ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 207-2 ลงมือ
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 207-2 ลงมือ
สาวใช้ผู้หนึ่งอดทนกับความโหดร้ายเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว นางก้าวขึ้นมาด้านหน้า พูดเสียงดังว่า “นายน้อยเจ้าคะ ชิวจวี๋เจ้าค่ะ ชิวจวี๋เป็นผู้ทำร้ายฮูหยินเองเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงของนาง ทั้งจวนก็เงียบลงทันที จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น “ชิวหลัน เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ ข้าจะไปทำร้ายฮูหยินได้เยี่ยงไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปตามเสียง เป็นสาวใช้ที่สวมชุดสีชมพูดจริงๆ ด้วย
เมื่อชิวจวี๋พูดจบ ก็เดินออกมากด้านหน้าเสมอกับชิวหลัน พูดว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าคะ บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้ระดับล่างเท่านั้น ปกติแล้วบ่าวไม่มีทางได้ใกล้ชิดกับฮูหยินเลย แล้วบ่าวจะไปวางยาฮูหยินได้อย่างไรกัน”
พูดจบ ก็หันไปชี้หน้าชิวหลัน พูดว่า “บ่าวและนังคนนี้มีความแค้นต่อกัน นางคงหวังจะยืมมือแม่นางมากำจัดข้า”
ชิวหลันโบกไม้โบกมืออย่างตื่นตระหนก พูดอย่างร้อนใจว่า “ไม่นะ ไม่ใช่นะเจ้าคะ บ่าวและนางไม่ได้มีเรื่องแค้นใจต่อกัน บ่าวเห็นจริงๆ ว่าวันนี้นางเข้าไปในห้องนอนของฮูหยิน”
ชิวจวี๋ร้อนใจ แทบอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปฉีกร่างนางทิ้งเป็นชิ้นๆ “อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ข้าจะเข้าไปในห้องของฮูหยินได้อย่างไรกัน”
ทั้งสองผลัดกันพูดคนละประโยค คนในจวนต่างสับสนไปหมด
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมองพวกนางอย่างใจเย็น ถามว่า “ชิวหลัน เจ้าเห็นชิวจวี๋เข้าไปในห้องฮูหยินเมื่อไร”
ชิวหลันตอบกว่า “วันนี้ช่วงบ่ายฮูหยินและนายน้อยเดินเล่นอยู่ในจวน มีพวกพี่ชุนเซียงติดตามไปด้วย บ่าวคิดว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ทำความสะอาดเรือน จึงได้ไปตักน้ำมากะละมังหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปด้านใน ก็เห็นว่าชิวจวี๋เดินออกมาอย่างร้อนรน ตอนนั้นบ่าวเองก็กังวล ในห้องไม่มีใครอยู่ นางจะเข้าไปทำอะไร แต่ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่าฮูหยินปวดท้องหนัก บ่าวก็สงสัยนางทันที แต่บ่าวไม่กล้าพูดพล่อยๆ”
“อย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงกล้าพูดออกมาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแข็ง
“หากไม่พูด บ่าวเกรงว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก หวังว่าแม่นางเมิ่งจะตรวจสอบให้แน่ชัดด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร แม้ว่าร่างกายของชิวหลันจะสั่นเล็กน้อย แต่ว่าสายตาของนางแน่วแน่ ไม่ใช่ท่าทางของคนโกหก
แต่กลับเป็นชิวจวี๋เองที่มีสีหน้ากระวนกระวายใจ และก็รีบแก้ตัวทันทีว่า “นางพูดเท็จเจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้เข้าไปในห้องของฮูหยินเลยแม้แต่ก้าวเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหานาง ถามอย่างไม่ร้อนรนเช่นเคยว่า “เจ้าจะยืนยันได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เคยเข้าไป”
ชิวจวี๋หลบตา อ้ำอึ้งไม่เป็นคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่ทุกคน ถามว่า “ยังมีใครมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
ไม่มีใครพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ในหูของบ่าวรับใช้แล้วเสียงนั้นราวกับคำสั่งตาย “ถ้าอย่างนั้นแล้ว หนึ่งในพวกนางสองคนนี้ จะมีคนหนึ่งรอดชีวิต และพวกเจ้าก็จะถูกฝังเป็นเพื่อนพวกนางด้วย”
