ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 203-2 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนที่ 203-2 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 203-2 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก
ฟังจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ตกใจจนลุกขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อว่า “นางบ้านนอกนั่นถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิงแล้วงั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร”
“ตัวพ่อเองก็โดนลอบกลั่นแกล้ง หลายวันมานี้ไม่ได้ไปประชุมราชสำนักเลย แต่ว่า ได้ข่าวจากในพระราชวังว่านางได้ให้สัญญากับฮ่องเต้เอาไว้ ว่าในสามเดือนจะทำให้ชาวเมืองหลินเฉิงมีกิน จะได้ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากราชสำนักอีกต่อไป”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ตอนนี้หลินเฉิงไม่มีอะไรเลย ถ้าหากว่านางจะให้คนมีข้าวกินล่ะก็ ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น หลอกให้ฮ่องเต้ตอบรับเรื่องงานแต่งงานของนางก็เท่านั้น”
เฮ่อจางโบกมือ “พ่อให้คนไปตรวจสอบดูแล้ว นางนั่นได้ปลูกมันฝรั่งที่ปีหนึ่งเก็บเกี่ยวสองฤดู และได้เตรียมการแบบนี้มาหลายปีแล้ว เพียงแต่พวกเราไม่เคยได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย คนที่เราส่งไปตรวจสอบก็ไม่ได้รายงานเรื่องพวกนี้ให้เราฟัง”
“พูดเช่นนี้ ก็เป็นความจริงน่ะสิ หลังจากนี้สามเดือน ก็จะสามารถปลูกฝรั่งได้จริงหรือ”
“ถูกต้อง” เฮ่อจางหยักหน้า
เฮ่อเหลี่ยนลุกขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง “ถ้าเช่นนี้จะทำอย่างไรดี นั่งนั่นมีตำแหน่งเป็นองค์หญิงแล้ว หลังจากนี้พวกเราจะไม่สามารถที่จะจัดการนางได้ง่ายๆ แล้ว อีกทั้งนางยังแต่งเข้าจวนอ๋องฉีอีก เจ้ากระต่ายนั่นกลายเป็นเหมือนเสือติดปีก ถ้าหากว่าจะกำจัดนาง ให้อวี้เอ๋อร์ขึ้นเป็นซื่อจื่อก็คงยาก พวกเราก็ไม่สามารถแก้แค้นแทนน้องสาวได้อีกแล้ว”
เห็นเขาโกรธเช่นนี้ เฮ่อจางก็ยิ่งโกรธเข้าไปอีก ด่าออกมาว่า “เวลาเจอปัญหา นอกจากลนลานแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีก ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ยามเฮ่อจางต่อว่าเขาในวันปกติ เฮ่อเหลี่ยนก็ตกใจจนแทบจะทำตัวถูกๆ ผิดๆ วันนี้ได้ยินเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในใจร้อนรน จึงไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด พูดอย่างร้อนรนว่า “ท่านพ่อ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ให้ข้ารนได้อย่างไรเล่าขอรับ ถ้าหากว่าให้เจ้ากระต่ายโง่กับนังนั่นแต่งงานกัน พวกมันร่วมมือกันจัดการเรา พวกเราก็จะไม่มีวันเป็นสุขน่ะสิ”
เฮ่อจางถอนหายใจออกมานึ่งเฮือก พูดว่า “พวกเขาอยากแต่งงานกัน ยังเร็วไป”
ฟังคำพูดที่มีเล่ห์สนัยของเขาแล้ว เฮ่อเหลี่ยนจึงกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วถามว่า “ท่านพ่อ หรือว่าท่านมีแผนการจัดการพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
“ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะออกราชโองการไปแล้ว แต่ว่าวันแต่งงานถูกกำหนดไว้ที่เดือนสิบ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
เฮ่อเหลี่ยนเดินเข้าไปใกล้ แล้วถามต่อว่า “หมายความว่าอย่างไรอย่างนั้นหรือ”
เฮ่อจางมองไปที่เขา หรี่ตาลง แล้วลูบเคราของตนเอง พูดว่า “หมายความว่าฮ่องเต้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ติดตรงที่ตอนนั้นอ๋องฉีเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้โดยไม่ได้สนใจชีวิตของตนเอง บวกกับที่ข้อต่อรองที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ให้เอาไว้จึงได้ตอบรับ ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นก่อน การที่ฮ่องเต้จะถอนราชโองการคืนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เฮ่อเหลี่ยนถามด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อนกว่าเดิม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“ยังไม่ต้องรีบร้อน เวลาตั้งหลายเดือน อย่างไรก็หาเรื่องได้อยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยลงมือจัดการเจ้านั่น ให้ความฝันที่สวยงามของพวกมันสลายไป”
