ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 201-1 เข้าเฝ้าฝ่าบาท
ตอนที่ 201-1 เข้าเฝ้าฝ่าบาท
การกระทำของเฮ่อจางในครั้งนี้แยบยลยิ่งนัก ถึงแม้จะรู้ว่าเฮ่อเหลี่ยนเป็นคนที่อยู่ใต้บัญชาของเขา ส่งคนไปทำร้ายเซวียนเอ๋อร์ แต่ว่าไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมได้เลย เพราะว่าเซวียนเอ๋อร์เป็นคนทำสถานกักตัวขึ้นมาเอง หลังจากที่เกิดติดเชื้อแล้ว ก็เป็นเขาเองที่ขอเข้าไปกักตัว พอเฮ่อเหลี่ยนไปที่นั่น ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนเรื่องที่ไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปด้านในสถานกักตัว ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมเลย แล้วก็พวกที่มาคอยกีดกันเมิ่งเชี่ยนโยวพวกนั้น ก็ให้องครักษ์เงาจัดการฆ่าไปหมดแล้ว ไม่เหลือดรอดไว้สักคน เพียงแค่จดหมายฉบับนี้ฉบับเดียวไม่สามารถจะโน้มน้าวฮ่องเต้ได้อย่างแน่นอน
แต่ว่าการกระทำที่มันชัดเจนขนาดนี้ของเฮ่อจางก็ยั่วโมโหเขาในขณะเดียวกัน จ้องมองไปที่จดหมายเป็นเวลานาน ท่านอ๋องฉีก็ได้ออกคำสั่ง “ทหาร!”
มีคนตอบรับแล้วเดินเข้ามา
“ไป ไปหาเรื่องไปเจ้าสารเลวเฮ่อจาง อย่าให้เขาใช้ชีวิตที่ดีแบบนี้ต่อไปได้อีกเลย”
ตอบรับ แล้วออกไป
ท่านอ๋องฉีหยิบจดหมายขึ้นมา ออกจากห้องหนังสือ แล้วมุ่งที่ห้องของพระชายาฉี
ตั้งแต่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่หลินเฉิง ใจของพระชายาฉีก็ไม่เคยวางได้เลย ขนาดชุดแต่งงานยังไม่มีอารมณ์ทำ ในทุกๆ วันก็เอาแต่รอนางเขียนจดหมายส่งมา หลายวันผ่านไป นางก็ซูบผอมลง กลายเป็นคนที่เศร้าโศกหม่นหมองอยู่ตลอดเวลา
อ๋องฉีเดินถือจดหมายมาที่ห้องของพระชายาฉี ก็เห็นนางที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง เดินไปที่ตรงหน้านาง เอาจดหมายส่งให้นาง แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นางเมิ่งส่งจดหมายมา”
พระชายาฉีแสดงสีหน้าดีใจโดยทันที มีสติกลับคืนมา รีบรับดหมาย แล้วอ่านอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็โกรธ จนกร่นด่าออกมาเป็นครั้งแรกในชีวิต “ไอสารเลวเฮ่อจาง น่าจะตายๆ ไปซะ”
เมื่อได้ยินนางพูดออกมาเช่นนั้น อ๋องฉีชะงักไป
พระชายาฉียังคงโกรธอยู่ จึงไม่ได้รู้สึกอะไร เงยหน้าขึ้น แล้วพูดกับอ๋องฉีที่กำลังนิ่งชะงักอยู่ว่า “ท่านอ๋องส่งคนไปจัดการหรือยังเพคะ”
อ๋องฉีมีสติกลับมา พยักหน้า แล้วไปนั่งที่เก้าอี้อีกมุมหนึ่ง “วางใจเถิด ก่อนที่เซวียนเอ๋อร์จะกลับมาถึงเมืองหลวง มันอยู่ไม่เป็นสุขแน่”
ดังนั้น ในวันต่อมา มหาเสนาบดีเฮ่อผู้ยิ่งใหญ่ ก็พบแต่ความอับโชคที่ชีวิตนี้ไม่เคยเจอมาก่อน เริ่มจากตอนที่ออกจากจวนไปประชุมราชสำนัก เกี้ยวที่นั่ง จู่ ๆ ส่วนหน้าก็หักลงมา ตัวเขาที่นั่งอยู่บนเกี้ยวกระเด็นตกลงมา อีกนิดเดียวหน้าก็จะคะมำลงกับพื้นอยู่แล้ว แขนกับขาก็แทบหัก หัวมึนตาลาย ในขณะที่ยังไม่รู้สึกตัวนั้น ก็มีคนเอากระสอบมาคลุมหัว แล้วโดนรุมกระทืบ หลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็หายไป ส่วนตัวเขานอนอยู่ในกระสอบนั้นอีกนิดเดียวก็จะเป็นลมตายอยู่แล้ว ร้องเรียกเสียงดัง แต่ก็ไม่มีคนตอบรับ จึงตะเกียกตะกายเอากระสอบออก พบว่าคนแบกเกี้ยวของเขาโดนสกัดจุดจนขยับไม่ได้ ยืนมองเขาอยู่กับที่ด้วยสีหน้าตกใจ เวลานั้นยังเช้าอยู่มาก บนถนนไม่คนเดิน มหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่น่าสงสารร้องเรียกแต่ก็ไม่มีคนช่วย ต้องคลานกลับบ้านไป จนกระทั่งถึงตอนพลบค่ำ ในขณะที่กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะละเมอ หรือว่าปวดแผลที่ตัว มหาเสนาบดีก็หน้ามืดตามัวตกส้วมไป ผู้ดูแลที่ได้ยินเสียงจึงเข้ามาช่วย ได้กลิ่นเหม็นเน่าจากตัวของเขา ขยะแขยงจนกินข้าวไม่ลงไปหลายวันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงตัวเฮ่อจางเองเลย
