ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 215-1 ตึงเครียด
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 215-1 ตึงเครียด
หลังจากที่องค์ชายหกถูกลอบทำร้าย เขาก็ต้องนอนพักฟื้นบนเตียงเป็นเวลาสามวันเต็มจึงจะกล้าลุกลงจากเตียง แต่ว่าหลังจากนั้น ดูภายนอกเขาเหมือนอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น นอบน้อมเคารพผู้อื่นมากขึ้น เมื่อมีเวลาว่างก็จะไปคุยเล่นกับไทเฮาที่ตำหนัก
คนเราเมื่อแก่แล้ว สิ่งที่ต้องการก็มีเพียงแค่มีคนคอยอยู่ข้างกาย คอยพูดคุยเป็นเพื่อน ไทเฮาเองก็ไม่ต่างกัน แต่น่าเสียดายที่ลูกชายของนางเป็นถึงฮ่องเต้ มีราชกิจต้องจัดการทุกวัน หากหวังจะให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนตนนั้น ยากเสียยิ่งกว่าฝัน โชคดีที่มีหลานชายมาคอยดูแลเอาใจนาง ไทเฮาโปรดเขามาก นอกเสียจากจะชมองค์ชายหกไม่หยุดปากแล้ว ยังประทานของกำนัลให้เขามากมาย ส่วนการเป็นหลานคนโปรดพร้อมทั้งของกำนัลมากมายก็ไม่ได้ทำให้องค์ชายหกนั้นกลายเป็นคนที่ไม่เห็นหัวใคร กลับกัน เขายิ่งนอบน้อมมากขึ้น ทำให้ไทเฮาโปรดหลานคนนี้ยิ่งขึ้น
จากเรื่องนี้เฮ่อกุ้ยเฟยรู้ดีว่าตนนั้นยังไม่ได้อยู่ในจุดที่ควรตอบโต้อะไรกับฮองเฮาและไท่จื่อ จึงได้เก็บความร้ายเอาไว้ และทำตัวดีกับผู้อื่นมากขึ้นกว่าเดิม
รู้จักกันมาหลายปีเพียงนี้ ฮองเฮารู้ดีว่านางเป็นคนเช่นไร เมื่อเห็นสองแม่ลูกมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่นนี้จึงได้ระแวงมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็ได้เตือนไท่จื่อว่า “เจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้นหน่อย สองแม่ลูกคู่นี้เดาใจไม่ง่าย อย่าไปเสียท่าให้พวกเขา”
ไท่จื่อตอบรับด้วยท่าทีเคารพ แต่ในใจกลับคิดเยาะเย้ยว่า พวกนางก็มีปัญญาแค่เพียงออดอ้อนไทเฮาไปวันๆ เท่านั้น หากพวกนางกล้าลงมือกับข้า ข้าเองก็จะตอบโต้กลับอย่างไม่ใยดีเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นจะเอาให้พวกนางไม่มีวันกลับมาแก้แค้นได้อีกเลย
ตอนที่นางกำนัลไปรายงานว่าเฮ่อจางต้องการจะเข้าวังมาพบนางนั้น เฮ่อกุ้ยเฟยกำลังนอนอาบแดดอยู่ในวังอย่างสุขสบาย เมื่อได้ยินดังนั้น จึงได้รีบตอบว่า “รีบไปเชิญท่านมหาเสนาบดีเข้ามา”
นางสนมในวังรวมไปถึงฮองเฮาเองต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับญาติมิตรได้โดยง่าย แต่ว่าหลายปีมานี้เฮ่อกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงได้ให้อภิสิทธิ์กับนาง ดังนั้นเฮ่อจางจึงสามารถมาขอเข้าพบในเวลานี้ได้
เฮ่อจางเดินตามนางกำนัลเข้ามาในห้อง กำลังรวบชายเสื้อเตรียมคำนับนาง เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้ห้ามเอาไว้ และยังสั่งคนให้ไปหาเก้าอี้มาให้นั่ง ถามว่า “ท่านพ่อ วันนี้ท่านเข้าวังมา มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
เฮ่อจางชายตามองนางกำนัลรับใช้เล็กน้อย
เฮ่อกุ้ยเฟยเข้าใจความหมาย จึงได้สั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ไปไกลๆ หน่อย หากไม่มีคำสั่งจากข้าก็ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้เด็ดขาด”
นางกำนัลตอบรับ เดินออกไปด้านอก
“ท่านพ่อ บอกมาเถิดเจ้าค่ะว่ามีเรื่องอะไร”
เฮ่อจางลดเสียงลงอย่างระวัง “ลูกพ่อ พ่อได้รู้ความลับของนังเมิ่งเชี่ยนโยว เราสามารถใช้ความลับนี้จัดการกับนังหญิงชั้นต่ำและเจ้างั่งนั่นได้อย่างง่ายดาย จะได้แก้แค้นให้น้องสาวของเจ้าด้วย”
