ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 196-2 ทางหนีทีไล่
ตอนที่ 196-2 ทางหนีทีไล่
พวกเขาลดความเร็วลง เข้าไปในหมู่บ้าน ก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่ดูท่าไม่เลวแห่งหนึ่ง ทุกคนลงจากม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปข้างใน แล้วสอบถามว่า “เถ้าแก่ ตอนนี้ยังมีห้องว่างหรือไม่”
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นทางที่จะต้องผ่านระหว่างเมืองหลวงและหลินเฉิง ในวันธรรมดาก็จะมีคนสัญจรมาพักที่นี่ แต่การที่จะมีคนมามาพักกันยี่สิบกว่าคนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากยิ่ง เมื่อเถ้าแก่เห็นคนเหล่านี้ ก็ยิ้มแก้มปริ และพูดตอบรับไม่หยุดว่า “มีๆ แม่นางอยากได้กี่ห้องกันล่ะ”
“พวกเราทั้งหมดจะอยู่ที่นี่ เจ้าจัดการได้เลย เอาห้องดีๆ หน่อยล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้เป็นผู้มีอันจะกิน เถ้าแก่ดีใจนัก ท่าทางดูต้อนรับพวกเขากว่าเดิม จึงรีบหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมา แล้วพาพวกเขาขึ้นไปห้องพักด้วยตนเอง ชี้ไปที่ห้องซ้ายและห้องขวา บอกว่า “ใช้ห้องทั้งหมดนี้ได้เลย แม่นางดูก่อนว่าพอใจหรือไม่”
“เปิดห้องดูหน่อยสิ”
เถ้าแก่ตอบรับ แล้วเปิดห้องให้ตามลำดับจนมาถึงห้องสุดท้าย พร้อมจุดตะเกียงน้ำมันในทุกห้องให้
เมิ่งเชี่ยนโยวนึกคิดว่าถึงแม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่ก็สะอาดทีเดียว จึงพยักหน้าบอกว่า “เอาห้องพวกนี้แหละ รบกวนจัดเตรียมอาหารร้อนๆ ให้พวกข้าด้วย หลังจากที่กินเสร็จแล้ว พวกเราก็จะพักผ่อนทันที วันพรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางแต่เช้า”
เถ้าแก่ตอบรับด้วยความดีใจ ไปจุดตะเกียงบนชั้นสองจนหมด แล้วถึงลงจากชั้นสองมาสั่งให้ลูกน้องทำกับข้าว
กัวเฟยและคนอื่นจูงม้ามาผูกไว้ที่ด้านหลัง เมื่อสั่งลูกน้องในโรงเตี๊ยมให้มาดูแลแล้ว ถึงกลับขึ้นไปด้านบน
เมิ่งเชี่ยนโยวเลือกห้องที่อยู่ด้านในสุด ส่วนที่เหลือก็ให้พวกเขาจัดการกันเอาเอง
เดินทางมาหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดก็มีเตียงให้ได้นอน ทุกคนต่างนอนเอนอยู่บนเตียงของตนอย่างสบายราวกับว่าไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
ลูกน้องจัดทำอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาจึงลงมากินข้าวกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินนำลงมา แล้วตรวจสอบอาหารอย่างถี่ถ้วน พบว่าไม่มีอะไรผิดแปลก จึงนั่งลง แล้วเป็นคนเริ่มกินข้าวก่อน
เห็นดังนั้น ทุกคนก็อุ่นใจ และพากันนั่งลงกินข้าว
เมื่อกินเสร็จและขึ้นไปที่ห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งกัวเฟย “จัดคนสองคนมาเฝ้าที่ระเบียงเอาไว้ด้วย” พอเห็นว่าทุกคนต่างก็เหนื่อยแล้ว จึงกำชับไปอีกประโยคว่า “หนึ่งชั่วยามค่อยเปลี่ยน”
กัวเฟยตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับห้องไป นอนลง ร่างกายอ่อนล้าเหนื่อยอย่างมาก ในสมองกลับยังคงคิดถึงคำพูดของเหวินเอ้อร์ตลอดเวลา จะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ
พลิกไปพลิกมาจนไม่รู้หลับไปเวลาใด จากนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงรีบลุกขึ้นนั่งทันที แล้วตั้งใจฟังเสียงด้านนอก แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันใด
สัญชาตญาณนักฆ่าบอกนางว่า เสียงเมื่อครู่ที่นางได้ยินนั้นไม่ได้หูฝาดไปแน่นอน จึงใส่รองเท้า ลงจากเตียง เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง
ระเบียงทางเดินเงียบสงัด ไม่เห็นแม้องครักษ์ลับที่คอยเฝ้าอยู่ ในใจก็รู้สึกกระวนกระวาย มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เดินย่องๆ ไปที่ด้านข้างของประตู แล้วเคาะเบาๆ พร้อมส่งเสียงเรียก “ชิงหลวน จูหลี”
ทั้งสองคนตื่นขึ้น ตอบรับ แล้วลุกออกมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว “นายหญิง”
“ดูท่าไม่ดี ปลุกทุกคนด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
ชิงหลวนกับจูหลีแยกกันไปเคาะตามห้อง
ทุกคนถูกปลุกให้ตื่น กัวเฟยเดินออกมา ถามว่า “นายหญิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“คนที่เฝ้าเวรล่ะ”