ฟังเฮ่อจางพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนดีใจเป็นที่สุด จนแทบจะกระโดดขึ้น รีบพูดว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะทำให้ดีอย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลี่ยนเป็นอย่างไร เฮ่อจางย่อมรู้ดี เมื่อฟังแล้วจึงส่ายหน้า “หน้าที่ของเจ้าคือพรุ่งนี้เช้าไปน้อมรับผิดกับฮ่องเต้เสีย บอกว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์ จึงทำหน้าที่ที่ฮ่องเต้มอบให้ได้ไม่สำเร็จ แล้วออกปากชมเจ้านั่นเสียหน่อย ชมให้มากยิ่งดี แบบนี้ฮ่องเต้ก็จะมองเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ อาจจะลดโทษเจ้าลง เหลือแค่เลื่อนตำแหน่งเจ้าลงไปก็เท่านั้น”
สองพ่อลูกปรึกษากันอย่างดี เฮ่อเหลี่ยนจึงสามารถนอนฝันหวานได้หนึ่งคืน
วันที่สองฟ้ายังไม่ทันสว่างก็แต่งตัวเรียบร้อย แล้วนั่งเกี้ยวของตนไปที่ตำหนักจินหลวน แล้วบอกกับขันทีที่คอยส่งข่าว แล้วยังแอบยื่นตั๋วเงินให้กับเขาด้วย ให้ขันทีไปรายงานฮ่องเต้โดยเร็ว ว่าเขามีเรื่องมารายงานฮ่องเต้
นี่เป็นหน้าที่ของตนแท้ๆ แต่กลับได้รับเงินจากงานนี้มากมาย ขันทีที่คอยส่งข่าวก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา จึงรีบเก็บธนบัตรเงินเข้าไปในแขนเสื้อของตน แล้วเขาไปกระซิบข้างหูกงกงผู้ดูแลอย่างเงียบๆ
ขันทีผู้ดูแลมองออกไปด้านนอก รอจนกระทั่งข้าราชสำนักรายงานเรื่องบ้านเมืองแล้วเสร็จ ถึงจะเข้าไปรายงานฮ่องเต้ว่า “ฮ่องเต้ เฮ่อเหลี่ยนกลับมาแล้ว รอเข้าเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูวังพะยะค่ะ”
ข้าราชสำนักได้ยินดังนั้น ก็เสวนากันไปต่างๆ นาๆ โรคระบาดที่หลินเฉิงผ่านไปก็หลายวันแล้ว เฮ่อเหลี่ยนเพิ่งจะกลับมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งใดได้จากสีหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ในตอนนี้ “เรียกตัว!”
กงกงผู้ดูแลตอบรับ แล้วตะโกนออกไปด้านนอก “เรียกตัวเฮ่อเหลี่ยนเข้าเฝ้า!”
เฮ่อเหลี่ยนได้ยิน จึงจัดผ้าจัดผ่อน รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม จึงเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลง “กระหม่อม เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ทำตามหน้าที่ที่ฮ่องเต้มอบหมายเอาไว้ได้สำเร็จ หลังจากที่กระหม่อมไปถึงหลินเฉิงแล้ว ด้วยเหตุที่…”
คำที่เฮ่อจางเตี๊ยมมายังพูดไม่ทันหมด ก็โดนฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัยเสียก่อนว่า “เฮ่อเหลี่ยน ข้าขอถามเจ้าหน่อย วันนั้นข้าส่งเจ้าไปหลินเฉิงเพื่อทำอะไร”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนพูดแทรกมาเสียก่อน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้คิดมาก่อน เป็นความผิดพลาดในเสี้ยววินาที หลังจากนั้นจึงตอบว่า “ขอรายงาน ฝ่าบาทส่งกระหม่อมไปหลินเฉิงเพื่อจัดการโรคระบาดขอรับ”
“เจ้าทำอะไรบ้าง”
“หลังจากที่กระหม่อมน้อยไปถึงที่นั่น ก็เข้าไปตรวจสอบชาวบ้านกับหมอหลวงทั้งห้าคน และเข้าใจถึงโรคระบาด แล้วสั่งให้ทุกคนคิดหาวิธีจัดการกับโรคระบาดให้เร็วที่สุด ไม่เคยย่อท้อแม้สักนิด”
“เป็นเช่นนั้น? แต่ว่ารายงานที่ข้าได้รับมิเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าใครพูดจริงหรือโกหก”
เฮ่อเหลี่ยนเริ่มใจคอไม่ดี เลยแถออกไปว่า “ฮ่องเต้ ขออย่าไปฟังคำของนายอำเภอหลินเฉิงอะไรนั่น เขาเป็นคนรู้จักของซื่อจื่อ พวกเขาร่วมมือกันมาทำร้ายกระหม่อม”
ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงโกรธว่า “เจ้ากับพวกเขามีความแค้นอะไรต่อกัน เหตุใดพวกเขาถึงต้องทำร้ายเจ้า”
