเหวินก็ได้รู้ว่ามีคนที่ชื่อเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุสิบสามสิบสี่เอง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวนางมาตลอด
ต่อมา เหวินซื่อได้เล่าให้เขาฟังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวทำการรักษาให้กับเฝิงจิ้งเหวิน และพบว่าเฝิงจิ้งเหวินอาจจะไม่สามารถมีลูกได้อีก ให้เขาออกมาช่วยดูแลบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือน นายท่านเหวินก็ยิ่งสงสัยในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขึ้นอีก อยากจะพบกับนางมาตลอด เพราะอยากรู้ว่านางเป็นคนอย่างไรกันแน่
เมื่อได้ยินที่เหวินซื่อพูด และเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าสถานะของตัวเองไม่เหมาะสมที่จะเข้าไป จึงหยุด ก้าวเดินลง แล้วบอกว่า “ตอนนี้เหวินเอ๋อร์ต้องพักผ่อน พวกเราอย่าได้เข้าไปรบกวนนางเลย เชิญแม่นางเมิ่งไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด”
เหวินซื่อรับคำ
นายท่านเหวินเดินไปที่ห้องรับแขกก่อนอย่างดีใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินคำสนทนาของทั้งสองคนแล้ว รอให้เหวินซื่อเข้าห้อง นางก็ลุกขึ้น แล้วหัวเราะว่า “ข้าอยากพบกับนายท่านเหวินตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ วันนี้มีเวลาพอดี”
เมื่อพูดจบ ก็พูดกับเฝิงจิ้งเหวินว่า “ซ้อ หลังจากที่ข้าพบกับนายท่านเหวินแล้ว ข้าก็จะกลับเลยนะ คงไม่กลับมาลาซ้อแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก “เช่นนั้นน้องโยวเอ๋อร์ก็เดินทางดีๆ ตอนนี้ก็รู้จักบ้านข้าแล้ว วันหลังถ้าว่างๆ ก็มาหาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ
เหวินซื่อเรียกสาวใช้คนสนิทของเฝิงจิ้งเหวินออกมา กำชับให้พวกนางทั้งสามคนดูแลเฝิงจิ้งเหวินในทุกฝีก้าว แล้วนำเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องรับแขก
นายท่านเหวินก็ไม่ได้ถือตัวแต่อย่างใด ยืนรออยู่ที่ห้องรับแขก
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มทำความเคารพให้กับนายท่านเหวิน
นายท่านเหวินพยุงนาง พร้อมบอกว่า “แม่นางเมิ่งไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายๆ
หลังจากสั่งให้บ่าวยกน้ำชามาแล้ว นายท่านเหวินก็มองประเมินดูเมิ่งเชี่ยนโยว ทว่าอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปด หน้าตาสะสวย บุคลิกภาพดี รอบกายมีไอที่สงบเยือกเย็นแผ่ออกมา สัมผัสได้ทันทีว่าเป็นคนที่ไม่ได้เข้าถึงง่าย
ในขณะที่เขากำลังประเมินดูเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ประเมินดูเขาอยู่เช่นกัน อายุประมาณหกเจ็ดสิบปี หน้าคล้ายกับเหวินซื่อ ท่าทางใจดีมีเมตตา แม้ภายนอกชราแต่ดูแข็งแรงกระฉับกระเฉง ทำให้คนรู้สึกอยากรู้จักด้วยทันทีที่ได้เห็น
บ่าวรับใช้ยกน้ำชามาให้ นายท่านเหวินทำท่าเชิญ “แม่นางเมิ่ง เชิญดื่มชา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขอบคุณ ยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบคำหนึ่งเบาๆ แล้ววางถ้วยชาลง ยิ้มพูด “ได้ยินเหวินซื่อพูดถึงท่านเมื่อหลายปีก่อน บอกว่าท่านก่อตั้งร้านยาเต๋อเหรินขึ้นมาเองกับมือ เชี่ยนโยวนี้นับถือท่านมาโดยตลอด และอยากเจอท่านมาตั้งนานแล้ว เสียดายที่ไม่มีโอกาสเสียที จนต้องล่วงเลยมาถึงตอนนี้”