กัวเฟยมองไปที่ระเบียง ไม่เห็นคนเฝ้า จึงขมวดคิ้ว ถามว่า “เวลานี้ต้องเป็นเวรใครเฝ้าล่ะ”
ทุกคนมองกันไปมา พักหนึ่งจึงมีคนพูดชื่อของคนที่ต้องเฝ้าเวรยามออกมา
กัวเฟยตรวจสอบดู ไม่เห็นพวกเขา จึงรีบพูดว่า “นายหญิง”
คนไม่สามารถที่หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุได้ มีสองกรณีเท่านั้น คือไม่โดนจับไป ก็โดนลอบฆ่า คาดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเม้มปาก ออกคำสั่ง “เก็บของ แล้วออกจากโรงเตี๊ยมเดี๋ยวนี้”
เมื่อนางพูดจบ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากทางด้านล่าง “เกรงว่าจะไม่ทันเสียแล้ว คนในที่นี่ล้วนเป็นคนของข้า แม่นางเมิ่งจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์”
เมื่อพูดจบ ทางด้านล่างก็มีแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้าขึ้นมา ส่องสว่างจนราวกับเป็นเวลากลางวัน เถ้าแก่และพวกพ้องทั้งหลายยืนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ยิ้มเยาะมองมาที่พวกเขา และตรงหน้าพวกเขาก็คือองครักษ์ลับทั้งสองที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับ พวกเขาได้ตายไปเสียแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกโกรธอย่างมาก สององครักษ์ลับฝีมือดีต้องมาถูกลอบฆ่าไป ดูท่าแล้วฝ่ายตรงข้ามน่าจะมีคนฝีมือเก่งกาจ หากว่าจะสู้กับพวกเขาล่ะก็ ไม่รู้แน่ว่าโอกาสชนะจะมีเท่าใด
เถ้าแก่ยังคงยิ้มเยาะอยู่อย่างนั้น “แม่นางเมิ่ง สัญชาตญาณของเจ้านี้ดีเยี่ยมจริงๆ ทำให้ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก พวกเราอยากจะจัดการพวกเจ้าอย่างเงียบๆ เพื่อจะได้ไม่ทำให้คนทั้งหมู่บ้านตื่นตระหนกกันไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่ไม่เกรงกลัวว่า “เถ้าแก่ชมเกินไปแล้ว ต่อให้สัญชาตญาณข้าดีอย่างไรก็ไม่เยี่ยมยอดเท่าสติปัญญาของท่านหรอก วิธีการปกปิดตัวตน และซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเลื่อมใสยิ่งนัก”
เถ้าแก่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรบอกว่า “โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมของเจ้านายข้าที่เปิดไว้หลายปีแล้ว เจ้าเป็นคนแรกที่นายท่านให้พวกเราลงมือ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าข้าโชคดีล่ะสิ ไม่ทราบว่าคำสั่งของนายท่านพวกเจ้าว่าอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม แล้วส่งสัญญาณให้กัวเฟยเข้าไปตรวจสอบหน้าต่างในห้อง ดูว่าพวกเขาจะมีโอกาสหนีรอดออกไปได้หรือไม่
ดูเหมือนว่าเถ้าแก่จะมองความคิดของนางออก จึงหัวเราะแล้วบอกว่า “แม่นางเมิ่ง คนในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนเป็นคนของพวกข้าทั้งสิ้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเสียแรงเปล่าเลย ยอมจำนนเสียแต่โดยดีจะดีกว่า” พูดจบก็โบกมือขึ้น จากนั้นคนเสื้อดำกลุ่มหนึ่งถือธนูเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม ศรธนูถูกหยิบขึ้นมาวางที่คันธนูเรียบร้อย พร้อมเล็งตรงมาที่พวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้าไม่เปลี่ยน หัวเราะออกมาว่า “ท่านมหาเสนาบดีประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ส่งคนมาจัดการข้าเสียตั้งมากมาย”
เถ้าแก่ไม่ได้ตอบอันใด แต่กลับยิ้มแล้วถามกลับไปว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้าจะยอมดีๆ หรือว่าจะให้พวกเรายิงพวกเจ้าให้เหมือนกับยิงกระดานใบไผ่”
กัวเฟยกลับมา แล้วพยักหน้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความหมายนั้น จึงหัวเราะออกมา “ให้พวกเราลงไปจะดีกว่า หากถูกยิงเป็นกระดานใบไผ่คงจะเจ็บน่าดู”
เมื่อพูดจบ แล้วเดินนำทุกคนลงมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จนมาถึงตรงหน้าเถ้าแก่
เถ้าแก่พยักหน้า “แม่นางเมิ่งช่างเข้าใจง่ายจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้เสียเวลาเลย”
เมื่อพูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้คนจับเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ มัดเอาไว้
ลูกน้องกำลังจะก้าวเท้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดออกมาว่า “ช้าก่อน!”
