ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 220 คลุ้มคลั่ง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 220 คลุ้มคลั่ง
ดวงตาของเฮ่อจางมีเพียงความมืด เป็นลมล้มไปบนแท่นทำพิธี
หวงฝู่อี้เซวียนถอดเสื้อคลุมของตน และนำไปคลุมให้เมิ่งเชี่ยนโยว โน้มตัวลงไปอุ้มนางเอาไว้ ไม่แม้แต่จะเสียเวลาชายตามองไปที่เฮ่อจาง ก้าวเดินลงจากแท่นทำพิธีอย่างมั่นคง
พระชายายืนเงยหน้ามองพวกเขาลงมาจากบันไดขั้นสุดท้าย แล้วจึงรีบเดินไปด้านหน้า เห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีสีหน้าซีดเผือด ก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก มองหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “เร็วเข้า รีบพาโยวเอ๋อร์กลับบ้าน”
สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนกวาดไปยังฮ่องเต้ ไทเฮา อ๋องฉี เหล่าขุนนาง เม้มปาก อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปยังรถม้าทันที
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูไม่ดียิ่งกว่าเดิม
ไทเฮาเปิดพระโอษฐ์เล็กน้อย ราวกับต้องการตรัสอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วนั้น คำพูดจึงถูกกลืนลงไป
ไทเฮาประทับอยู่เงียบๆ อีกด้าน ไม่ได้ตรัสอะไร
ชิงหลวนรีบเปิดม่านรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนส่งเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง จากนั้นตนก็ตามขึ้นไปด้วย สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปได้!”
กัวเฟยยกแซ่หวดม้า ม้ายกสองเท้าขึ้น และลงแตะพื้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าออกจากฝูงชนไป
องครักษ์ลับจำนวนสามพันนายที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชนค่อยๆ ออกมา เดินตามมาด้านหลังรถม้า คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาจนกลับไปถึงหนานเฉิง
เหวินซื่อทำสัญลักษณ์มือบางอย่าง พรรคพวกของร้านยาเต๋อเหรินก็ทยอยออกมาจากฝูงชนเช่นกัน เดินไปยังร้านยาเต๋อเหรินตามสถานะของตน เหวินซื่อชายตามองรถม้าที่แล่นไกลออกไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับเดินทางไปยังร้านยาเต๋อเหริน
เปาอี้ฝานที่พรางตัวซ่อนอยู่ในฝูงชนที่ใกล้แท่นทำพิธีที่สุด ก็ได้เดินออกจากฝูงชนไป
ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ชาวบ้านก็ทยอยกันกลับบ้าน
พระชายาเดินมาหาฮ่องเต้ คารวะ “หม่อมชั้นยังมีธุระต่อ ขอตัวกลับก่อนนะเพคะ” พูดจบ ก็เดินออกไปด้านนอกด้วยความรีบร้อน อ๋องฉีก็รีบคารวะฮ่องเต้และไทเฮา สาวเท้ายาวเดินตามนางไป สองสามีภรรยาขึ้นนั่งบนรถม้าของจวนอ๋อง สั่งคนรถตรงไปยังหนานเฉิง
ไม่นาน ถนนที่กว้างขวาง ก็เหลือเพียงฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮาและเหล่าขุนนาง รวมทั้งพระเซวี่ยนชิง ส่วนเฮ่อจางที่อยู่บนแท่นพิธีนั้น ราวกับว่าทุกคนได้ลืมเขาไปแล้ว
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮาดูแย่ยิ่งนัก เหล่าขุนนางไม่มีใครกล้าปริปากพูด โดยเฉพาะกลุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมหาเสนาบดี หดตัวเล็กลงทันที ไม่กล้าแม่แต่จะหายใจดัง เกรงว่าฝ่าบาทจะเอาอารมณ์มาลงที่พวกเขา