ครานั้นที่เฮ่อกุ้ยเฟยต้องการจัดการพระชายาฉี นอกจากจะเพื่อเป็นการแก้แค้นให้เฮ่อเหลียนอีแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือหวงฝู่อี้เซวียนได้ครองตำแหน่งซื่อจื่ออย่างมั่นคง หวงฝู่อวี้จึงไม่มีโอกาส และองค์ชายหกก็จะขาดผู้สนับสนุนที่จะช่วยให้เขาชิงตำแหน่งไท่จื่อไป และนี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่นางโกรธแค้น เมื่อได้ยินคำของเฮ่อจาง สีหน้าของเฮ่อกุ้ยเฟยก็มีความยินดีปรากฎขึ้น พูดเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”
ในวังนี้ไม่มีความลับ นางถามเสียงดังเช่นนี้แน่นอนว่าต้องมีคนได้ยิน และจะทำให้เกิดการสงสัยได้ เฮ่อจางชี้ไปด้านนอก บอกให้นางเบาเสียงลง
เฮ่อกุ้ยเฟยได้ฟังเรื่องน่ายินดีเช่นนี้จึงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลังจากร้องถามเสียงดังแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควร นางลุกขึ้น เดินไปยังหน้าประตู มองไปด้านนอกเล็กน้อย เห็นเหล่านางกำนัลยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างนอบน้อม จึงได้วางใจลง กลับมานั่งที่เดิม และถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือ”
เฮ่อจางพยักหน้า “พ่อได้ส่งคนไปสืบแล้ว มั่นใจเป็นอย่างมาก ไม่ผิดแน่”
“ท่านพ่อรีบบอกข้าเร็ว ว่าความลับนั้นคืออะไร” เฮ่อกุ้ยเฟยถามด้วยเสียงเบาแต่รีบร้อน
เสียงของเฮ่อจางเบาลงยิ่งกว่า เบาเสียจนมีเพียงคนสองคนได้ยินเท่านั้น “นังหญิงชั้นต่ำนั่นไม่ใช่เมิ่งเชี่ยนโยวตัวจริง แต่เป็นปิศาจกลับชาติมาต่างหาก”
เฮ่อกุ้ยเฟยตกใจจนแทบจะร้องออกมา ตกใจจนต้องเอามือมาอุดปากเอาไว้ เบิกตาโพลง ใช้สายตาถามย้ำอีกครั้ง
เฮ่อจางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
เฮ่อกุ้ยเฟยลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถามอย่างร้อนรนว่า “แล้วจะรออะไรอีกเล่า พวกเรารีบไปรายงานให้ฮ่องเต้เร็ว ให้ฮ่องเต้รีบจัดการนางเสียที”
เฮ่อจางโบกมือ “อย่ารีบร้อนไปเลย เรื่องนี้พวกเราต้องวางแผนให้ดี”
“เรื่องนี้ยังมีอะไรต้องคิดอีก ฮ่องเต้รังเกียจเรื่องพรรค์นี้เป็นที่สุด หากทรงทราบว่านังเด็กนั่นเป็นปิศาจแปลงกายมา จะต้องบัญชาให้นางตายเป็นแน่”
“นางเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาทประทานตำแหน่งให้ หากเราป่าวประกาศออกไปว่านางเป็นปิศาจ ก็เท่ากับว่าตบหน้าตัวเอง จะเป็นที่ดูแคลนของคนภายนอก หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ อีกอย่างเรื่องนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับพระชายาฉี ฝ่าบาทจะต้องคิดทบทวนอย่างหนักแน่นอน ไม่มีทางจะเชื่อพวกเราโดยง่ายหรอก” เฮ่อจางกล่าว
เฮ่อกุ้ยเฟยใจร้อน “เช่นนั้นจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ พวกเราอุตส่าห์หาโอกาสจัดการกับนางได้ แล้วจะปล่อยไปเช่นนี้หรือ”
เฮ่อจางเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ปล่อยนางไปงั้นหรือ พ่อไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน ข้าอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีมานานหลายปี ที่อยู่ราชวงศ์เบื้องบน ราษฎรที่อยู่เบื้องล่าง มีใครหน้าไหนไม่เคารพข้าบ้าง ต่อให้เป็นอ๋องฉีก็ยังต้องยอมถอยให้ข้า แต่นับตั้งแต่นางมาถึงเมืองหลวง ไม่เพียงแต่หักหน้าข้าต่อหน้าผู้คนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วยังทำให้พี่ชายของเจ้ามีจุดจบเช่นนี้ ข้าอดไม่ไหวที่จะเอามีดมาสับร่างนางเป็นชิ้นๆ นั่นก็ยังไม่สามารถปลดความแค้นในใจข้าได้ แล้วข้าจะปล่อยนางไปได้อย่างไรกัน”
“อย่างนั้นความหมายของท่านพ่อคือ…” เฮ่อกุ้ยเฟยถามอย่างรีบร้อน