ฝีเท้าของลูกน้องทั้งหลายได้หยุดลง เถ้าแก่ขมวดคิ้วบอกว่า “ข้าขอแนะนำให้แม่นางเมิ่งอย่าเล่นตุกติกอะไรจะดีกว่า ข้าขอรับรองว่าจะทำให้ศพครบสามสิบสองแน่นอน”
“คนตายก็เหมือนไฟดับ ร่างจะอยู่ครบหรือไม่ครบ ข้าไม่สนใจหรอก ข้าแค่อยากรู้ว่านายของพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ มิเช่นนั้นข้าคงตายตาไม่หลับ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เถ้าแก่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก จะบอกชื่อของนายตนเองง่ายๆ ได้อย่างไร จึงบอกว่า “นายท่านของพวกเราเป็นใคร เมื่อไปถึงนรก พญายมบาลก็จะบอกเจ้าเอง ตอนนี้อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”
เมื่อพูดจบ จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้ลูกน้องเดินหน้าต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำมือเป็นสัญญาณทางด้านหลัง รอจนกระทั่งพวกลูกน้องเดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาและจะเอาเชือกออกมามัดนั้น เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวน และจูหลี รวมไปถึงกัวเฟย และเหล่าองครักษ์ลับทั้งหลาย ก็ได้จับตัวพวกลูกน้องพวกนั้น แล้วรีบเอาตัวของพวกเขามาเป็นเกราะป้องกันธนูโดยเร็ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เถ้าแก่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์จะกลับกลาย ไม่นึกว่าพวกเขาจะกล้าต่อต้าน จึงหยุดชะงักไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “แม่นางเมิ่ง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมตายดีๆ ใช่หรือไม่”
กริชของเมิ่งเชี่ยนโยววางอยู่ที่ลำคอของลูกน้องคนนั้น แล้วหัวเราะออกมาว่า “ข้าคนนี้ไม่เคยทำการค้าที่ต้องขาดทุน จึงต้องมีคนมารับแทนเสียหน่อย”
“ดี ข้านับถือในความกล้าของแม่นางเมิ่งจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสนองเจ้าเอง” เมื่อเถ้าแก่ พูดจบ ก็เดินถอยหลังไป อยู่ด้านหลังพลธนู แล้วทำสัญญาณมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องไปที่มือของเขาเตรียมตัวตั้งรับ
ฟึบ! มีเสียงดังขึ้นมา มือของเถ้าแก่ยังไม่ทันส่งสัญญาณ เขาก็พุ่งไปข้างหน้าล้มลงกับพื้น ไร้ซึ่งเสียง ไร้ซึ่งลมหายใจ ด้านหลังของเขามีศรธนูปักอยู่
ในขณะเดียวกัน ก็มีศรธนูตกใส่ทหารธนูที่อยู่ในโรงเตี๊ยม เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ตายไปหลายศพ เมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนลากลูกน้องพวกนั้นถอยหลังมาหลายก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้โดนตนเองบาดเจ็บ
คนเสื้อดำสามสี่สิบคนบุกเข้ามาที่ในโรงเตี๊ยม โดยไม่พูดอะไร ก็จัดการพลธนูที่เหลือจนหมด
โรงเตี๊ยมเงียบสงัด
ลูกน้องที่โดนจับตัวอยู่ก็ตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
คนเสื้อดำโค้งคำนับ “แม่นางเมิ่ง!”
แม่นางเมิ่งไม่ทันได้พยักหน้า ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกโรงเตี๊ยม
เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงที่กริชบนมือ และร่างกายของลูกน้องก็อ่อนทรุดลงไป
แล้วก็มีแสงสีเงินส่องวาบจากคนอื่นๆ ลูกน้องทั้งหมดก็ตายลง
ขณะเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ก็เห็นมีคนหกคนที่กำลังสู้กันอยู่
สามคนในหกคนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวรู้จัก พวกเขาก็คือองครักษ์เงาที่เคยอยู่เคียงข้างหวงฝู่อี้เซวียนนั่นเอง จึงออกคำสั่งกับว่า “กัวเฟย เข้าไปช่วยเดี๋ยวนี้ รีบจัดการให้เร็วที่สุด”
กัวเฟยตอบรับ และนำคนอื่นเข้าไปช่วย สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงห้าสิบกระบวนท่า คนเสื้อดำสามคนนั้นก็ถูกปลิดชีพลง