“เอ่อ…” เฮ่อเหลี่ยนตอบไม่ได้
ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิมว่า “พูด!”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนตัวสั่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แล้วพูดออกไปว่า “เพราะหลังจากที่นางบ้านนอกนั่นไปหลินเฉิงแล้ว อยากจะเข้าไปเยี่ยมซื่อจื่อในสถานกักตัว กระหม่อมบอกให้คนห้ามไว้ พวกเขาจึงคับแค้นใจ จึงใช้โอกาสนี้แก้แค้นกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขา ทำให้คนในราชสำนักต่างซุบซิบกันไปทั่ว บางคนก็คิดได้ บางคนก็คิดสงสารเฮ่อเหลี่ยน ส่วนอ๋องฉีกลับทำหน้านิ่งขรึม ทำตาหรี่ลง
เฮ่อเหลี่ยนพูดจบ นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่เขากลับเรียกนางว่าเป็นนางบ้านนอกกลางราชสำนัก นี่เป็นการลบหลู่อย่างถึงที่สุด จึงรีบอยากจะพูดแก้ไข แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เอาแต่นั่งคุกเข่าสั่นเครืออยู่อย่างนั้น
แล้วยังมีข้าราชสำนักทางด้านหลังของอ๋องฉี ออกมา บอกว่า “ฮ่องเต้ ความผิดของคุณชายเฮ่อในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าเปี่ยมไปด้วยเจตนาคิดร้าย อยากให้ซื่อจื่อตาย ความผิดเช่นนี้จะลงโทษเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ!”
คนหนึ่งออกมาพูด ก็ย่อมมีคนอื่นออกมาตาม
ต่อให้เฮ่อเหลี่ยนจะโง่แค่ไหน ก็รู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ตนไม่รอดอย่างแน่นอน ก็โค้งลงเอาหัวโขกพื้น พูดว่า “ฮ่องเต้ กระหม่อมห้ามไม่สำเร็จขอรับ องค์หญิงชิงเหอคนนั้นสั่งให้ลูกน้องของนางตีหัวของกระหม่อมจนสลบไป แล้วเอากระหม่อมไปขังในคุก จนกระทั่งสามวันก่อนถึงได้ปล่อยออกมา ขอให้ฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”
“หืม” เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง
ขุนนางฝั่งมหาเสนาบดีก็ออกมา บอกว่า “ฮ่องเต้ องค์หญิงชิงเหอคนนั้นบังอาจเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีตำแหน่ง แต่กลับลงมือเช่นนี้กับคนที่ฮ่องเต้ส่งไป แล้วความผิดเช่นนี้จะลงโทษเยี่ยงไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ!”
และก็มีคนเห็นด้วย
คนในราชสำนักแบ่งออกเป็นสองพวกในชั่วพริบตา ต่างก็ถกเถียงกัน
พระพักตร์ฮ่องเต้แน่นิ่ง มองข้าราชสำนักที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
จนกระทั่งขุนนางทั้งหลายเถียงกันอย่างดุเดือด จะลงมือทำร้ายกัน ฮ่องเต้ถึงจะพูดด้วยความโกรธว่า “หุบปากให้หมด!”
ทั้งราชสำนักเงียบขึ้นมาในทันที ขุนนางที่กำลังถกเถียงกันต่างก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของฮ่องเต้ จึงกลับไปที่เดิมของตน
ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้ว “ตอนนี้ทุกคนต่างก็ข่มกันไปมาไม่หยุดหย่อน ทำไมตอนนั้นที่ข้าต้องการคนไปจัดการโรคระบาดที่หลินเฉิง จึงเป็นใบ้กันเสียหมดล่ะ”
ไม่มีใครกล้าพูดจา
ฮ่องเต้ก็ยังโกรธอยู่ ถามต่อว่า “คนมากมาย แต่กลับเทียบไม่ได้เลยกับสาวบ้านนอกคนนั้น แล้วยังมีหน้ามาทะเลาะกันต่อหน้าข้าอีก ราชสำนักเลี้ยงพวกเจ้าเอาไว้เพื่ออะไรกัน”
ฮ่องเต้พูดจารุนแรงแบบนี้เป็นครั้งแรก เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าก้มตา ขนาดหายใจยังไม่กล้าหายใจแรง ไม่มีตัวตนเสียจะดีกว่า
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เหงื่อท่วมไปทั้งตัวจนเสื้อเปียกไปหมด
ฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรต่อ ขุนนางทั้งหลายก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ราชสำนักเงียบสงัด ขุนนางทั้งหลายต่างเงียบเสียจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ
ในขณะที่เหล่าขุนนางต่างรู้สึกใจเต้นจนแทบจะหลุดออกมา ฮ่องเต้จึงตรัสว่า “ออกราชโองการ เฮ่อเหลี่ยนทำงานไม่สำเร็จ ถอดถอนตำแหน่งออก แล้วจะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางใดอีก!”