ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 194-1 มหาเสนาบดีขอราชโองการ
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 194-1 มหาเสนาบดีขอราชโองการ
แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเติบโตมาในครอบครัวชาวนา แต่ก็อยู่หมู่บ้านเดียวกับเมิ่งเชี่ยนโยว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางเป็นคนเช่นไร ต่อมาเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวได้แสดงออกถึงความเก่งกาจที่ไม่เหมือนใคร เพียงภายในหนึ่งเดือนก็สามารถทำให้ครอบครัวของตนเองร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านได้
เขาไม่สามารถทนการทารุณของสองสามีภรรยาชั้นต่ำคู่นั้นได้ เลยคิดแผนการ ให้เมิ่งเชี่ยนโยวรับเขาเข้าไปอยู่ในตระกูลเมิ่ง
เขาดีใจเป็นอย่างมาก และเก็บความสงสัยทั้งหมดไว้เพียงในใจ
แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ คำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวทำให้เขาคิดไม่ตก ความเคลือบแคลงในใจเขาก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง และเขาก็คาดเดาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ความคิดนี้ทำให้เขากระวนกระวาย ทำอะไรไม่ถูก และนอนไม่หลับตลอดหลายคืน
เขาจำเป็นต้องหาวิธีแต่งนางเข้ามาให้ได้ และเป็นหนึ่งเดียวกับเขา มีกายเดียวกัน เช่นนี้ถึงอาจจะรั้งนางไว้ได้ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ได้นำเรื่องนี้มารายงานกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขา ขอพระราชโองการแก้ไขภัยพิบัติด้วยตนเอง แต่ว่าเรื่องนี้ก็พูดออกไปไม่ได้ อย่างไรเสีย ตรงหน้าก็คือแม่ของเขา เขาไม่สามารถที่จะแพร่งพรายอะไรออกไปได้
พระชายาฉีเห็นว่าหลังจากที่เขาฟังถ้อยคำของตัวเองแล้ว เขาก็นิ่งไม่พูดอะไร แต่ท่าทีดูเปลี่ยนไปตลอด ในใจเกิดสงสัย จึงถามออกไปว่า “เซวียนเอ๋อร์ คำพูดของแม่เจ้าได้ฟังหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนได้สติคืนกลับมา แล้วเผยรอยยิ้มอย่างอบอุ่น “รับทราบขอรับ ลูกเพียงแต่พูดไปอย่างนั้น เสด็จแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลย”
พระชายาฉีก็ไม่ได้คิดมากอะไร ความสงสัยภายในใจก็คลายลง แล้วพูดต่อไปว่า “เซวียนเอ๋อร์ ฟังแม่เถิด ถึงแม้ว่าจะทำเพื่อโยวเอ๋อร์ แต่เจ้าก็ไปดูเรื่องภัยพิบัติไม่ได้ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แล้วโยวเอ๋อร์จะทำอย่างไร”
“ข้าเพิ่งไปหาโยวเอ๋อร์มา นางก็สนับสนุนให้ข้าไป เสด็จแม่วางใจเถิด ลูกดูแลตัวเองได้”
พระชายาฉีเห็นว่าพูดอะไรไม่ได้แล้ว จึงมองไปที่อ๋องฉีแล้วเรียก “ท่านอ๋อง” หมายใจเผื่ออ๋องฉีจะช่วยนางพูดได้
ใครจะไปรู้ว่าอ๋องฉีจะกลับมาอารมณ์ปกติ มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนอย่างสงบนิ่ง ถามด้วยเสียงขรึม “เจ้าตัดสินใจแล้วอย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ข้าตัดสินใจแล้วขอรับ เรื่องหลินเฉิงครานี้ข้าต้องไป ขอเสด็จพ่ออย่าห้ามลูกเลยขอรับ”
คิดไม่ถึงว่าอ๋องฉีจะพยักหน้า แล้วตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ดี สมแล้วที่เป็นลูกของข้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว พ่อก็จะไม่ห้ามเจ้า พ่อขอรับรองว่า ถ้าหากว่าเจ้าทำคุณงามความดีครั้งนี้สำเร็จ พ่อจะเข้าวังหลวงไปขอพระราชโองการด้วยตนเอง ถ้าหากว่าเสด็จลุงของเจ้าไม่ตกลงล่ะก็ ข้าจะละทิ้งตำแหน่งอันทรงคุณค่านี้ แล้วไปอยู่กับพวกเจ้าที่บ้านนอก”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป
พระชายาฉีก็รีบร้อนพูดออกมาว่า “ท่านอ๋อง” แล้วพูดด้วยน้ำเสียงบ่นเป็นกลายๆ ว่า “เซวียนเอ๋อร์ยังเด็ก เหตุใดท่านถึงยอมให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องภัยพิบัติเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน”
