ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 232 ตามฆ่าหลายพันลี้
ตอนที่ 232 ตามฆ่าหลายพันลี้
หมิงเซิ่งจู่ยิ่งทุรนทุรายหนักขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนทิ้งดาบใหญ่ลงตรงหน้าเขา ยืนตัวตรง แล้วโบกมือ
เหล่าองครักษ์ลับคุมตัวลูกหลานตระกูลหมิงมาไว้ข้างหน้า แล้วประหารทีละคนต่อหน้าหมิงเซิ่งจู่
หมิงเซิ่งจู่กับลูกชายทั้งสองคนของปวดใจจนหมดสติไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อน สั่งองครักษ์ลับสาดน้ำให้พวกเขาตื่นแล้วก็ค่อยทำต่อ จนกระทั่งผู้สืบสกุลของตระกูลหมิง ซึ่งรวมถึงลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคนของหมิงเซิ่งจู่ ล้วนศีรษะหลุดออกจากร่างต่อหน้าเขา หลังจากที่เหลือเขาเพียงคนเดียว หมิงเซิ่งจู่ก็ได้เสียสติแล้ว ร้องเสียงดังไม่หยุดตลอด “เจ้าฆ่าข้าซะ! ฆ่าข้าซะสิ!”
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้พวกองครักษ์ลับปล่อยเขา
หมิงเซิ่งจู่นั่งตัวชาบนพื้นราวกับดินโคลน ไม่มีเรี่ยวแรงดิ้นรนเหลืออีก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองเขาแม้แต่น้อย หันกายเดินออกไปนอกหมู่บ้าน องครักษ์ลับทุกคนก็เดินตามหลังออกไป
เดินออกหมู่บ้านมา หวงฝู่อี้เซวียนก็คว้าคบเพลิงที่อยู่บนมือขององครักษ์ลับคนหนึ่ง แล้วปาเข้าไปในหมู่บ้าน โดยที่ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไปด้านหลัง
เขารับคบเพลิงบนมือขององครักษ์ลับมา แล้วเขวี้ยงเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
กว่าที่คนของหน่วยลาดตระเวนจะมาถึง หมู่บ้านก็กลายเป็นดั่งทะเลเพลิงแล้ว
มองเห็นสีหน้าที่เป็นปกติของหวงฝู่อี้เซวียน ในใจของตู้หรูไห่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวนก็สั่นไหวไปชั่วครู่ ลงจากม้า เดินมาตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ประสานมือขึ้นคำนับ พร้อมพูดอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าพระราชวังขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการไว้หน้าเขา แล้วเดินผ่านเขาไป ขึ้นขี่ม้า นำพวกองครักษ์ลับมุ่งไปที่เมืองหลวงอย่างไม่รีบร้อน
ตู้หรูไห่เห็นทะเลเพลิงด้านหลัง ก็ทอดถอนหายใจ รออยู่ที่เดิมด้วยความจำนนกับชะตาชีวิต เมื่อรอให้มหาเพลิงนั้นมอดจนสิ้นแล้ว ก็ไปตรวจดูว่ายังมีคนที่มีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่ เพื่อจะได้กลับไปรายงาน แต่แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีคนที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่อีกประปราย แต่ใครใช้ให้เขารับผิดชอบหน้าที่นี้กันเล่า
