ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 199-1 ก่อนที่ประตูนรกจะปิด
ตอนที่ 199-1 ก่อนที่ประตูนรกจะปิด
หมอหลวงเจียงไม่พูดมากอีกต่อไป รับเอาใบสั่งยา หันหลังเดินออกไป หยุดอยู่ตรงหน้าของจางเจ๋อหวยแล้วยื่นให้เขาบอกว่า “ใต้เท้าจาง รบกวนให้ท่านเอายาจากร้านยาในเมืองส่งมาให้พวกเราที พวกเราจะทำการต้มยารักษาโรคระบาดนี้เดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคระบาด จางเจ๋อหวยก็มิช้า รีบสั่งทหารของตนให้ไปจัดการโดยทันที
หมอหลวงเจียงเดินกลับไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ไปตรวจโรคชาวบ้านกับพวกเราได้หรือไม่ บอกพวกเราด้วยเถิดว่าท่านทำอย่างไรถึงบอกได้ว่ามันไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา”
ที่จริงแล้ว คำพูดนี้มีความอยากรู้วิชา หลังจากที่หมอหลวงเจียงพูดออกมา ในใจก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เกรงก็แต่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ตอบรับ เช่นนั้นหน้าเขาคงแหกหมอไม่รับเย็บแน่ๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย ตอบกลับอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
หมอหลวงเจียงดีใจเป็นอย่างมาก เดินตามอยู่ทางด้านหลัง
ชิงหลวนและจูหลีตะโกนออกไปอย่างร้อนรนว่า “นายหญิง!” เท้าหนึ่งข้างได้ก้าวเหยียบเข้าไปที่สถานกักตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยุด หันกลับไปตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าหากไม่ฟังข้าล่ะก็ พวกเจ้ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสีย!”
คำพูดนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวชัดเจนว่าเป็นการสั่งสอน กลัวว่าพวกนางจะติดโรค ชิงหลวนและจูหลีตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าก็กลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสั่งให้พวกนางกลับจวนอ๋องฉีไปจริงๆ จึงตกใจแล้วถอยกลับไป มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาอ้อนวอน
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก “พวกเจ้าอยู่ด้านนอกไป ข้ายังมีเรื่องให้พวกเจ้าทำ”
ทั้งสองคนตอบรับ
ทุกคนมาถึงที่พักคนไข้ เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งคุกเข่าลงไปตรงหน้าคนไข้อาการหนักคนหนึ่ง จับชีพจรเขา แล้วบอกถึงอาการที่หนักๆ ของเขา อีกทั้งยังบอกถึงอาการก่อนหน้านี้อีกด้วย แล้วถามว่าถูกต้องหรือไม่
คนไข้พยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
หมอหลวงเจียงและคนที่เหลือยิ่งเลื่อมใสในตัวนางเข้าไปอีก ทุกคนเดินไปรอบๆ ห้อง จับชีพจรของคนไข้แต่ละคนที่มีอาการแตกต่างกัน แล้วปรึกษากันในเรื่องของอาการป่วยของพวกเขา แล้วถามเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นระยะๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบในทุกคำถามที่นางตอบได้ ไม่ได้หวงวิชาแต่อย่างใด
จางเจ๋อหวยให้คนไปเอายามา แล้วยืนตะโกนอยู่ทางด้านนอก
หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงตะโกน จึงเร่งรุดเดินออกมา สั่งให้โยนถุงยามาหนึ่งถุง เปิดออก หลังจากตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่แล้ว ก็สั่งให้คนเอามาต้มแล้วรีบส่งมา
ยาต้มเสร็จแล้ว ส่งมาแล้ว วางไว้ที่หน้าสถานกักตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไป ยกขึ้นมา แล้วพาทุกคนมาที่ห้องของหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียง จึงลืมตาขึ้นมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ยิ้มให้นางอ่อนๆ
หมอหลวงและคนอื่นๆ ตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่พวกเขามา ก็ได้ยินว่าซื่อจื่อติดโรคเข้าให้แล้ว เขาเลยสั่งกักตัวตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เจอเขา แต่ตอนนี้ซื่อจื่อผอมแห้งจนแทบจะจำไม่ได้ ไม่ได้มีรูปร่างที่สมบูรณ์เหมือนกับแต่ก่อน อีกทั้งยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ราวกับว่าจะตายวันตายพรุ่งก็มิปาน
ทุกคนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก หวงฝู่อี้เซวียนเห็นดังนั้น รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีนัก แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงออกอะไร ได้แต่พยักหน้าเบาๆ ทักทายหัวหน้าหมอหลวงว่า “หมอหลวงเจียง”
หมอหลวงเจียงโค้งคำนับกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าลง เอายาวางไว้ที่พื้น แล้วประคองตัวของเขาขึ้นอย่างอ่อนโยน วางไว้บนตัวของตน แล้วหยิบยาขึ้นมาไว้ที่ตรงหน้าของเขาพร้อมพูดว่า “นี่เป็นยาต้มที่ข้าและหมอหลวงร่วมกันคิดค้นขึ้นมา เจ้าดื่มเข้าไปก่อน ดูสิว่าเป็นผลอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงเจียงไม่กล้ารับไว้ จึงรีบพูดว่า “พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอกแม่นางเมิ่ง นี่เป็นใบสั่งยาที่ท่านเขียนขึ้นมา พวกเราไม่สามารถแย่งผลงานของท่านได้”
หวงฝู่อี้เซวียนอ่อนแอถึงขนาดไม่มีแรงจะพูดอะไร ทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นสัญญาณบอกว่าให้เอายาให้ตัวเขาดื่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวยกชามยาต้มขึ้นมา แล้วให้เขาดื่มยาลงไปอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็เอาชามยาวางไว้ที่พื้น แล้วประคองเขานอนลง บอกว่า “เจ้านอนไปอีกสักงีบ พอเจ้าตื่น พวกเราจะดูว่าเห็นผลหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเบาๆ หลับตาลงแล้วผล็อยหลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและหมอหลวงทั้งหลายยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ
ฟ้ามืดแล้ว ทหารที่คอยแบกคนได้จุดตะเกียงภายในสถานกักตัว แล้วจึงจะถอดเสื้อที่หนาและหนักของตนออก พากันไปกินข้าวที่ด้านนอก
จางเจ๋อหวยสั่งให้เตรียมสำรับไว้ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยวกับหมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ ไว้แล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ออกมาสักที จึงตะโกนเรียกอยู่ทางด้านนอก
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ มองหน้ากัน แล้วจึงตะโกนว่า “แม่นางเมิ่ง!”
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นจากการเผลอหลับอยู่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน ก็จ้องมองไปที่เขาตาไม่กะพริบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปบอกกับหมอหลวงทั้งหลายด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่ไม่เป็นกังวลแต่อย่างใดว่า “ทุกท่านไปกินข้าวเถิด ข้าจะเฝ้าอี้เซวียน ดูว่าเขาจะมีอาการอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงเจียงพยักหน้าบอกว่า “ก็ดี พวกเราจะไปกินข้าวก่อน เมื่อกินเสร็จจะมาเปลี่ยนกับท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วทุกคนก็เดินออกไป
ชิงหลวนและจูหลีไม่เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา ในใจร้อนรนจนทนไม่ไหว แต่ว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงคอยอยู่ทางด้านนอก แล้วมองไปที่ด้านในตลอดเวลา
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ยังคงร้อนอยู่มาก นางล้วงเข้าไปที่ในเสื้อของเขา คลำไปที่ลำตัวของเขา ก็ยังคงร้อนอยู่ ในใจนึกสงสัย กัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็ว สั่งชิงหลวนและจูหลีว่า “ไปซื้อผ้าพันคอ ผ้าห่มฝ้ายและสุรามา”
ทั้งสองคนตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวออกคำสั่งกัวเฟย “คืนนี้ให้ผลัดกันเฝ้ายาม เฝ้าด้านนอกไว้ให้ดี ถ้าหากว่ามีคนกล้าฉวยโอกาสลอบทำร้าย ห้ามอ่อนข้อให้เป็นอันขาด”
กัวเฟยตอบรับ
ชิงหลวนกับจูหลีไปซื้อของมา เมิงเชี่ยนโยวก็ให้คนไปเอาน้ำอุ่นมาอีก แล้วเอาไปเข้าไปที่ห้องอย่างละอันๆ เปิดเสื้อของหวงฝู่อี้เซวียนออก หยิบเอาสุรามาเปิด เทลงในมือ ถูมือให้ร้อน แล้วเอาไปทาที่หน้าอกของเขา หลังจากนั้นก็ออกแรงลูบขึ้นลงไปมา จนกระทั่งผิวกายแดง ตัวร้อนขึ้นถึงจะหยุด หลังจากนั้นก็จับเขานอนคว่ำ แล้วถูหลัง
ทำเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็แทบไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ปล่อยให้นางจัดการตามอำเภอใจ
ถูเสร็จ แล้วก็เช็ดตัวของเขาสะอาดแล้ว ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เอาผ้าห่มฝ้ายห่มไปที่ตัวของเขา
หลังจากนั้นก็นั่งลงที่ข้างกายเขา ในใจมีความวิตกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าครั้งที่แล้ว ที่ตนนั่งเครื่องบินแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้น จังหวะนั้นที่รู้ดีว่าตนจะต้องตายแน่ๆ ก็ไม่เคยวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย เมิ่งเชี่ยนโยวเกิดหมดหวังขึ้นมา เม้มปาก จ้องไปที่เขา แล้วกัดฟันพูดขึ้นมาว่า “หวงฝู่อี้เซวียน ถ้าหากว่าจะเจ้าจะตายง่ายๆ แบบนี้ล่ะก็ ข้ารับรองได้เลยว่าต่อจากนี้ไม่ว่าชาติใดภพใด ข้าก็จะไม่มีวันขอเจอเจ้าอีกเป็นอันขาด”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่ง
เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวแปรเปลี่ยนเป็นการขอร้อง “อี้เซวียน ข้าไม่เคยขออะไรเจ้าเลย ข้าขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว อดทนแล้วผ่านมันไปได้หรือไม่ ต่อให้จะเอาเรื่องที่เราจะแต่งงานกันมาแลก ข้าก็ยอม ข้าไม่ขอว่าจะอยู่กับเจ้าไปชั่วฟ้าดินสลายหรอก ข้าขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นก็พอ ขอแค่เจ้ามีชีวิตรอดกลับไป ต่อให้ชีวิตนี้ข้าไม่ได้เจอเจ้าอีก ข้าก็ยอม”
หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ กินข้าวเสร็จเดินกลับไปที่ห้องเล็กนั่น ได้ยินคำพูดนี้พอดี จึงหยุดเดิน และยืนหนักใจอยู่ทางด้านนอก
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา จึงเก็บสีหน้าอารมณ์ทุกอย่าง แล้วพูดว่า “ทุกท่านเข้ามาเถิด”
พวกเขาเดินเข้าไปในห้อง เห็นของที่วางอยู่ภายในห้อง ทุกคนจึงมองหน้ากัน แล้วหมอหลวงเจียงก็พูดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง เดี๋ยวพวกเราจะเฝ้าซื่อจื่อเอง ท่านไปกินข้าวเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าไม่หิว จะรอให้อี้เซวียนฟื้นแล้วมากินข้าวด้วยกัน”
เห็นสีหน้าที่แดงก่ำของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว หมอหลวงเจียงอยากจะพูดแนะนำแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ซื่อจื่อได้รับเชื้อมาแล้วหลายวัน จนมาถึงขีดสุดของชีวิตแล้ว ถ้าหากว่ายาที่กินเข้าไปไม่ได้ผล ก็อาจจะ…เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่เคียงข้างกายเขา บางทีอาจจะได้เห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
ทุกคนยืนอยู่ในห้องอย่างนิ่งสงบ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สภาพจิตใจของคนที่อยู่ในห้องตกต่ำจนถึงขีดสุด กินยาไปก็เกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ซื่อจื่อยังไม่มีวี่แววทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ก็เท่ากับว่าใบสั่งยาของเมิ่งเชี่ยนโยวอันนี้ไม่ได้ผล เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะมีผู้คนมากมายล้มตาย ผู้คนในหลินเฉิงก็จะตกอยู่ในความหวาดกลัวอีกครั้ง
ไม่มีใครพูดจา ภายในห้องสงบเงียบ เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงลมหายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาทาบไปที่จมูกของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างระมัดระวังเป็นระยะๆ ดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่
เมื่อเห็นท่าทางของนางที่ยังคงมีหวังอยู่ เหล่าหมอหลวงต่างก็น้ำตาไหลนองด้วยความสะเทือนใจ ถึงจะเข้าใจได้ว่าที่ทุกคนต่างบอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรักหวงฝู่อี้เซวียนเพราะอำนาจ เลยเอาแต่เกาะเขาไม่ปล่อยนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ นางรักซื่อจื่อจนแทบจะตายตามกันไปได้ อยู่เคียงข้างเขาโดยไม่กลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองเลยสักนิด