ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 23-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 23-1 พบหมาบ้า
หลิวลี่ยืดตัวขึ้นนั่งอย่างช้าๆ นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาขมขื่นปนเคียดแค้น “สี่ปีที่แล้วท่านลุงของข้าหาบ้านสามีที่ดีในเมืองหลวงให้ข้าได้ครอบครัวหนึ่ง แม้ว่าจะต้องเข้าไปในฐานะอนุแต่ก็ถือว่าเป็นอนุของคนชั้นสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่หรือการใช้ชีวิตอีก แต่เป็นเพราะเจ้า…” พูดถึงตรงนี้นางก็ยกนิ้วชี้ไปที่หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงตะโกนดังลั่น “เป็นเพราะเจ้าสั่งคนให้มาทำร้ายข้าจนฟันข้าหลุดไปซี่หนึ่ง คืนแรกที่เข้าประตูจวนไปข้าก็ถูกขุนนางพวกนั้นโกรธจนทุบตีข้าเกือบตาย หากไม่ใช่ว่าพวกเขายังเห็นแก่หน้าของท่านลุงข้าอยู่บ้าง ป่านนี้ข้าคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว น่าสงสารก็แต่ข้าที่ถูกทุบตีจนไม่เหลือสภาพดี ถูกโยนทิ้งไว้ข้างถนนราวกับเป็นขยะ หากไม่ใช่เพราะมีคนใจดีผ่านมาแล้วพาข้าไปส่งที่โรงหมอ ใช้เครื่องประดับทั้งหมดบนตัวแลกกับค่ายา ข้าคงได้นอนตายอยู่ในตรอกตรงไหนสักแห่งไปจริงๆ หลังจากที่อาการบาดเจ็บของข้าหายดี ข้าก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีที่ให้กลับ ได้แต่อาศัยถนนเป็นที่พักพิงขอทานไปวันๆ ทุกวันต้องถูกคนที่เดินผ่านไปมาดูถูกเหยียดหยามนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น! วันนี้ต้องขอบคุณที่สวรรค์มีตาให้ข้าได้มาเจอเจ้าอีกครั้ง ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะให้เจ้าได้ฉิบหายตามไปด้วย ให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงได้รู้กันไปเลยว่าสตรีอย่างเจ้ามันชั่วช้าอำมหิตมากแค่ไหน”
ทันใดนั้นเอง เสียงถกเถียงพูดคุยกันของผู้คนที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่โดยรอบก็ทยอยดังขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รีบร้อนลนลาน นางใช้น้ำเสียงที่สงบมั่นคงสยบตอบกลับไป กล่าวให้ทุกคนได้ยินโดยทั่วกันว่า “สี่ปีที่แล้วเจ้าใช้อำนาจของลุงเจ้าพาคนมาหาเรื่องข้าถึงหน้าประตูบ้าน ยั่วยุข้านับครั้งไม่ถ้วน แต่ข้าก็ยังทำเป็นหลับหูหลับตาปล่อยผ่านไปไม่คิดติดใจเอาความ อย่างไรก็ตาม คนอย่างเจ้ากลับไม่ได้สำนึกสักนิด ยังคงพาคนมารังควานข้าไม่เลิกรา สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ ตัวเองหกล้มฟันหักไปหนึ่งซี่ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กลายมาเป็นสภาพแบบนี้ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากเจ้าทำตัวเองทั้งนั้น เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย? วันนี้เจ้าแหกปากร้องปาวๆ ต่อหน้าผู้คนว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะขอพูดซ้ำอีกครั้ง เห็นแก่ที่เจ้าน่าสงสารข้าจะไม่เอาความกับเจ้าในครั้งนี้ แต่หากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะให้คนไปตัดเส้นเอ็นที่ข้อมือและข้อเท้าของเจ้าเสีย จากนั้นก็จับเจ้าโยนออกนอกเมืองหลวงไป ให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าอะไรคือความทรมานที่แท้จริง”
ได้ยินนางพูดถ้อยคำโหดร้ายออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายไม่แยแส ผู้คนที่รอชมเรื่องสนุกอยู่โดยรอบก็พลันตวัดสายตามองมาทางนางด้วยความตื่นตระหนกเป็นตาเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้คนมองพิจารณาตนเองตามอำเภอใจ
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วขึ้น เดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หญิงสาวก่อนจะพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าจะถือสาหาความกับคนประเภทนี้ไปไย มีแต่เป็นการลดฐานะตัวเองให้ตกต่ำลง ข้าว่าเลิกสนใจนางเถอะ หรือหากเจ้าไม่อยากเห็นหน้านางจริงๆ ข้าจะสั่งให้คนมาโยนนางออกไปจากเมืองหลวงเอง”
หลิวลี่รู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูอยู่ไม่น้อยจึงได้เหล่ตาขึ้นไปมองทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างพิจารณา และเมื่อนึกออก นางก็เปล่งเสียงร้องอุทานออกไปด้วยความตะลึงงันว่า “เจ้าคือไอ้หนุ่มหน้าขาวที่บ้านเมิ่งรับเลี้ยงไว้?”