แม้ว่าจะมีระยะห่างจากกันห้าสิบลี้ เพลิงไฟสุมใหญ่ยังคงแดงฉานไปกว่าครึ่งฟ้าของเมืองหลวง ครั้งนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องตรัสถามก็ทรงทราบแล้ว ทรงกริ้วจนคว่ำโต๊ะที่มีเอกสารราชการอยู่มากมาย แล้วเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องทรงพระอักษรด้วยพระบาทเปลือยเปล่า
กว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะมาถึง ห้องทรงพระอักษรก็ได้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร หยิบของสิ่งหนึ่งจากชายเสื้อส่งให้ขันทีผู้ดูแล
ขันทีผู้ดูแลส่งให้แก่ฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทรงเปิดออก อ่านจบ สีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ว่าน้ำเสียงของความโกรธยังคงอยู่ “อย่าคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป นับแต่วันนี้ จะต้องถูกกักบริเวณในจวนเพื่อสำนึกผิด หากไม่ได้รับอนุญาตจากเราก็ห้ามออกจากเมืองหลวงแม้แต่ก้าวเดียว”
เรื่องที่ควรทำก็ได้ทำแล้ว คนที่ควรฆ่าก็ได้ฆ่าแล้ว ที่เหลือก็มีคนไปทำต่อเอง หวงฝู่อี้เซวียนก็รับพระราชโองการอย่างว่าง่าย และออกจากพระราชวังไป
ถูกพ่อลูกสองคู่นี้รบกวนพระทัยตอนกลางคืนดึกดื่น และจวนจะถึงเวลาออกว่าราชการเช้าแล้ว สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า นวดพระนลาฏของพระองค์ที่มีอาการปวด แล้วสั่ง “ส่งองครักษ์หลวงไปคุ้มครององค์ชายหกเดี๋ยวนี้”
ตั้งแต่ที่เฮ่อกุ้ยเฟยเข้าวัง ฮ่องเต้ก็ค่อนข้างเอ็นดูนาง ก็ย่อมรักองค์ชายหกบุตรชายของนางมาก ดังเช่นที่ว่า รักบ้านต้องรักนกกาที่อยู่ด้วย จึงพะเน้าพะนอกว่าใครเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายหกโดยปกติก็เป็นคนที่น่ารักน่าเอ็นดูมากอยู่แล้ว ครั้งนี้แม้ว่าจะโกรธ และส่งเขาออกไปยังถิ่นทุรกันดาร แต่ในพระทัยที่รักและเอื้ออาทรต่อเขาก็ยังคงตัดไม่ขาด นึกถึงสิ่งที่วันนี้ที่พวกอ๋องฉีพ่อลูกได้ทำ ก็กลัวว่าพ่อลูกบ้าคู่นี้จะทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อองค์ชายหกขึ้นมา ดังนั้นถึงได้ออกพระราชบัญชาดังนี้
ต้องบอกก่อนว่า ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ดังนั้น สิ่งที่คิดย่อมต้องมากกว่าคนอื่น ทว่า น่าเสียดายนัก ทรงคิดช้าไปก้าวหนึ่ง กว่าจะรอให้องครักษ์หลวงออกไป พวกองครักษ์ลับก็นำหน้าออกไปหลายร้อยลี้เสียแล้ว
องค์ชายหกไม่มีผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว หลังจากนั่งรถม้าออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็ไม่ได้เร่งเดินทาง แต่เดินๆ หยุดๆ และสืบฟังการเคลื่อนไหวทางด้านเมืองหลวงเป็นพักๆ พอเห็นว่าเดินออกมาพันลี้แล้ว ยังสืบไม่ได้ข่าวคราวอันใด องค์ชายหกก็รู้สึกกังวลใจขึ้นบ้างแล้ว จึงถือโอกาสสั่งคนรถให้หยุดสองวันแล้วค่อยเดินทางอีกครั้ง
