ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 24-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 24-1 ไปเก็บหนี้ที่จวนท่านเสนาบดี
ปิ่นทองร่วงลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดัง “แพล้ง” ก่อนจะหลุดออกจากกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทุกคนในร้านตะลึง
เถ้าแก่ร้านอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าปิ่นทองจะหักไปทั้งแบบนี้
ฮูหยินใหญ่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ตาของนางเบิกกว้างและก้มมองไปที่มือของตนเองแบบอึ้งๆ
เป็นถ้าแก่ร้านมีปฏิกิริยาไวสุด เขาวิ่งออกจากชั้นวางอย่างรวดเร็วก่อนจะไปนั่งยองๆ อยู่ต่อหน้าเศษซากปิ่นอันนั้น พูดขึ้นด้วยความทุกข์ใจว่า “นี่…นี่คือปิ่นทองที่ช่างทำใช้เวลานานกว่าสามเดือนกว่าจะทำมันออกมาได้เชียวนะ แล้วมันก็หักไปทั้งแบบนี้ ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าควรจะรายงานกับเจ้านายอย่างไร?”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปากลง ขณะที่กำลังจะพูดบางอย่างออกไปกลับถูกเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเอาไว้ก่อน นางพูดกับเถ้าแก่ร้านไปว่า “ในเมื่อเราซื้อปิ่นทองอันนี้แล้วมันก็ถือว่าเป็นของเราแล้ว แม้ว่ามันจะหักไปแล้วก็ตาม ท่านก็ยังสามารถส่งคนไปเก็บเงินที่จวนอ๋องฉีได้ตามเดิม วางใจเถอะ”
เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้
เถ้าแก่ร้านแทบจะปล่อยโฮหลั่งน้ำตาออกมาในขณะนั้น เขากล่าวขอบคุณทั้งคู่ซ้ำๆ ด้วยความดีใจว่า “ขอบคุณซื่อจื่อ ขอบคุณแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้เขา “รบกวนเถ้าแก่ช่วยห่อปิ่นทองที่หักแล้วอันนี้ให้ข้าใหม่ที พวกเราจะเอามันกลับไปด้วย”
เถ้าแก่ร้านหยิบปิ่นทองที่หักแล้วอันนั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างระมัดระวัง เขาจัดมันใส่ลงในกล่องเครื่องประดับอีกครั้งแล้วส่งมันให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมารับมันไว้ จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับฮูหยินใหญ่ที่ยังคงงุนงงอยู่แล้วพูดว่า “นี่เป็นของขวัญที่อี้เซวียนมอบให้ข้า ในเมื่อมันถูกทำลายโดยท่านเช่นนั้นท่านก็ต้องรับผิดชอบ แต่เห็นแก่ที่ท่านเป็นท่านป้าแท้ๆ หวงฝู่อวี้ พวกเราจะไม่เอาความอันใด เพียงท่านจ่ายเงินทุกอย่างก็จบ”
ฮูหยินใหญ่เห็นว่านางทำเพิ่งปิ่นทองหักไป ก็เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะเอาความมีโทสะต่อนางเพราะเรื่องนี้ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใจคิดแอบดูถูกอีกฝ่ายในใจ “หญิงบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นหญิงบ้านนอกยังวันยังค่ำ ปิ่นที่ดีขนาดนี้หักไปแต่เพียงจ่ายเงินทุกอย่างก็จบ” จากนั้นก็พูดต่ออย่างไม่แยแสว่า “จ่ายก็จ่ายสิ เงินเล็กน้อยแค่นี้ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ยื่นมือออกไปก่อนจะพูดว่า “ในเมื่อฮูหยินใหญ่ร่ำรวยขนาดนี้ เช่นนั้นโปรดนำเงินออกมาด้วย”
ฮูหยินใหญ่ส่งสายตาให้กับสาวใช้คนสนิทครั้งหนึ่ง ไม่นานสาวใช้คนสนิทนางนั้นก็หยิบถุงใส่เงินออกมา
สาวใช้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเปิดถุงใส่เงินส่วนตัวของนางออกแล้วหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง
ฮูหยินใหญ่ถามออกไปว่า “เท่าไหร่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ห้าหมื่นตำลึงเงิน”
เสียงกรีดร้องของฮูหยินใหญ่แทบจะแทงทะลุแก้วหู “เท่าไหร่นะ?”