พูดจบ ก็สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “กัวเฟย เอาพวกนางไป…”
ยังไม่ทันขาดคำ ก็มีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหน้า ก้มลงคำนับ พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่นางเมิ่ง เมื่อคืนบ่าวตื่นมากลางดึก เห็นชิวจวี๋อยู่กับสาวใช้ของฮูหยินใหญ่ พูดซุบซิบอะไรกันก็มิทราบ”
ร่างของนายท่านเหวินสั่นเล็กน้อย สายตาของเหวินซื่อมีความแค้นออกมา ก้าวขาเดินออกไปด้านนอก
“หยุดเดี๋ยวนี้” นายท่านเหวินห้ามเขา
“ท่านปู่!” เหวินซื่อหันหลัง พูดอย่างโมโหปนเบื่อหน่าย
“ไม่ต้องร้อนใจไป ฟังแม่นางเมิ่งสอบสวนให้แน่ชัดก่อน ปู่ยังอยู่ตรงนี้” น้ำเสียงของนายท่านเหวินหนักแน่น แต่ที่มากกว่านั้นคือความแน่วแน่ “ข้าพูดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่กล้าจะทำลายตระกูลเหวินแล้วล่ะก็ ข้าไม่เก็บมันไว้แน่”
เหวินซื่อทำหน้าเครียด เดินกลับเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังของนายท่านเหวิน
ถูกคนสองคนชี้ตัว ชิวจวี๋ตระหนกกว่าเดิม มองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีแรงจะแก้ตัว “แม่นางเมิ่ง ปกติแล้วข้ามักมีปัญหากับพวกนาง พวกนางสองคนให้ร้ายข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะพูดอ้อมค้อมกับนางอีก ถามไปตรงๆ ว่า “เจ้าจะสารภาพมาเอง หรือจะให้ข้าลงโทษทันที”
ชิวจวี๋ตกใจจนพูดไม่เป็นคำ “กัวเฟย!” เมิ่งเชี่ยนโยวตะโกนเสียงดัง
ชิวจวี๋ตกใจแทบจะกระโดดตัวโยน
กัวเฟยเดินเข้ามา
“มอบให้เป็นหน้าที่เจ้า ภายในหนึ่งก้านธูปนี้ ข้าต้องได้คำตอบ”
กัวเฟยตอบรับ เดินเข้าไปหาชิวจวี๋ จับนางขึ้นมาราวจับไก่ตัวหนึ่ง สาวเท้าก้าวยาวเดินไปด้านนอก
ชิวจวี๋ตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูด”
กัวเฟยหยุดฝีเท้าลง โยนร่างนางลงที่พื้น
ชิวจวี๋หล่นลงพื้นอย่างเจ็บปวด แต่ไม่กล้าปริปากร้องออกมา คลานมาด้านหน้าอย่างกระวนกระวาย ก้มหัวคำนับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูดแล้ว แม่นางเมิ่งได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย”
“พูดมาสิ หากเจ้าสารภาพมาตามตรง บอกความจริงทุกอย่างออกมา บางทีข้าอาจไว้ชีวิตเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวให้คำสัญญา
ชิวจวี๋กำลังจะเปิดปากพูด นายท่านเหวินก็ชิงพูดว่า “คนอื่นออกไปได้แล้ว กลับไปรับใช้ตามเรือนที่ได้รับมอบหมาย”
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอายของตระกูล หากรู้แล้วอาจถูกจัดการให้ปิดปากได้ บ่าวรับใช้ล้วนรู้สัจจธรรมข้อนี้ดี คนที่แข้งขาอ่อนก็กลับมาเป็นปกติแล้ว เดินตัวปลิวออกไปด้านนอกทันที แต่เมื่อเดินออกไปด้านนอกเห็นพวกชุนเซียงยืนอยู่อย่างปกติ ต่างพากันตกใจจนร้อง “อ้าว…”
คนด้านหลังได้ยินคนด้านหน้าร้อง ก็พากันหันมาดู จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงร้องโวยวายของเหล่าผู้คนดังขึ้น
เหวินซื่อพูดออกมาจากด้านในว่า “หากมีใครกล้าส่งเสียงดังอีก ฆ่าได้เลย”
จากนั้นเสียงก็เงียบลง บ่าวรับใช้ก้มหน้าก้มตา เดินอ้อมตัวชุนเซียงไป
พวกชุนเซียงทั้งสามคนเดินตามพวกนั้นไป
ทั้งเรือนเงียบลงทันที
นายท่านเหวินพูดขึ้นว่า “พูดมาสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เมื่อได้คำมั่นสัญญาแล้ว ชิวจวี๋ไม่ลังเลอีกต่อไป พูดว่า “ข้าและตงหลัน บ่าวรับใช้ของฮูหยินใหญ่สนิทกันมาก วันก่อนนางมาหาข้า ขอให้ข้าช่วยเอายาหอมไปใส่ไว้ในห้องนอนของฮูหยิน ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ระดับล่าง ไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปในห้องของฮูหยิน ข้าจึงไม่ได้ตอบตกลง นางจึงได้จ้างวานข้าด้วยเงินหนึ่งร้อยตำลึง บอกว่าจะให้ข้าก่อนห้าสิบตำลึง เสร็จเรื่องแล้วจะให้อีกครึ่งทีเหลือแก่ข้า ตอนนั้นข้าเกิดโลภขึ้นมา จึงตอบตกลง และได้หาโอกาสเมื่อตอนนายน้อยและฮูหยินออกไปด้านนอก นำยาหอมเข้าไปวางไว้ในห้อง แล้วบ่ายวันนี้ก็สบโอกาส เอายาหอมไปไว้ในห้องเจ้าค่ะ”