เขาเป็นนาย ตัวเองเป็นบ่าว แน่นอนว่านายพูดอะไรก็ต้องทำอย่างนั้น คนรถหาโรงเตี้ยมดีๆ แห่งหนึ่ง แล้วต้องการห้องบนและห้องล่าง เมื่อรับใช้องค์ชายหกในการล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็กลับห้องตัวเองไปพักผ่อน
ในใจขององค์ชายหกรู้สึกกระวนกระวาย พักผ่อนอยู่ในห้องได้ชั่วครู่ ก็ลงมาที่ห้องโถงใหญ่ ได้ยินแขกที่มาจากเหนือและใต้พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดที่ได้ยินจากหลายท้องที่ จึงลอบตั้งใจฟังการเคลื่อนไหวทางด้านเมืองหลวง
โจวอันที่นำองครักษ์ลับสิบคนเร่งเดินทางตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ทันทีที่เข้าประตูโรงเตี้ยมมา ก็เห็นองค์ชายหกนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน จึงทำสายตาส่งให้แก่คนอื่น แล้วเดินผ่านไปโดยที่ไม่ให้รู้ตัว นั่งในตำแหน่งที่ไม่ห่างจากเขามาก เรียกบริกรให้นำสุรากับกับแกล้มมา แล้วพูด ‘กระซิบกระซาบ’ ขึ้น
“เจ้าได้ยินหรือไม่ หลายวันก่อนในเมืองหลวงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“ได้ยินแล้ว น่าสังเวชทีเดียว”
องค์ชายหกหูผึ่ง
มองพวกเขาอย่างนิ่งเฉยแวบหนึ่ง แต่ละคนก็พูดต่อ “ใช่แล้ว น่าสังเวชจริงเทียว ได้ยินว่าครั้งนี้องค์หญิงชิงเหอเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว”
ในใจขององค์ชายหกยินดียิ่ง แล้วเข้าใกล้คนพวกนั้นอีกเล็กน้อย
“สิ่งที่ยิ่งแย่กว่านั้นอยู่ที่หลังจากนี้ต่างหาก ได้ยินว่าอ๋องฉีฆ่าล้างทุกคนทั้งจวนเฮ่อด้วยความโกรธจัด”
องค์ชายหกไม่ได้ตอบสนองกลับโดยทันที เพราะไม่รู้ว่าจวนเฮ่อที่พวกเขาพูดคือตระกูลใด ในใจก็รู้สึกอึดอัด อะไรที่แทงใจอ๋องฉีกันนะ เขาถึงได้กล้าฆ่าล้างทั้งตระกูลเช่นนี้ มิเกรงกลัวเสด็จพ่อจะลงโทษเขาหรือ
เห็นเขาไม่ตกใจแม้แต่น้อย ใบหน้าก็ยังคงเผยรอยยิ้มออกมา โจวอัน ‘กระซิบ’ ถามคนตรงข้าม “จวนเฮ่อที่เจ้าว่า คงไม่ใช่ว่าเป็นบ้านของเฮ่อจางที่เป็นมหาเสนาบดีคนก่อนกระมัง”
“ถูกเผงเลย!”
เสียง ตึง ดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง เห็นแต่เพียงองค์ชายหกล้มนั่งบนพื้น สุราและอาหารทั้งหมดที่เขาสั่งล้วนหกใส่ศีรษะเขาขณะที่ล้มและพยายามปีนโต๊ะไปด้วย
ทุกคนมองเขาด้วยความประหลาดใจ
บริกรของโรงเตี้ยมก็เดินมาสอบถามอย่างร้อนรน “ท่านลูกค้า ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”
องค์ชายหกได้สติขึ้นมาราวกับตื่นจากฝัน ดีดตัวขึ้นอย่างตกใจ และพูดไม่ขาดสาย “เจ้าอย่ามาแตะต้องข้า!”
มือของบริกรที่อยากจะช่วยเขาพยุงก็ดึงกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน ทุกคนยิ่งรู้สึกประหลาดใจ สายตาที่มองล้วนไม่หมือนเดิม
พอตระหนักได้ว่าท่าทางของตัวเองไม่เหมาะสม องค์ชายหกจึงกระเสือกกระสนปีนตัวลุกขึ้นมา สั่งกับบริกร “ช่วยยกน้ำมาให้ข้าสักหน่อย” แล้วกลับห้องของตัวเองไปอย่างรีบร้อน
ปิดประตูด้วยสติที่ยังไม่สงบนิ่ง ภายในสมองได้ยินเสียงคำพูดที่ในยินเมื่อครู่ “จวนเฮ่อโดนฆ่าล้างทั้งตระกูล จวนเฮ่อโดนฆ่าล้างทั้งตระกูล…”
ปู่ของตัวเองตายแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่า อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนล้วนรู้แล้ว ถ้าหากพวกเขารู้ว่าตนเป็นคนเสนอความคิดขึ้น ก็ต้องไม่ปล่อยไว้ด้วยแน่นอน ตัวเองก็รีบออกเดินทางเถอะ อย่างน้อยหลังจากที่ไปถึงถิ่นทุรกันดารก็จะปลอดภัยขึ้นบ้าง
คิดถึงตรงนี้ ก็เปิดประตูห้องออกอย่างแรง ขณะกำลังจะเดินออกไปด้านนอก ก็เกือบจะชนกับบริกรที่ยกน้ำมา
บริกรกล่าวขอโทษไม่ขาดสาย
องค์ชายหกไม่ได้พูดอะไร เขยิบกายออก เพื่อให้เขาเอาน้ำเข้าไปวาง แล้วจ้องเขม็งเขาให้ออกไป ถึงจะเอาศีรษะล้างเหงื่อไคลที่สกปรกอย่างรีบร้อนพักหนึ่ง จากนั้นถอดเสื้อนอกทิ้งอยู่บนพื้น คว้าเสื้ออีกชุดหนึ่งด้วยความลนลาน พร้อมจัดแจงสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่ได้เปิดออก แล้วจึงไปยังห้องด้านล่างอย่างลุกลี้ลุกลน เรียกคนรถ สั่งให้เขาเร่งเดินทางโดยเร็ว
คนรถแม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ก็ทำตามที่บอก ไปหลังเรือนแล้วขี่รถม้าออกมา และออกเดินทางอย่างฉุกละหุก
พวกโจวอันมองตากัน จึงคิดบัญชีค่าสุราและอาหาร แล้วตามไป
วิ่งออกไปหลายสิบลี้ในรวดเดียว ไปอีกไม่ไกลก็เป็นถิ่นทุรกันดารแล้ว ในใจขององค์ชายหกยินดียิ่ง เร่งคนรถให้ขับเร็วขึ้น และเร็วขึ้นอีก
คนรถสังเกตเห็นความผิดปกติจากท่าทางของเขา จึงยิ่งเพิ่มความเร็วรถขึ้นอีก
สายตาเห็นเส้นเขตแดนยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ในใจขององค์ชายหกก็สงบลงบ้างในที่สุด ขณะที่กำลังจะพ่นลมหายใจ ก็มีเสียงเท้าที่กำลังวิ่งของม้าพร้อมคลุ้งไปด้วยฝุ่นทรายดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ยังไม่ทันรอให้องค์ชายหกเห็นชัด ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนที่ปิดหน้าขี่ม้าเข้ามา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า และล้อมอยู่รอบรถม้าของพวกเขา
คนรถถูกบีบบังคับให้หยุดรถม้า มองพวกอย่างตระหนก กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงสั่นเครือ “พวก พวกเจ้าจะทำอะไร”
“ปล้น!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คนรถหันศีรษะมองที่องค์ชายหกอย่างเลิ่กลั่ก
องค์ชายหกกอดกระเป๋าผ้าในมือแน่น
ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะพูดเมื่อครู่แสยะยิ้ม ขี่ม้าเข้ามา แล้วยื่นมือออก “เอามา!”