ขนาดเหล่าขุนนางยังไม่กล้าปริปาก เหล่าทหารองครักษ์ก็ไม่กล้ายิ่งกว่า ถนนทั้งสายเงียบสงัด ราวกับไม่มีคนอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงพระเซวี่ยนชิงที่ยืนอยู่อีกด้านด้วยสีหน้าสงบ กล่าวทำลายความสงบขึ้นมาว่า “อมิตาพุทธ” จากนั้นก็ทำความเคารพ “ฝ่าบาท อาตมาต้องกลับไปแล้ว”
ในที่สุดฝ่าบาทก็เปิดปากขึ้น “ท่านแม่ทัพ ส่งไต้ซือเซวี่ยนชิงกลับวัด”
ฉู่เหวินเจี๋ยตอบรับ ทำท่าเรียนเชิญพระเซวี่ยนชิง
พระเซวี่ยนชิงขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้ง ขึ้นไปบนรถม้าที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กลับไปถึงวัดชิงอวิ๋นอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของฉู่เหวินเจี๋ย
ฝ่าบาททอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางด้วยความโกรธเคือง จนพวกเขารู้สึกชาไปทั้งหัว เหงื่อตกไปตามๆ กัน จากนั้นจึงไปทำเสียงไม่พอใจออกมา หันหลังและกลับวังไป ไทเฮาและฮองเฮาตามหลังไปติดๆ
เมื่อเห็นทั้งสามจากไปแล้ว เหล่าขุนนางจึงได้ถอนหายใจออกมา เช็ดหยาดเหงื่อที่หยดลงมาบนหน้า จากนั้นก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถม้า กลับบ้านของตนไป
ทหารองครักษ์ที่เหลือมองดูแท่นทำพิธีด้วยความกังวล แม้ว่าเฮ่อจางจะถูดยึดตำแหน่งไปแล้ว แต่ลูกสาวของเขาก็ยังเป็นสนม ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง บัดนี้เขานอนเป็นลมอยู่บนแท่นทำพิธี แล้วแท่นนี้ตนจะทำลายหรือไม่ ตัดสินใจเองไม่ได้ ต่างก็ได้มองไปยังผู้บัญชาการ
องค์ชายหกถูกขับไล่ กุ้ยเฟยถูกลดขั้นเหลือเพียงสนมขั้นผิน เฮ่อจางถูกปลดจากตำแหน่ง อำนาจของตระกูลเฮ่อได้สูญสิ้นไปแล้ว คิดอยากจะผงาดขึ้นมาอีกนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ผู้บัญชาการเองต้องปรับตัวไปตามน้ำ โบกมือสั่งลูกน้องว่า “ไปลากคนลงมาทิ้งไว้อีกฝั่งโน้นก็พอ”
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว เหล่าทหารรีบเดินขึ้นไปบนแท่นทำพิธีทันที และลากร่างของเฮ่อจางลงมาทิ้งในที่ที่ห่างไกลจากแท่นทำพิธี จากนั้นทหารทุกคนก็เริ่มทำลายแท่น
เฮ่อจางถูกทิ้งอยู่ตรงนั้นราวกับหมาตายตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครชายตามองเขาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงคนรถและบ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่ารอนานแล้วแต่เขายังไม่กลับออกมา จึงได้เข้ามาตามหา เมื่อเห็นเขานอนหลับตาอยู่บนพื้น เสื้อผ้ายับเยิน จึงตกใจเป็นอย่างมาก รีบช่วยกันยกร่างของเขาขึ้นมา และวางขึ้นบนรถม้าด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็กลับจวนมหาเสนาบดีไป
รถม้าของหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้านหน้า ชิงหลวน จูหลีและเหล่าองครักษ์คุ้มกันอยู่สองฝั่ง ส่วนองครักษ์ที่เหลือที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านก็คอยติดตามอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียงผิดปกติ จึงได้เปิดม่านออก สั่งกัวเฟยว่า “สั่งให้พวกเขาไปรอที่เหลาจวี้เสียน”
กัวเฟยเข้าใจความหมายของเขาแล้ว จึงได้ควบม้า พร้อมกับใช้มือสั่งการไปด้วย
เหล่าองครักษ์ลับที่ติดตามมาด้วยค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง หันหลังกลับไปยังเหลาจวี้เสียน