…
เมื่อเกิดอุบัติเหตุติดต่อกันหลายครั้ง คนโง่ก็ยังรับรู้ได้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ และยิ่งไปกว่านั้นนี่คือเฮ่อจาง หลังจากที่ถวายใบลาให้ฮ่องเต้แล้ว ก็ได้ให้ทหารผู้ดูแลมาคุมอยู่รอบๆ จวน แม้แมลงก็อย่าให้บินเข้ามาได้ และแน่นอนย่อมไม่มีกระจิตกระใจไปสนเรื่องหลินเฉิงเป็นธรรมดา
เฮ่อจางยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย โรคระบาดทางหลินเฉิงก็ควบคุมได้หมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ในสถานกักตัวมาสามวัน ทุกคนล้วนไม่มีอาการตัวร้อนใดๆ แล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองอยู่นั้น จางเจ๋อหวยก็สั่งให้เก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วให้หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวย้ายไปอยู่ที่ห้องอื่น
ถึงแม้ว่าจะหายแล้ว ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงอ่อนแออยู่ จะต้องดูแลรักษาให้ดีเป็นเวลาหลายวัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปฏิเสธ นำชิงหลวนและจูหลี และองครักษ์ลับกับองครักษ์เงามาพักอยู่ที่ห้องอื่นๆ
โรคระบาดได้รับการควบคุมแล้ว ฮ่องเต้ก็ได้รับรายงานเช่นเดียวกัน และก็ได้รับข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนหายจากโรคแล้วด้วย จึงดีพระทัยเป็นอย่างมาก ออกราชโองการที่มีเนื้อความว่า ‘ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีทำคุณงามความดีใหญ่หลวง บรรเทาสาธารณภัยได้ จัดการโรคระบาดได้ จะประทานทองหนึ่งพันชั่ง และสิ่งของล้ำค่าต่างๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน แล้วสั่งให้กลับมาดูแลรักษาตนให้ดีที่เมืองหลวง ส่วนเรื่องทางหลินเฉิงก็ปล่อยให้จางเจ๋อหวยจัดการ’ ส่วนเฮ่อเหลี่ยนและเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีพูดถึงในราชโองการ
หวงฝู่อี้เซวียนมีชีวิตรอดมาได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนอะไรทั้งนั้น
ส่วนเฮ่อเหลี่ยนนั้นยังโดนขังอยู่ในคุก ไม่รู้เรื่องราวภายนอกสักนิด
เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่เฝ้าหวงฝู่อี้เซวียนตลอดเป็นเวลาหลายวัน นางหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง หลังจากที่พาคนอื่นไปพัก และจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว กลับมาที่ในห้อง ถอดเสื้อคลุมออก แล้วนอนที่ข้างกายของหวงฝู่อี้เซวียน โอบไปที่เอวของเขา แล้วนอนหลับไป อาจเป็นเพราะสบายใจแล้ว จึงได้นอนไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยทีเดียว จนหวงฝู่อี้เซวียนตกใจนึกว่านางก็ติดโรคระบาดด้วยเช่นกัน ลูบหน้าผากดูอาการของนางอยู่ตลอดเวลา
ชิงหลวนกับจูหลีก็ตกใจเช่นกัน ยืนอยู่นอกห้องด้วยความกังวล หวังก็แต่ขอให้มีคนออกคำสั่งให้นางสองคนทำอะไรสักอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้น แสดงว่าเจ้านายฟื้นแล้ว
ในขณะที่ทุกคนลุ้นและกำลังตั้งตารออยู่นั้น เมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนเต็มอิ่มแล้วก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันที่สอง ลืมตาขึ้น เห็นหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนที่เต็มไปด้วยสีหน้าของความกังวลกำลังมองมาที่ตน จึงยิ้มให้กับเขา แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้านอนไปนานเท่าใดแล้ว”