องค์ชายหกกอดแน่นไม่ปล่อย ในนี้ไม่เพียงแต่มีตั๋วแลกเงินจำนวนมาก ยังมีตราประทับของตัวเองด้วย ถ้าหากให้พวกเขาไปแล้ว ตัวเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงหลักฐานเข้าไปในถิ่นทุรกันดารได้ และไม่ถูกข้าราชการท้องถิ่นนั้นยอมรับ
เห็นเขาไม่ปล่อย ชายฉกรรจ์ก็ร้อนใจ เอี้ยวตัวดึงดาบเล่มใหญ่ที่อยู่หลังม้าข้างหนึ่งออกมา แล้วฟันเข้าที่รถม้า เสียง ฉับ ดังขึ้น ห้องบนรถถูกแทงออกเป็นรูขนาดใหญ่ “หากยังไม่เอามาอีก ก็จะเอาชีวิตชั้นต่ำของพวกเจ้า!”
“องค์ องค์ชาย ตราบใดที่มียังมีชีวิต ก็ยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอกนะขอรับ ส่งให้พวกเขาเถิดขอรับ” น้ำเสียงของคนรถมีความอ้อนวอน
ดูท่าแล้วถ้าไม่ให้ก็คงหนีไม่รอดแล้ว องค์ชายหกจึงเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าผ้า แล้วเอาตราประทับของตัวเองออกมาเงียบๆ จากนั้นก็โยนกระเป๋าผ้าไปให้ชายฉกรรจ์ “เอาไป!”
จากนั้นก็อาศัยช่วงเวลาที่ชายฉกรรจ์รับกระเป๋าก็พุ่งตัวมาที่หน้าห้องบนรถม้าอย่างว่องไว แย่งบังเ**ยนในมือของคนรถ และฟาดลงอย่างแรง ม้าเจ็บปวด จึงวิ่งตะบึงไปด้านหน้า
คนรถไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกผลักล้มตกลงไปจนสายตาพร่ามัว เบื้องหน้าระยิบระยับเป็นดวงดาว
พวกชายฉกรรจ์ที่ปิดบังใบหน้าไม่ได้ลังเล ตามไป ไม่นานก็ตามรถม้าได้ทัน
องค์ชายหกก็ไม่ได้ไม่รู้ความ สายตาเห็นพวกเขากำลังตามมา ก็หยิบดาบเล่มใหญ่ที่เตรียมไว้อยู่บนรถม้าขึ้นมา แล้วฟันเชือกที่ยึดติดกับห้องรถม้าขาด จากนั้นกระโดดลอยตัวไปหลังม้า แล้วก้มตัวลงต่ำ กอดหลังม้าไว้แน่น มุ่งตะบึงไปยังเขตแดนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างบ้าระห่ำ
ถึงแล้ว อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะถึงแล้ว ความคิดในใจขององค์ชายยังไม่ทันสิ้น เงาของร่างหนึ่งที่ขี่ม้าก็ผ่านข้างกายเขาไป ลอยตัวกระโดดขึ้น เท้าหนึ่งถีบเขาลงจากหลังม้า
องค์ชายหกล้มกลิ้งกระดอนไปกับพื้น รีบปีนตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว และเร่งวิ่งไปทางชายแดนสุดชีวิต
ม้ากลุ่มหนึ่งก็ขวางตรงหน้าเขา ฝุ่นดินที่ล่องลอยบดบังทัศนวิสัยของเขา
องค์ชายหกปิดตาสนิทอย่างสิ้นหวัง แล้วเบิกตาขึ้นอีกครั้ง พูดเสียงเข้ม “ข้ารู้ว่าใครส่งพวกเจ้ามา เพียงแค่พวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้า…”
สีของเลือดก็กระเซ็นตรงหน้าเขา และพุ่งเข้าเต็มหน้าองค์ชายหก
หลังจากที่องค์ชายหกหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ถึงจะรู้สึกเจ็บปวด ก้มศีรษะลง เห็นหน้าอกตัวเองแหว่งเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่อย่างไม่เชื่อสายตา ยื่นมือชี้ชายฉกรรจ์ที่ปิดหน้าอยู่ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง กลับไม่มีโอกาสได้พูดออกมา ร่างกายก็ล้มลงไปด้านหน้าและดิ้นสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ขาดอากาศหายใจตายไป
ชายฉกรรจ์ที่ปิดบังใบหน้าลงจากม้า พลิกร่างของเขา หลังจากแน่ใจว่าเขาตายแล้วจริงๆ ถึงจะพยักหน้าให้คนอื่น จากนั้นกระโดดขึ้นขี่ม้า แล้วกลับทางเดิมไป เมื่อมาถึงตรงหน้าของคนรถ ก็หยิบดาบใหญ่ที่องค์ชายหกทิ้งไว้ที่พื้นเมื่อครู่ขึ้นมา แล้วจากไปโดยไม่แม้จะหันหน้ากลับมา