ทันทีที่สิ้นคำร่างของหลิวลี่ก็บินออกไปอีกครั้ง
คนที่มุงดูอยู่ต่างพากันร้องอุทานเป็นเสียงเดียว
กัวเฟยถอนเท้ากลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ตะโกนด่าออกไปว่า “บังอาจใช้วาจาหยาบคายเช่นนี้ต่อซื่อจื่อแห่งจวนอ๋อง เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ”
ร่างของหลิวลี่บินออกไปไกลมาก ก่อนจะร่อนลงกับพื้นอย่างแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนสักนิดว่านางจะเป็นหรือตาย เพียงพูดออกไปว่า “ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจนางอีกเลย”
จะมีก็แต่เถ้าแก่ร้านนี่แหละที่ใบหน้ามืดครึ้มไปทั้งแถบแล้ว เขาอุตส่าห์ใจดีมีเมตตาให้ของเหลือแก่ขอทานเหล่านี้ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพวกมันจะมาขี่หัวล่วงเกินนายท่านของเขาเข้า ในใจพลันทั้งนึกเสียใจแล้วก็คับแค้นใจในเวลาเดียวกัน จึงหันไปกวักมือเรียกพนักงานคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ประตูให้เข้ามาหา แล้วสั่งความลงไปว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่อนุญาตให้นำของเหลือไปให้ขอทานพวกนี้อีก หากว่าเจ้าเห็นขอทานคนไหนมาเดินด้อมๆ มองๆ อยู่แถวหน้าประตูเหลาจวี้เสียน ก็ให้ไล่ไปให้หมด”
พนักงานขานรับไปคำหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ขอทานสองสามคนก็เบียดเสียดวิ่งเข้ามาจากในระยะไกล
ขอทานคนนั้นวิ่งมาหยุดอยู่ต่อหน้าของเถ้าแก่ร้าน โค้งหัวปลกๆ พลางพูดว่า “ขอเถ้าแก่อย่าได้มีโทสะ นังผู้หญิงน่าตายผู้นั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจไปล่วงเกินนายท่านเข้า ข้าจะเรียกคนให้มาลากตัวมันกลับไปเดี๋ยวนี้ รับรองว่าจะสั่งสอนให้ดีไม่ให้มาก่อความเดือดร้อนอีก ขอเถ้าแก่ท่านมีเมตตาอย่าได้เอาของเหลือพวกนั้นกลับไปเลย อย่าได้ตัดหนทางรอดของพวกเราเลย พวกเรายังต้องอาศัยมันเพื่อประทังชีวิตอยู่ต่อไปนะขอรับ”
ขอทานเหล่านี้มาขออาหารที่นี่ได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว เถ้าแก่เองก็รู้ว่าขอทานคนนี้เป็นหัวหน้าของบรรดาขอทานทั้งหมดที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ จึงชักสีหน้าพูดตอบไปด้วยความตรงไปตรงมาว่า “ข้าใจดีให้ของเหลือกับพวกเจ้า หวังก็เพื่อในทุกวันพวกเจ้าจะได้มีอาหารเติมท้องไม่ต้องทนหิวโหย ผู้ใดจะคิดเล่าว่าความใจดีของข้าจะนำพามาซึ่งหายนะอย่างเช่นในวันนี้ โชคดีที่นายท่านท่านนั้นมิได้ติดใจเอาความ มิได้พาลพาโลโกรธมาถึงตัวข้าด้วย ไม่อย่างนั้นตำแหน่งของข้าในเหลาจวี้เสียนคงไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ไหนเลยจะยังอนุญาตให้พวกเจ้ามาขอทานที่นี่ได้อีก”
ขอทานคนนั้นพยักหน้าติดกันหลายครั้งและโค้งคำนับให้อย่างรุนแรง “เถ้าแก่ท่านวางใจได้ ข้ารับรองว่าเหตุการณ์อย่างเช่นวันนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านจะไม่เห็นหน้านังผู้หญิงน่าตายผู้นั้นอีกแล้ว แน่นอนว่าจะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหาให้ท่านถึงหน้าประตูอีกเช่นกัน ขอท่านโปรดเมตตาเก็บคำสั่งกลับไปด้วยเถิด”