ลูบหน้าผากของนาง ก็ยังคงปกติดี เมื่อเห็นนางปกติดี หวงฝู่อี้เซวียนก็โล่งใจ ตอบกลับไปว่า “หนึ่งวันหนึ่งคืน”
“ตกใจล่ะสิ” ก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเดิม
พยักหน้า แล้วจูบไปที่หน้าผากของนางหนึ่งที แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าหากเจ้ายังไม่ตื่น ข้าจะเชิญหมอหลวงเจียงมาแล้วนะ”
พูดจบ ก็ลุกขึ้น แล้วห่มผ้าให้นาง เดินออกไปข้างนอกแล้วออกคำสั่งว่า “โยวเอ๋อร์ตื่นแล้ว ไปเอาสำรับมาด้วย”
ชิงหลวนและจูหลีได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากด้านในแล้ว ดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินดังนั้น ก็รีบไปที่ห้องครัว เอากับข้าวที่อุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลาออกมาที่หน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนรับมา แล้วเอาเข้าไปวางไว้ที่โต๊ะด้านใน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนหยุดนางไว้ สีหน้าอันอบอุ่นพูดว่า “อย่าขยับ ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เป็นเพราะหลายวันมานี้เหนื่อยไปหน่อย เลยหลับนานขนาดนี้ วันหลังจะไม่เป็นอย่างนี้อีกแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แล้วเอาผ้าห่มจากอีกทางมาพับให้เรียบร้อย เอาหมอนวางไว้ด้านบน วางชิดไว้ที่หัวเตียงแล้วตบเบาๆ เป็นการบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นนั่งครึ่งตัว ให้พิงไปที่ข้างหลัง
เห็นเขาดึงดันทำแบบนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตามใจ ลุกขึ้นนั่ง เอนตัวไปด้านหลัง
เขาเดินมาที่กะละมังน้ำ เอาผ้าขนหนูมาชุบให้เปียก แล้วก็เดินกลับมา แล้วเช็ดมือเช็ดหน้าให้นางอย่างระมัดระวัง วางผ้าขนหนูลง หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะเอาสำรับบนโต๊ะย้ายมาวางไว้ตรงด้านหน้านาง ยกชามขึ้นมา หยิบช้อน เอาช้อนตักข้าวต้ม แล้วเอาไปจ่อที่ปากนาง เป็นการบอกให้นางอ้าปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไปชั่วครู่
“อ้าปาก” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
นางอ้าปากอย่างงงๆ ให้ความร่วมมือเขา หวงฝู่อี้เซวียนป้อนข้าวนางด้วยรอยยิ้ม
เป็นแบบนี้ คนหนึ่งก็เอ็นดู อีกคนหนึ่งก็งง จนกระทั่งกินข้าวต้มจนหมด
เช็ดปากให้นางเบาๆ หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความอ่อนโยนว่า “กินอิ่มหรือยัง จะเอาอีกหรือไม่”
ก็ส่ายหน้าแบบงงๆ แล้วก็พยักหน้าแบบลนๆ บอกว่า “กินอิ่มแล้ว”
นานๆ ทีจะเห็นนางมีท่าทีมึนๆ แบบนี้ หวงฝู่อี้เซวียนหลุดขำออกมา พร้อมกับสั่งให้คนเอาข้าวที่เหลือยกออกไป
อี้เซวียนถอดรองเท้า ขึ้นเตียง แล้วกอดเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ในอ้อมกอดของเขา ปล่อยไปตามบรรยากาศ ความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งสองคนมีให้กันกำลังทำงาน
ทั้งสองไม่มีใครพูดอะไร ในห้องเงียบสงัด ชิงหลวนและจูหลีที่อยู่ด้านนอกเห็นท่าแปลกๆ จึงมองตากัน แล้วก็นึกขึ้นได้ จึงรีบเดินออกไปเฝ้าอยู่ทางด้านนอกแทน
จนกระทั่งจางเจ๋อหวยและอวี้อวี่มาเยี่ยม ความเงียบสงัดจึงได้หายไป
ชิงหลวนที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นพวกเขาสองสามีภรรยาก่อน จึงส่งสัญญาณให้จูหลี แล้วจึงเดินไปที่หน้าตูอย่างรวดเร็ว รายงานเบาๆ ว่า “นายหญิง ใต้เท้าจางมาเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนถึงจะออกจากกัน ลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง จัดการตัวเองเรียบร้อย