นายท่านเหวินหัวเราะเบาๆ “คำพูดนี้ของแม่นางเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นแค่พ่อค้าคนหนึ่ง ไม่มีค่าอะไรที่จะให้เจ้านับถือ แต่ว่าเจ้า อายุก็น้อย ไม่เพียงแต่วิชาการแพทย์ล้ำเลิศ ยังเข้าใจเรื่องค้าขายอีก นี่สิถึงจะน่านับถือจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านเหวินชมเกินไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เป็นเพราะจังหวะและโอกาสก็เท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การชื่นชมหรอกเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนางถ่อมตัวและนอบน้อม นายท่านเหวินยิ้มแล้วพยักหน้า “ที่ภรรยาของซื่อเอ๋อร์ท้อง และเพิ่มทายาทตระกูลเหวินได้ในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะแม่นางเมิ่ง ข้าขอบใจอย่างมาก วันหลังถ้าหากว่ามีเรื่องอันใดที่ตระกูลเหวินพอช่วยเหลือได้ ขอแค่เอ่ยปากบอกมา ถ้าพวกเราช่วยได้ ก็จะช่วยอย่างเต็มกำลัง”
“เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณนายท่านเหวินอีกครั้งเจ้าค่ะ หากว่าวันหลังมีเรื่องอะไรให้ช่วย ข้าจะบอกแน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณอย่างดีใจ แล้วพูดอย่างเป็นนัยต่อทันทีทันที “ที่ฮูหยินเหวินซื่อท้องในครั้งนี้ เป็นความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ ข้าก็ดีใจกับนางเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าเรื่องใด มีครั้งแรกแล้วก็ย่อมมีครั้งที่สอง จวนเหวินนั้นก็ถือว่าอันตราย รับประกันไม่ได้ว่าวันใดจะเกิดเรื่องแบบครั้งที่แล้วขึ้นอีก เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ฝีมือการแพทย์ของข้าดีขนาดไหน ก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน”
นายท่านเหวินทำแต่ค้าขายมาทั้งชีวิต จะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนางได้อย่างไร สีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าได้คลายลง พร้อมถอนหายใจเฮือกยาว แล้วบอกว่า “ที่แม่นางเมิ่งพูดมา ข้าเข้าใจ แต่ว่าข้าเปิดร้านขายยามาทั้งชีวิต สิ่งที่ทำก็คือการรักษาผู้คน อย่าบอกนะว่าพอข้าแก่แล้วยังจะต้องลงมือกับคนในบ้านหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา แล้วพูดอย่างเปิดเผยว่า “ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องเจอปัญหาอยู่ดีเจ้าค่ะ เพราะว่าชีวิตของท่านนี้ช่วยคนมานับไม่ถ้วน แต่ท่านยังไม่ลืมความรู้สึกแรกที่ท่านรู้ว่าเหลนของท่านแท้งใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าคิดว่าท่านคงไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแน่นอน ดังนั้นขออภัยหากข้าน้อยพูดมากไป แต่ถึงเวลาที่ท่านควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วเจ้าค่ะ”
นายท่านเหวินเงียบ ไม่พูดอะไร
กลับเป็นเหวินซื่ออ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวจ้องเขม็งใส่ คำพูดที่อยากจะพูดก็กลืนกลับเข้าไป
เมื่อพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกน้ำชาขึ้น แล้วจิบเบาๆ บอกว่า “ชานี้หอมมากจริงๆ หากกินมากๆ ทุกวัน จะต้องทำให้คนมีรู้สึกเบิกบานแน่นอน แต่น่าเสียดาย ที่ไม่รู้ว่าคราวหน้าถ้ามาที่นี่อีกจะได้ยกน้ำชาดื่มได้เช่นนี้อีกหรือเปล่า”