รอให้พวกเขาเดินไปไกลแล้ว คนรถถึงจะคืบคลานมาถึงข้างกายขององค์ชายหก เห็นรูโหว่ใหญ่ที่มีเลือดไหลซิบๆ ทะลักออกมาจากหน้าอกเขา ตัวเองก็แทบอยากจะตายตามไปด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนออกจากพระราชวัง กลับถึงจวนอ๋อง ก็สั่งพวกองครักษ์ลับไปพักผ่อน แล้วกลับเรือนของตัวเอง
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงขาวซีด นอนหลับตาสนิทอยู่บนเตียง พระชายาฉีฝืนแรงกายของตัวเองนั่งอยู่ข้างเตียง
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว และเห็นเขาเข้ามา พระชายาฉีก็อ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ถามออกมา เพียงแต่พูดว่า “เหนื่อยแล้วสินะ ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด”
“ข้าไม่เหนื่อยขอรับ แต่ท่านแม่สิ ไม่ได้นอนทั้งคืน ไปพักผ่อนเถิดขอรับ โยวเอ๋อร์น่ะ ให้ข้าเฝ้าก็พอแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
พระชายาฉีโบกมือขึ้นที่หน้าจมูกของตัวเอง พูด “เจ้าเนี่ยนะ ทั้งตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด โยวเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาต้องรับไม่ได้แน่ๆ เจ้าไปอาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดเสียก่อน ค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์ อย่าให้นางต้องมากังวลเพราะเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนเงียบ จ้องเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่นาน แล้วหันตัวเดินออกไป
พระชายาฉีถอนหายใจ
อาบน้ำสะอาดสะอ้านแล้ว สวมชุดที่ปกติเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าดูดี หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง
ไม่รอให้เขาพูด พระชายาฉีก็ลุกขึ้นยืน สั่งว่า “ดูโยวเอ๋อร์ให้ดี” แล้วก็ให้หลิงหลงพยุงตัวเองกลับที่เรือนของตนเพื่อไปพักผ่อน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเช่นนี้ ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่ฟื้น เวลานี้ตัวเองจึงจะสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกเป็นไม่ได้เป็นอันขาด จึงต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถึงจะมีแรงดูแลเมิ่งเชี่ยนโยวได้มากขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียง เปิดผ้าห่มบางๆ ที่ห่มอยู่บนกายของเมิ่งเชี่ยนโยวออกด้วยมือที่สั่นไหว เห็นหน้าอกที่มีผ้าพันหลายชั้น น้ำตาหยดใหญ่ๆ ก็ผล็อยออกมา บาดแผลใหญ่ขนาดนี้ แล้วยังจะพันอีกหลายชั้น ชัดเจนว่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ยังจะเข้าปะทะต่อสู้ด้วยชีวิตอีก แล้วจะไม่ทำให้เขาปวดใจ ไม่โทษตัวเองได้อย่างไร
ห่มผ้าห่มผืนบางให้ดีแล้ว ศีรษะก็แนบลงบนใบหน้าของนาง น้ำตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็หยดลงข้างแก้มของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดพึมพำด้วยเสียงที่ทุกข์ระทม “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์…”