มีของเหลือมากมายอยู่ในเหลาจวี้เสียนทุกวัน และมันก็เกินพอที่จะเลี้ยงขอทานในพื้นที่นี้ทั้งหมด หากเถ้าแก่ร้านขับไล่พวกเขาไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปขอทานที่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีขอทานอีกกี่คนที่ต้องกลับมาทนหิวโหยในทุกๆ วัน กลับมาต่อสู้แย่งอาหารกันราวกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งในฐานะของหัวหน้าอย่างเขาย่อมไปปรารถนาให้เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น ดังนั้นแล้วแม้จะเป็นเพียงหัวหน้าของกลุ่มขอทานเล็กๆ เขาจึงพยายามพูดให้เถ้าแก่เห็นใจมากที่สุดและขอร้องให้อีกฝ่ายเก็บคำสั่งนั้นกลับไป
นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างนางกับหลิวลี่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากพาลใส่ขอทานพวกนี้จึงได้พูดกับเถ้าแก่ร้านไปว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความบังเอิญอย่างแท้จริง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับขอทานเหล่านี้เลย ท่านก็อย่าได้กล่าวโทษพวกเขา เถ้าแก่ปกติให้อาหารที่เหลือกับพวกเขาอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามเดิมเถิด”
ในเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นฝ่ายออกปากเอง เถ้าแก่ร้านก็ไม่ขัดข้อง เขาขานรับอย่างเชื่อฟังก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าของกลุ่มทานด้วยเข้มว่า “ในเมื่อนายท่านช่วยพูดแทนพวกเจ้า ข้าก็จะเก็บคำสั่งนั้นกลับไป อีกหน่อยพวกเจ้าสามารถมารับของเหลือที่นี่ได้ทุกวันเวลาเดิม อย่างไรก็ตามจำคำที่เจ้ารับปากข้าเอาไว้ให้ดี หากเกิดเรื่องล่วงเกินนายท่านเข้าอีก อีกหน่อยก็อย่าได้หวังว่าจะเข้าใกล้ประตูเหลาจวี้เสียนได้อีกเลย”
“ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณเถ้าแก่ร้านขอรับ” หัวหน้าของกลุ่มทานกล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยความนอบน้อม
เถ้าแก่ร้านโบกมือให้
จากนั้นหัวหน้าขอทานคนนั้นก็หันไปสั่งขอทานที่เหลือทันทีว่า “พวกเจ้ายังมัวรีรออะไรอยู่ รีบไปลากนังผู้หญิงน่าตายคนนั้นออกไปเดี๋ยวนี้”
ขอทานหลายคนก้าวขึ้นไปข้างหน้าและลากหลิวลี่ที่นอนไม่ขยับอยู่บนพื้นออกไป
ชายที่เป็นหัวหน้าของกลุ่มขอทานรออีกสักพักก่อนจะเดินตามไปทีหลัง
เหล่าบรรดาคนมุงทั้งหลายหลังจากที่เห็นว่าไม่มีเรื่องตื่นเต้นให้ดูอีกก็ทยอยแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ฉากละครในวันนี้กลายเป็นเรื่องสนุกปากให้หลายคนได้นำไปถกเถียงเล่าสู่กันฟัง
เถ้าแก่ร้านปาดเหงื่อเม็ดโป้งที่ผุดซึมขึ้นมาบนหน้าผาก กำลังจะโค้งตัวกล่าวขอโทษคนทั้งสองที่ได้ล่วงเกินไป
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษ พวกเราไปดูร้านกันดีกว่า”
หลังจากกล่าวขอบคุณ เถ้าแก่ร้านก็พาคนทั้งสองไปที่ร้านขายผลไม้ตากแห้งที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
มีป้ายประกาศขายติดอยู่ที่หน้าประตูร้านขายผลไม้ตากแห้ง แต่มันถูกบานประตูถูกบังไว้อยู่
หลังจากเถ้าแก่ร้านเปิดประตูออกแล้ว เขาก็ตะโกนเข้าไปข้างในด้วยเสียงดังว่า “มีใครอยู่ไหม? ออกมาหน่อย พวกเราอยากเข้าไปดูข้างในร้านหน่อย”
ชายชราในวัยห้าสิบคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังร้านทันที หลังจากได้ยินเสียงร้องตะโกนและเห็นว่าเป็นเถ้าแก่ตู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาก็ยิ้มต้อนรับไปด้วยความสดใสแล้วถามว่า “เถ้าแก่ตู้ ท่าน…?”