เฮ่อจางเล่าแผนในใจให้นางฟัง “เราแบ่งเป็นสามฝ่าย ให้องค์ชายหกไปหาไทเฮาและทำเป็นหลุดปากพูดเรื่องนี้ออกไป ไทเฮามีพระชนมพรรษาสูงมากแล้ว เชื่อเรื่องภูติผีปิศาจเป็นแน่ จะต้องรอไม่ได้อย่างแน่นอน ต้องรีบไปบอกฝ่าบาท ส่วนเจ้าก็คอยเป่าหูฝ่าบาทเข้าไว้ ส่วนพ่อก็จะไปหาพระเซวี่ยนชิงที่วัดชิงอวิ๋นนอกเมืองนั่น พระเซวี่ยนชิงเป็นไต้ซือที่รู้ซึ้งในพระธรรม ภูติผีปิศาจที่ไหนก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาท่านไปได้ อย่างนี้เราก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะรอดไปได้หรอก”
เฮ่อกุ้ยเฟยพยักหน้า
เฮ่อจางมองไปด้านนอกเล็กน้อย สั่งว่า “เรื่องวันนี้สำคัญมาก นอกจากเจ้า ข้า และองค์ชายหกรู้แล้ว คนอื่นก็ห้ามปริปากพูดแม้แต่คำเดียว พวกเราจะต้องจัดการอย่างรัดกุม ให้พวกเขาตั้งตัวไม่ทัน อย่างนี้จึงจะไม่มีโอกาสช่วยนาง”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อวางใจเถิด รอให้ทางนี้มีข่าวแล้วข้าจะรีบส่งคนไปแจ้งท่านพ่อทันที”
กุ้ยเฟยให้คำมั่น
เฮ่อจางออกจางวังไป จากนั้นก็สั่งคนรถให้เดินรถไปที่วัดชิงอวิ๋น
เขาเพิ่งจะออกมาไม่นาน เฮ่อกุ้ยเฟยรีบส่งคนไปเรียกตัวองค์ชายหกทันที และยังคงให้ทุกคนออกไปด้านนอกเช่นเคย สองแม่ลูกปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันในห้อง ตอนที่องค์ชายหกเดินออกมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ด้วย
ไม่นานการกระทำของพวกเขาก็ได้ยินเข้าถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น เขาขมวดคิ้วลง ถามนางกำนัลในตำหนักเฮ่อกุ้ยเฟยที่มารายงานว่า “พวกเขาพูดอะไรกัน”
นางกำนัลตอบอย่างนอบน้อมว่า “ตอนนั้นทุกคนถูกกันออกมาหมด ข้าน้อยกลัวว่าจะถูกจับได้ จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้เลยไม่ได้ยินเจ้าค่ะ”
“สังเกตต่อไป หากมีความคืบหน้า ให้รีบมาแจ้งข้าทันที”
นางกำนัลตอบรับ
หวงฝู่ซวิ่นสั่งขันทีในตำหนักของตนว่า “เอาเงินให้นางร้อยตำลึง”
ขันทีตอบรับ ส่งเงินให้นาง
นางกำนัลรับไป ถือเงินไว้ในมือและเดินจากไปด้วยความดีใจ
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วลง ยืนขึ้นและสั่งว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องติดตาม”
พูดจบ ก็เดินสาวเท้ายาวออกไป
เมื่อรู้ว่ามีองครักษ์เงาคอยคุ้มกันอยู่ขันทีจึงไม่ได้ห้ามปรามเขา
เมื่อออกจากวัง ก็ขึ้นนั่งบนรถม้า และสั่งคนรถให้มุ่งหน้าไปยังหนานเฉิง เขารู้ข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว นึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอยู่ที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยว คิดไม่ถึงว่าจะมีเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวผู้เดียวเท่านั้นที่ออกมารับหน้า
เขาวางหัวโขนของการเป็นไท่จื่อลง เก็บสีหน้าเคร่งขรึมลง และปั้นหน้าทะเล้นออกมา “น้องสะใภ้ น้องเซวียนเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามจริง “กลับไปทำความเคารพพระชายาที่จวนแล้วเพคะ ไม่แน่ใจว่าวันนี้จะกลับมาหรือไม่”
หวงฝู่ซวิ่นพูดกับอากาศว่า “ไปเรียกซื่อจื่อมาจากจวนอ๋อง บอกว่าไท่จื่รอเขาอยู่ที่นี่”
เมื่อได้ยินความผิดปกติจากน้ำเสียงของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถามว่า “ไท่จื่อมาหาอี้เซวียนมีธุระอะไรหรือเพคะ”
หวงฝู่ซวิ่นเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา โบกไม้โบกมือ “น้องสะใภ้เอ๋ย เจ้าจะดองกับอี้เซวียนอยู่แล้ว ยังเรียกข้าว่าไท่จื่ออีกหรือ ดูห่างไกลกันไปหรือไม่ เรียกเหมือนกับอี้เซวียนเถิด เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้”
นางมองเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมส่ายหน้า “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ ท่านเป็นถึงไท่จื่อ เป็นฮ่องเต้ของรัฐอู่ในภายหน้า จะบังอาจเรียกท่านอย่างนั้นได้อย่างไรเพคะ”
หวงฝู่ซวิ่นหรี่ตาลง ถามลองใจว่า “ข้าทำไม่ดีตรงไหนหรือไม่ มีเรื่องทำให้น้องสะใภ้โกรธหรือไม่ หากว่ามี ขอให้บอกพี่ใหญ่มาเถิด พี่ใหญ่พร้อมจะแก้ไข”
นางยังคงหัวเราะและพูดเช่นเดิม “ไท่จื่ออย่าล้อเล่นไปเพคะ ท่านจะมีความผิดได้อย่างไร หม่อมฉันเพียงแต่ใจเสาะ ไม่กล้าเรียกท่านตามอย่างอี้เซวียนเพคะ”
นางยิ่งพูดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งเข้าใจว่าเพราะเขาทำให้นางไม่พอใจ แต่ต่อให้เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนทำอะไรผิดต่อนาง
ไม่นานองครักษ์เงาก็กลับมารายงาน “ซื่อจื่อออกมาจากจวนนานแล้วขอรับ ไม่ทราบว่าไปที่ใดขอรับ”
หวงฝู่ซวิ่นขมวดคิ้ว แต่สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีใส่ใจเลย
“น้องสะใภ้ เจ้าไม่เป็นห่วงเขาอย่างนั้นหรือ” หวงฝู่อี้ซวิ่นถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เขามักจะหาเรื่องทำอยู่เรื่อยน่ะเพคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่อยู่ ตามหลักแล้วหวงฝู่ซวิ่นไม่ควรอยู่ในบ้านกับเมิ่งเชี่ยนโยวตามลำพัง แต่เขากลับนั่งอยู่ที่เดิมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
แม้ว่าจะไม่เคยได้ใกล้ชิดเขา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดีว่านี่ต้องไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาจะต้องมีเรื่องสำคัญจะมาบอกหวงฝู่อี้เซวียนเป็นแน่ จึงยิ้มและพูดว่า “ไท่จื่อ หม่อมฉันขอตัวไปทำอาหารก่อนนะเพคะ”
สายตาของหวงฝู่ซวิ่นเปล่งประกาย เผยสีหน้าตะกละตะกลามออกมา “ไปเถิด ไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม เดินออกไปด้านนอก ขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องรับแขก ก็ได้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินปั้นหน้ายิ้มมาแต่ไกล จึงได้ยิ้มและกล่าวว่า “ไท่จื่อมารอนานแล้ว คงจะมีธุระมาหาเจ้า พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะไปทำอาหาร”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นเหมือนปกติ หยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับไปพูดว่า “ข้าไปกับเจ้าดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสายตาสงสัย
เมื่อนึกได้ว่าพฤติกรรมของตนเองผิดปกติไป หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ลูบจมูกของตนเองด้วยความเขินอาย และอธิบายว่า “เพิ่งกลับมาจากหลินเฉิง เจ้าเองก็น่าจะเหนื่อย พี่ใหญ่ยังมาวุ่นวาย ข้าอยากจะช่วยเจ้าทำอาหารให้เสร็จ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไล่เขาไป เจ้าจะได้พักเสียหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก เจ้าไปหาเขาเถิด ให้บ่าวช่วยข้าจุดไฟก็พอ” พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเข้าครัวไป
มองแผ่นหลังของนาง คำพูดของพระสงฆ์เสียสติผู้นั้นก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวเขา ‘ในเร็ววันนี้ ชะตาชีวิตนางกำหนดไว้ว่าจะต้องเกิดหายนะติดต่อกัน หากคลาดแคล้วไปได้ พวกเจ้าจะได้อยู่ด้วยกันตราบจนได้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีความสุขตลอดไป แต่หากผ่านพ้นไปไม่ได้ ก็ต้องรออีกพันปี’
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก สลัดความคิดในหัวออก สาวเท้ายาวเข้าไปในเรือน