เมื่อถึงหน้าประตูจวน หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้า และอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวผู้อ่อนแอเข้าไปด้านใน ตรงมายังห้องนอน จากนั้นก็ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง
วิญญาณของนางถูกพลังสองฝ่ายฉุดกระชากอยู่นาน ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหมดพลังอย่างมาก ไม่มีแม้แต่แรงจะกระดิกปลายนิ้ว หยาดเหงื่อที่ไหลออกมาทำเอาเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมด
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งให้ชิงหลวนไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งด้านนอกและด้านใน จากนั้นก็สั่งจูหลีไปตวงน้ำอุ่นมา เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว เขาก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาทีละชิ้น ใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้นาง จากนั้นก็ค่อยๆ สวมเสื้อผ้าให้นางทีละชิ้น พยุงนางให้นอนบนเตียง ตนเองก็ถอดรองเท้าและขึ้นเตียงด้วย นอนอยู่ข้างกายนาง กอดเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ในอกด้วยมือที่สั่นเทา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหมดแรงถึงขีดสุดแล้ว ปิดตาลงอย่างว่าง่าย และหลับไปแทบจะทันที
หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าของนาง ความรู้สึกผิดได้ถาโถมเข้ามา โชคดี โชคดีจริง ที่พระเซวี่ยนชิงหยุดบทสวดพอดีกับที่เฮ่อจางก้าวขึ้นมาด้านบน มิเช่นนั้นเขาจะต้องสูญเสียนางไปแล้ว
หลังจากอ๋องฉีและพระชายามาถึงแล้วนั้น ก็ถูกชิงหลวนและจูหลีห้ามไว้ด้านนอก “ท่านอ๋อง พระชายา กรุณารอสักครู่ ซื่อจื่อกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นายหญิงอยู่เจ้าค่ะ”
ทั้งสองอึ้งไป มองหน้ากัน และก็ยืนรออยู่ด้านหน้า เวลาผ่านไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นอี้เซวียนออกมา พระชายาจึงร้อนใจ สั่งชิงหลวนไปว่า “เจ้าไปดูทีว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชิงหลวนเดินไปถึงหน้าห้อง พูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อ นายหญิงเจ้าคะ ท่านอ๋องและพระชายามาถึงแล้ว อยากจะพบท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลับสนิทแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินออกไปด้านนอกเสียงเบา เห็นสีหน้ากังวลของท่านอ๋องและพระชายา จึงเดินไปหาพวกเขา พูดว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ โยวเอ๋อร์หลับไปแล้วขอรับ พวกเราไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถิด”
ทั้งสองเดินตามมายังห้องรับแขก ยังไม่ทันนั่งลง พระชายาก็ถามออกมาด้วยความใจร้อน “โยวเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“อ่อนเพลียเล็กน้อยขอรับ นอนหลับสักตื่นก็คงดีขึ้น เสด็จแม่อย่าเป็นกังวลไปเลย”
ตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวลงมาจากแท่นทำพิธี พระชายาก็ได้เห็นสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเป็นห่วงยิ่งขึ้น “จะไม่ห่วงได้อย่างไร โยวเอ๋อร์หน้าซีดเพียงนั้น ไม่มีสีเลือดเลยสักนิด เพราะคาถาของพระเซวี่ยนชิงทำร้ายจิตวิญญาณของนางใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