“ยาเล่า เจ้าเอาไปไว้ที่ใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“ที่แรกตงหลันบอกกับข้าว่าคืนนี้ให้หาโอกาสเอาไปคืนนนาง แต่ว่าข้าถูกเรียกตัวมาก่อน จึงไม่มีโอกาส ข้าจึงได้เอาไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มของข้าเสียก่อน”
“พานางไปเอามา”
จูหลีเดินมาด้านหน้า จับตัวชิวจวี๋ออกไป ไม่นานก็พานางกลับมา มอบยาหอมให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาดมเล็กน้อย ส่งให้นายท่านเหวินต่อ
นายท่านเหวินทำงานอยู่กับหยูกยามาทั้งชีวิต เมื่อรับยามาไว้ในมือ ก็สามารถดมออกได้ว่าทำมาจากอะไรบ้าง ปิดตาลงอย่างเจ็บปวด และลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาแน่วแน่ “แม่นางเมิ่ง วันนี้คงจะต้องรบกวนแม่นางช่วยข้าจัดการแล้วล่ะ”
พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินอย่างมั่นคงออกไปด้านนอก
เหวินซื่อเดินตามหลังไป
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวตามไปหลังสุด
ออกไปจากเรือน กัวเฟยและองครักษ์ลับยี่สิบนายยืนอยู่ด้านนอก
นายท่านเหวินกวาดสายตามองพวกเขา พูดว่า “ขอให้ทุกท่านตามข้ามาด้วย”
กัวเฟยมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
กัวเฟยเดินตามหลังคนพวกนั้นไป
เดินมาถึงเรือนฝูหรง ประตูใหญ่ปิดลงแล้ว ด้านในก็ไม่มีเสียงออกมา ราวกับว่าไม่ว่าด้านนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
นายท่านเหวินให้สัญญาณ กัวเฟยเดินมาด้านหน้า ถีบประตูเปิดออก เสียงประตู ปัง! กระเด็นไปติดกำแพงมทั้งสองฝั่ง และกระเด็นกลับมา
สาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ตกใจจนร้องออกมา เมื่อเห็นชัดว่าเป็นคนของนายท่านเหวินแล้ว ก็รีบหุบปากของตนลง รีบทำความเคารพทันที “นายท่าน”
คนในเรือนได้ยินเสียงโวยวาย ชายอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่งเดินออกมา เมื่อเห็นนายท่านเหวินอยู่ตรงหน้าก็ผงะไปเล็กน้อย ถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพ่อ ดึกป่านนี้แล้ว ท่านมาที่นี่ทำไมกัน”
นายท่านเหวินไม่ตอบคำถามของเขา แต่ถามกลับว่า “ซื่อเอ๋อร์ บ้านนี้มีคนอยู่กี่คน”
“คนใช้สิบห้าคน สาวใช้ระดับหนึ่งสี่คน ระดับสองสี่คน ระดับสามหกคน และยังมีสาวใช้และแม่บ้านที่ดูแลทำความสะอาดอีกรวมสิบคน ทั้งหมดรวมสามสิบเก้าคนขอรับ” เหวินซื่อตอบ
“แม่นางเมิ่ง รบกวนคนของเจ้าด้วย” นายท่านเหวินออกปากพูด น้ำเสียงไม่มีความสั่นเครือ
จะรบกวนเรื่องอะไรนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจดี กัวเฟยเองก็เช่นกัน
เมื่อเห็นนายท่านเหวินยืนนิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนับหนึ่งถึงสามในใจ พยักหน้าให้กัวแฟย
กัวเฟยโบกมือ องครักษ์ลับยี่สิบนายลุกฮือขึ้น เดินไปคนละทิศคนละทาง แต่กัวเฟยกลับเดินตรงไปยังสองสาวที่ยืนดูแลประตูอยู่
สาวใช้ทั้งสองยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลำคอกลับมีรอยเลือดผุดขึ้น ร่างกายก็อ่อนแรงลง และหมดลมหายใจในที่สุด
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา สาวใช้ทั้งสองก็ถูกฆ่าตายแล้ว ชายวัยกลางคนตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านพ่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
นายท่านเหวินเปิดปากพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “เฟิงเอ๋อร์ เรียกเมียรักของเจ้าออกมา พ่อมีเรื่องจะถามนาง”