“เถ้าแก่หลี่ นายท่านทั้งสองท่านนี้วันนี้เข้ามาถามข้าว่ามีร้านค้าไหนที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ใกล้ๆ บ้างหรือเปล่า ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะขายร้าน ดังนั้นจึงได้แนะนำทั้งสองท่านให้มาที่นี่”
หลังจากเถ้าแก่หลี่กล่าวขอบคุณเขาแล้วก็ใช้สายตาอันปราดเปรื่องมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนหนึ่งที สายตาพิจารณากวาดมองคนทั้งสองไปรอบหนึ่งแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เชิญท่านทั้งสองเข้ามาดูได้ตามสบาย ไม่รู้ว่าร้านข้าจะเข้าตาพวกท่านไหม”
ภายใต้การนำของเถ้าแก่หลี่ หลายคนสำรวจดูทั้งภายในและภายนอกร้านอย่างระมัดระวัง เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าติดกันหลายครั้งด้วยความพึงพอใจ นางกล่าวว่า “ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าร้านนี้ท่านต้องการขายในราคาเท่าไหร่?”
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เขาติดประกาศขาย และแม้จะมีคนจำนวนมากเข้ามาดูที่ร้าน แต่กลับมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่แสดงออกว่าสนใจร้านนี้ เถ้าแก่หลี่รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามเกี่ยวกับราคา แต่ด้วยฟังออกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีความตั้งใจจะซื้อ เขาก็ดีใจมากแล้วรีบตอบกลับไปว่า “ร้านของข้านี้อยู่ในย่านที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง ดังนั้นราคาจึงสูงกว่าที่อื่นค่อนข้างมาก ข้าตั้งใจว่าจะขายในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่บ้านข้าเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย จำเป็นต้องรีบใช้เงินด่วน ประกอบกับพวกท่านเป็นแขกที่เถ้าแก่ตู้แนะนำมา เห็นแก่ความเป็นสหายเก่า ข้าสามารถลดให้ท่านได้เหลือห้าพันตำลึงเงิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เถ้าแก่
เถ้าแก่พยักหน้าให้เป็นสัญญาณบอกว่าราคานี้สมเหตุสมผล
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตกลงในทันที “ได้ ตกลงตามนี้ อิงราคาที่ท่านบอกข้าเมื่อสักครู่ ร้านนี้ข้าซื้อแน่แล้ว เพียงแต่วันนี้ข้าไม่ได้นำตั๋วเงินติดตัวมาด้วยมากขนาดนั้น ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจะกลับมาใหม่ พวกเราไปที่จวนที่ว่าการด้วยกัน จัดการขั้นตอนทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยในทีเดียวเลย”
เถ้าแก่หลี่ไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าจะใจถึงและตรงไปตรงมาได้ขนาดนี้ จึงชะงักไปชั่วครู่ แต่พอเรียกสติกลับมาได้เขาก็หัวเราะเสียงดังแล้วพูดออกไปว่า “ได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอแม่นางมาหา”
หลังจากพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ตวัดสายตาขึ้นไปมองพิจารณานางอีกสองสามที
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาพิจารณาของเขา เดินออกจากร้านไปพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนและเถ้าแก่ตู้ เดินไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าเหลาจวี้เสียน