พระชายาร้อนใจขึ้นมา “อย่างนั้นทำอย่างไรดี พวกเราไปเรียนเชิญผู้มีวิชาอาคมมาดูอาการให้นางดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกขอรับ วิชาของพระอาจารย์เซวี่ยนชิงแกร่งกล้ามาก ในเมื่อเขาบอกว่าโยวเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร ให้นางพักผ่อนเถิด ตื่นมาก็ไม่มีอะไรแล้ว”
พระชายาพยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับยาวไปเป็นเวลานานถึงสามวัน และในสามวันนี้ก็ได้เกิดเรื่องขึ้นมามากมาย
เรื่องแรกคือเมื่อเฮ่อกุ้ยเฟยรู้ว่าตนถูกลดตำแหน่งเป็นสนมขั้นผินก็เป็นลมไปทันที
และขณะเดียวกันองค์ชายหกเมื่อรู้เข้าก็ราวกับเสียสติไปแล้ว ทำลายข้าวของทุกอย่างในห้อง นั่งลงไปบนข้าวของเกะกะบนพื้น แม้แต่เท้าถูกบาดก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ สองตาว่างเปล่ามองไปบนเพดาน
ตั้งแต่เขาจำความได้ เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้สอนระเบียบขั้นตอนในวังให้กับเขาทุกอย่าง เพื่อจะให้เขาเตรียมตัวมาชิงตำแหน่งขึ้นเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นเมื่ออยู่ในวังเขาจะทำการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ทั้งยังเอาอกเอาใจไทเฮาและฮองเฮาด้วย ต่อให้ฮองเฮาไม่ชอบเขา แต่เขาก็มักจะแบกหน้าไปเอาใจนางเสมอ ในที่สุด ไม่เพียงแค่คนในวังเท่านั้น แม้กระทั่งเหล่าขุนนางก็ยังชื่นชมเขาไม่หยุด เขาคิดว่าได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว เหลือเพียงโอกาส โอกาสเหล่านี้มักจะมาโดยกะทันหันไม่ทันให้ตั้งตัว
ส่วนเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาสิงร่างนั้น เขาโกรธที่เฮ่อจางไม่ไปสืบให้ดีเสียก่อน โกรธกุ้ยเฟยที่ทำการตัดสินใจเช่นนี้ เขาโกรธฮ่องเต้ที่สุด ไม่มีความเป็นพ่อเลยสักนิด โยนความผิดมาให้เขาเพียงผู้เดียว ให้เขาไปรับโทษในที่ทุรกันดาร และเขาเกลียดไท่จื่อเป็นที่สุด เห็นอยู่ว่าเทียบเขาไม่ได้สักอย่าง แต่เพียงเพราะคลานออกมาจากท้องของฮองเฮาเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ได้รับความรักมากมาย ไม่เหมือนกับเขา ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องแย่งชิงมาด้วยตนเอง
รอจนเฮ่อกุ้ยเฟยฟื้นขึ้นมา ได้ยินเรื่องที่องค์ชายหกถูกสั่งให้ไปอยู่ที่แดนทุรกันดาร ก็เป็นลมไปอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่รอให้นางฟื้น ขันทีที่มาประกาศก็ไปสั่งคนให้เก็บของของนาง แบกนางไปไว้ในที่ที่สนมขั้นผินควรจะอยู่
ยังมีเฮ่อจาง หลังจากถูกบ่าวรับใช้ยกกลับจวนนั้น เฮ่อเหลี่ยนที่รอคอยข่าวดีอย่างตื่นเต้น รอจะได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถูกประหารชีวิตแล้ว เมื่อเห็นร่างของเฮ่อจางถูกคนแบกเข้ามา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้น
บ่าวรับใช้เรียนเรื่องรางทั้งหมดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เฮ่อเหลี่ยนล้มลงไปทันที ดวงตามืดมัว เกือบจะเป็นลมไปแล้ว แต่บ่าวรับใช้เรียกสติเขาไว้ได้ “คุณ คุณชายใหญ่ จะเอาอย่างไรกับนายท่านดีขอรับ”
เฮ่อเหลี่ยนจึงได้หันไปสั่งด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “รีบไปตามหมอมา!”