คำพูดแฝงความหมายนี้ทำให้นายท่านเหวินสะท้านจนต้องเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มน้อยๆ วางแก้วชาลง ลุกขึ้นพูดว่า “ที่จวนยังมีเรื่องต้องจัดการ ข้าขอไม่รบกวนพวกท่านแล้ว หวังว่าพบกันครั้งหน้า เชี่ยนโยวจะสามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องทำการค้ากับท่านสักหน่อยเจ้าค่ะ”
นายท่านเหวินจ้องมองไปนางด้วยสายตาเฉียบคม
เมิ่งเชี่ยนโยวก็มองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยิ้มให้กับเขา
มองกันอยู่นาน จนนายท่านเหวินหัวเราะออกมา ลุกขึ้นบอกว่า “ดี รอพบกันครั้งหน้า ข้าจะเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการค้าของข้าให้ฟัง เชื่อว่าด้วยความฉลาดหลักแหลมของแม่นางแล้ว ใช้เวลาไม่นาน ก็จะได้เป็นแม่ค้ารายใหญ่ในแวดวงการค้าของเมืองหลวงแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับ “นายท่านเหวินชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องการทำการค้าก็แค่อยากที่จะทำให้คนที่บ้านมีกินมีใช้ ไม่ได้คิดที่จะทำใหญ่โตเสียขนาดนั้น”
นายท่านเหวินหัวเราะไม่หยุด แล้วส่งเมิ่งเชี่ยนโยวถึงที่หน้าประตูห้องรับแขกด้วยตนเอง เมื่อเห็นเหวินซื่อส่งนางไปไกลแล้ว ก็จ้องมองนางด้วยสายตาเฉียบแหลม จนนางลับไป ถึงจะเก็บสายตาที่มองนางกลับมา ทำหน้าเคร่งขรึม แล้วสั่งว่า “ข้าจะไปที่ห้องหนังสือวางแผนอะไรสักหน่อย หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ก็ห้ามรบกวนเป็นอันขาด”
บ่าวรับใช้ตอบรับ แล้วตามเขาไปที่ห้องหนังสือ เปิดประตูให้เขาเข้าไป แล้วปิดประตูอย่างเบาๆ จากนั้นก็ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอย่างสงบเสงี่ยม
เมื่อส่งเมิ่งเชี่ยนโยวเสร็จแล้ว เหวินซื่อก็กลับมาที่ห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว ใช้น้ำเสียงที่อบอุ่นถามเฝิงจิ้งเหวินว่าอยากกินอะไร แล้วไปที่ห้องครัวเฝ้าดูแม่ครัวทำอาหารด้วยตนเอง
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนกว่า สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง จนน้ำแข็งบนดินละลายลงหมด ผู้คนในเป่ยเฉิงยืนอยู่บนถนนทุกวัน หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาที่นี่ เรียกให้พวกเขาไปทำงานโดยเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ถึงความกระวนกระวานของพวกเขา จึงฝากให้คนรับใช้ไปบอกว่าให้เริ่มงานอย่างเป็นทางการในวันที่สิบหกเดือนสอง เมื่อถึงตอนนั้นก็ให้คนเมืองเป่ยเฉิงไปรายงานตัวที่ผืนดินแห่งนั้นก็เพียงพอ
ทันทีที่ข่าวนี้ออกมา เมืองเป่ยเฉิงก็คึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนต่างรีบวิ่งไปบอกต่อๆ กัน และตั้งตารอให้ถึงวันนั้นด้วยความยินดี
ส่วนคนที่คอยคุมคนงาน ก็คือองครักษ์ลับทั้งหลาย
เรื่องบุกเบิกพื้นที่รกร้างให้เป็นหน้าดินการเกษตรเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเหวินเปียวโดยตลอด ในครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจึงโยนเรื่องนี้ให้เขารับผิดชอบไปเลยเต็มๆ และบอกเขาว่า “หน้าที่ของเจ้ามีเพียงแค่รายงานว่าบุกเบิกพื้นที่ไปได้เท่าไรให้กับข้าในทุกๆ วัน ส่วนที่เหลือข้าไม่สนใจ แต่ว่า ห้ามทำให้การปลูกมันฝรั่งล่าช้า”
เหวินเปียวตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “พวกเจ้าลองปรึกษากันดูว่า จะพักอยู่ที่หน้างานหรือพักอยู่ที่บ้าน ก็บอกกับแม่ครัวให้ดี”
เมื่อจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจแล้ว