“ฮูหยิน” อ๋องฉีพูดโน้มน้าวนางอย่างแน่วแน่ว่า “เซวียนเอ๋อร์โตแล้ว รู้ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร การใช้คุณงามความดีของตนเพื่อแลกกับพระราชโองการ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะพูดเช่นนี้ พระชายาฉีอ้าปากค้าง มองไปที่ท่านอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงจะรู้สึกตัว ริมฝีปากของนางก็สั่นเทา ขอบตามีรอยแดงขึ้นเล็กน้อยแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ จึงรีบลุกขึ้น เดินไปที่ข้างหน้านาง ยกชายเสื้อขึ้นแล้วคุกเข่าลง “เสด็จแม่ ลูกขอรับรองว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ท่านอย่าได้เสียใจไปเลยขอรับ ขอท่านแม่โปรดดูแลรักษาสุขภาพด้วย”
ในที่สุด พระชายาฉีก็ทนไม่ไหว หยดน้ำตาไหลลงบนเสื้อผ้าของนาง โค้งตัวลงไปพยุงหวงฝู่อี้เซวียนให้ลุกขึ้น สะอึกสะอื้นแล้วพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ ที่แม่พยายามห้ามลูกไม่ให้ไปดูเรื่องภัยพิบัติ ก็เพราะว่าเจ้าจากแม่ไปตั้งสิบปี แม่เจ็บปวดรวดร้าวเสียเหลือเกิน ในวันนี้ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันมาแค่ไม่กี่วัน แม่ไม่อยากหวนกลับไปสู่คืนวันเหล่านั้นอีกแล้วจริงๆ” เมื่อพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
พระชายาฉีเกิดในตระกูลแม่ทัพ ถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนแอ แต่ว่านิสัยเข้มแข็งห้าวหาญ แม้ว่าหลายปีมานี้จะอยู่แต่ในจวนอ๋อง ไม่ได้เป็นที่รักของทอ๋องฉี ไม่มีลูกอยู่ข้างกาย แต่ก็ไม่เคยมีน้ำตาไหลเลยสักครั้ง ทว่า ตอนนี้หยดน้ำตากลับหลั่งไหลไม่ขาดสาย ทำให้สองพ่อลูกรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกเจ็บปวดราวกับเข็มทิ่มแทงใจ แต่ยังคงดึงดันพูดโน้มน้าวต่อไปว่า “เสด็จแม่ ท่านลองมองอีกมุมหนึ่ง ถ้าลูกกลับมาจากการไปการช่วยภัยพิบัติในครั้งนี้ ก็จะสามารถขอพระราชโองการไปสู่ขอเมิ่งเชี่ยนโยวได้โดยเร็ว จากนั้นหนึ่งปี พวกเราก็อาจจะมีลูกด้วยกัน เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีเด็กน้อยคอยเรียกท่านว่าท่านย่า ท่านไม่ได้อยากเห็นภาพแบบนั้นอย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่าลูกไม่ไปสร้างผลงานในครั้งนี้ แล้วจะทำความฝันของท่านให้สำเร็จได้เมื่อไรกันเล่าขอรับ”
เขาได้ตัดสินใจแล้ว ดูท่าแล้วไม่เปลี่ยนใจแน่นอน พระชายาฉีพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “แม่รู้ๆ แม่จะไม่ห้ามเจ้าอีก เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด แม่จะช่วยดูแลโยวเอ๋อร์ให้แล้วกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ขอบพระคุณเสด็จแม่”
อ๋องฉีกระแอมหนึ่งที
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ถึงความหมายนั้น จึงพูดว่า “เสด็จแม่ ลูกต้องไปเตรียมของแล้ว วันรุ่งจะออกเดินทางแต่เช้า”
พระชายาฉีพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหันไปพูดกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จพ่อ ลูกขอตัว”
ท่านอ๋องพยักหน้าด้วยท่าทางเคร่งขรึม
หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกไป
พระชายาฉีก็น้ำตาไหลนอง
อ๋องฉีเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของพระชายาฉี ยื่นมือออกมา แล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง “เซวียนเอ๋อร์จะต้องทำได้ดีแน่นอน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีก็พอ”
คำพูดของเขา ทำให้นางร้องไห้หนักกว่าเดิม ตั้งแต่แต่งงานมาสิบปี นางไม่เคยเป็นเยี่ยงเด็กสาวเช่นนี้มาก่อนเลย นางซุกหน้าเข้าอกของอ๋องฉีแล้วร่ำไห้ มือทั้งสองโอบกอดอยู่ที่เอวของอ๋องฉี แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง
อ๋องฉีตัวแข็งทื่อ แต่ในใจก็รู้สึกดีใจ ยื่นมือออกมาลูบหลังของนางอย่างไม่ชิน อ้าปากอยากจะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรดี
หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่เรือนของตนเอง หวงฝู่อี้ก็รู้ข่าวแล้วเช่นกัน จึงได้เก็บข้าวของของทั้งสองคนแล้วเรียบร้อย วางไว้อยู่บนเตียง
เมื่อเห็นสัมภาระเล็กใหญ่วางอยู่บนเตียง หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว บอกว่า “เรื่องครั้งนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เจ้าไม่ต้องตามข้าไป อยู่ที่นี่ รอข้ากลับมา”
หวงฝู่อี้นึกแล้วว่าเขาจะต้องพูดแบบนี้ เลยรีบพูดว่า “ไม่ได้ขอรับ เรื่องครั้งนี้ร้ายแรงนัก ข้าจะต้องไปกับท่าน คอยดูแลท่าน”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก “อี้เอ๋อร์ ฟังข้า เจ้าต้องอยู่ที่นี่ดูแลเสด็จแม่แทนข้า…” เขายังพูดไม่ทันจบก็โดนหวงฝู่อี้แทรกว่า “พระชายาฉีมีคนในจวนคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ต้องการคนอย่างข้าหรอก ข้ารู้ว่าที่ท่านพูดแบบนี้เป็นเพราะท่านไม่อยากให้ข้าตามไปด้วย ข้ายังยืนกรานกับท่านจนถึงตอนนี้ ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ท่านไม่ยอมให้ข้าตามไปด้วย ข้าก็จะแอบตามท่านไป หลินเฉิงไม่ได้ไกลเลย แค่ถามๆ ดูก็หาท่านเจอแล้ว”
“เจ้า…” หวงฝู่อี้เซวียนรู้นิสัยดื้อดึงของเขาดี เรื่องที่ตัดสินใจแล้วก็จะไม่กลับใจเป็นอันขาด เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่พยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปกับข้า”
หวงฝู่อี้ตอบรับด้วยความดีใจ แล้วเอาสัมภาระย้ายไปวางบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ยังไม่ทันจะถึงเวลารุ่งสางของวันถัดมาก็ลุกขึ้น แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไป
ชิงหลวนกับจูหลีได้ยินเสียง ก็ตื่นขึ้น แล้วรีบแต่งตัวตามนางออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกนางแวบหนึ่ง ก็รีบเดินออกไป “ข้าจะไปส่งอี้เซวียน พวกเจ้ากลับไปนอนต่อเถอะ ไม่ต้องตามมา”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แต่ก็ยังเดินตามนางไป
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หยุด
เดินมาที่หลังจวน จูงม้าออกมาด้านนอก แล้วขึ้นขี่ มุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง ชิงหลวนและจูหลีก็ติดตามอยู่ทางด้านหลัง
เมื่อมาถึงประตูเมือง ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ประตูเมืองยังไม่เปิด เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดม้า แล้วนั่งนิ่งรออยู่ด้านบนหลังม้า
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงฝีเท้าของม้าพัดผ่านมา เมิ่งเชี่ยนโยวมองไป เห็นม้าหลายตัวกำลังมุ่งหน้ามา คนที่อยู่ตรงหน้าก็คือหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นนาง ใบหน้าเผยประกายด้วยความดีใจ ในขณะเดียวกันปรากฏความเศร้าสลด เมื่อควบม้ามาหยุดที่ตรงหน้านาง กลับส่งเสียงบ่นออกมา “บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ต้องมาส่งข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา เม้มปาก พร้อมกับพูดความในใจออกไปว่า “ข้าคิดถึงเจ้าน่ะ ก็เลยมาส่ง”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุกชะงักไป แล้วก็ดีใจขึ้นมาทันที จึงเหาะมาที่ด้านหลังของนาง พร้อมกระตุกบังเ**ยน ให้ม้าเดินไปที่หน้าประตูเมืองอย่างช้าๆ แล้วสั่งทหารชั้นผู้น้อยที่เฝ้าประตู “เปิดประตู!”
หวงฝู่อี้เซวียนมักจะออกว่าราชการต่างเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว นายประตูก็เลยจำเขาได้ เห็นเขามาแต่เช้า แสดงว่าจะต้องมีเรื่องด่วนเป็นแน่ จึงรีบเปิดประตูให้พวกเขาออกไป
“พวกเจ้าตามมาทีหลัง!” หวงฝู่อี้เซวียนพูดสั่งเช่นนี้หลังพ้นจากประตูเมืองออกไป แล้วกระทืบท้องม้า เพื่อเร่งให้ม้าตะบึงมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า
ชิงหลวน จูหลีและบรรดาทหารหลงเว่ยต่างก็ขี้ม้าช้าลง ตามเขาอยู่ด้านหลัง