บ่าวรับใช้ลนลานวิ่งออกจากจวนไป เวลาผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้พาหมอมา และหมอคนนั้นก็ยังไม่เต็มใจมาเสียด้วย
เรื่องวันนี้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว ทุกคนรู้เรื่องที่เฮ่อจางใส่ร้ายองค์หญิงชิงเหอ ดังนั้นเขาจึงถูกปลดให้เป็นไพร่พลธรรมดา หมอคนนี้ก็รู้ดี เมื่อตอนที่รู้ว่าผู้ที่ต้องการให้ไปรักษาคือเฮ่อจางนั้น หากไม่ใช่เพราะจรรยาบรรณของหมอแล้วนั้นเขาก็คงไม่มาแน่นอน เมื่อมาถึง เห็นเฮ่อจางหมดสติอยู่ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะอารมณ์โกรธจึงทำให้ลมขึ้น ไม่แม้แต่จะจับชีพจร เขาใช้ปลายเล็บแหลมจิ้มเข้าไปที่ใต้จมูกของเฮ่อจางทันที ปากก็พูดว่า “ปัญหาเล็กน้อย กดจุดนี้แรงๆ ก็ฟื้นแล้ว”
เป็นดังนั้นจริงด้วย ไม่นานเฮ่อจางก็ฟื้นขึ้นมา เบิกตามองคนที่รายล้อมตนอยู่ แต่สายตาเขาไม่หลักแหลม คมคายเช่นเดิมแล้ว กลับมีความขุ่นมัวขึ้นมา
หมอสะพายกระเป๋ายาใบโตของตนขึ้น พูดว่า “ให้คนไข้พักผ่อนเสียหน่อย อย่าให้เจอเรื่องกระทบกระเทือนใจก็พอ ไม่ต้องกินยาอะไร ถ้าหากมีสมุนไพรบำรุงชั้นดีล่ะก็ สามารถต้มให้เขาดื่มได้”
พูดจบก็เดินจากไป
หากเป็นเมื่อก่อน หากหมอกล้ามีท่าทีเช่นนี้ เฮ่อเหลี่ยนจะต้องสั่งคนประหารเขาเป็นแน่ แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาสองคนพ่อลูกไม่มีตำแหน่งขุนนางอีกแล้ว เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จึงไม่กล้าอารมณ์เสียใส่หมอ ทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธนี้ไว้ สั่งให้คนไปส่งเขา
เฮ่อจางฟื้นขึ้นมาอย่างเต็มตัว ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พูดว่า “เหลี่ยนเอ๋อร์ พวกเราถูกคนซ้อนแผนเสียแล้ว”
หลายวันมานี้หลิวลี่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแบบที่ไม่ได้ใช้มานาน มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ทั้งเรื่องกิน เรื่องนอน สื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม กระทั่งการเดินทาง หากนางไม่อยากเดิน ก็ยังมีคนแบกนางไป ส่วนฮูหยินก็ไม่ได้มารังควานนาง สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือ นางมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่เฮ่อเหลี่ยนกลับไม่มาหานางเลยสักครั้ง นางส่งคนใช้ไปเชิญเขาหลายหน คำตอบที่ได้คือเขากำลังยุ่งเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ ไม่มีเวลามาหานาง และยังให้สาวใช้บอกนางว่า รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวถูกประหารแล้ว เขาจะมาตบรางวัลให้นางอย่างงาม
หลิวลี่เกลียดเมิ่งเชี่ยนโยวมานานหลายปี รอไม่ได้ที่จะเห็นนางตายไปเสียที เมื่อได้ยินคำของสาวใช้ดังนั้น จึงได้วางใจลง ใช้ชีวิตอย่างที่ตนได้วาดฝันเอาไว้ในเรือนโดยไม่ก่อปัญหาเพิ่ม
แต่บางทีสาวใช้มองนางด้วยสายตาเวทนา นางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ถามไปหลายครั้ง แต่สาวใช้กลับเลี่ยงที่จะตอบ ไม่พูดความจริงกับนาง อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คนสนิทของนาง จะไม่จงรักภักดีต่อนางก็เป็นเรื่องที่เขาใจได้ รอให้นางได้รับความโปรดปรานเสียก่อนเถิด จะไปเป่าหูเฮ่อเหลี่ยนให้เขาซื้อคนรับใช้มาให้นางอีกสักสองสามคน แล้วค่อยสอนให้ภักดีต่อนางก็ได้
ขณะที่นางกำลังฝันหวานอยู่นั้น เฮ่อเหลี่ยนก็เดินเขามาหานางด้วยสีหน้าโกรธแค้น
หลิวลี่ดีใจเป็นที่สุด ลุกขึ้นเดินบิดร่างไปต้อนรับเขา พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “คุณชายใหญ่เจ้าขา ท่านมาจนได้ ข้าคิด…”
เฮ่อเหลี่ยนบีบคอนางแน่น พูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “เจ้าบังอาจโกหกข้า?”