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวชักมือของนางกลับมาแล้วยกขึ้นนวดหูเบาๆ พูดออกไปอีกครั้งว่า “ห้าหมื่นตำลึงเงิน”
เสียงกรีดร้องของฮูหยินใหญ่ดังขึ้นไปอีกขั้น “เป็นไปไม่ได้!”
ครั้งนี้เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวมีการป้องกันไว้ก่อนแล้วจึงไม่ได้ถูกโจมตีโดยเสียงที่เต็มไปด้วยมลพิษของฮูหยินใหญ่ นางดันหวงฝู่อี้เซวียนให้ถอยหลังกลับไปอีกหลายก้าวแล้วกล่าวออกไปว่า “จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร?”
ฮูหยินใหญ่หันไปทางเถ้าแก่ร้านทันทีและถามด้วยโทสะว่า “เจ้าขายปิ่นทองอันนี้ให้พวกเขาเท่าไหร่?”
เถ้าแก่ร้านตกใจมากกับราคาที่เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งเรียกไป แต่หลังจากได้ยินคำถามจากปากของฮูหยินใหญ่แล้วเขาก็ตื่นตระหนก มองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างขอความช่วยเหลือ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางกล่าวว่า “เถ้าแก่ร้านเจ้าขายให้พวกเราเท่าไหร่ก็บอกไปตามตรงเถิดไม่ต้องปิดบัง ไม่อย่างนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปในภายหลังชื่อเสียงของร้านเจ้าจะเสียหายเอา”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้าให้นางด้วยความขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างระมัดระวังว่า “ฮูหยินใหญ่ ปิ่นทองอันนี้ร้านเราขายให้แม่นางไปในราคาห้าพันตำลึงเงินขอรับ”
ฮูหยินใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็โกรธมาก ตวาดด่าไปทันทีโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยว่า “นังเด็กสมควรตาย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าราคามันแค่ห้าพันตำลึงเงิน แต่เจ้ากลับบอกว่ามันมีราคาถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน เจ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หลอกเอาเงินจากข้าใช่หรือไม่ บอกได้เลยว่าอย่าได้ฝัน!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่กล่าวออกไปไม่รีบไม่ร้อน “ฮูหยินใหญ่ท่านผิดแล้ว ปิ่นทองอันนี้ราคาเดิมของมันอยู่ที่ห้าพันตำลึงเงินก็จริง แต่เนื่องจากว่ามันเป็นของขวัญที่ซื่อจื่อเลือกซื้อให้ข้าเองกับมือ ดังนั้นต่อให้เอาเงินมากองอยู่ตรงหน้าข้าก็ไม่คิดจะขาย น่าเสียดายที่มันถูกทำลายไปด้วยน้ำมือคนโดยเจตนาเสียแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมท่านถึงไม่สามารถจ่ายมันคืนในราคาเดิมได้ อันที่จริงนี่เพราะเห็นแก่หน้าหวงฝู่อวี้แล้วหรอกนะถึงได้เรียกเงินเพียงแค่ห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่อย่างนั้นจากห้าหมื่นข้าจะเก็บเป็นห้าแสนตำลึงเงินแทน”
“เพ้ย!” ฮูหยินใหญ่ถ่มน้ำลายใส่เมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนกับสตรีปากร้ายในตลาด “นังเด็กบ้านนอก เจ้าอยากได้เงินจนบ้าไปแล้วหรือ คิดหรือว่าอาศัยเพียงปากของเจ้าก็จะปล้นเงินจากข้าไปได้ถึงห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่ส่องกระจกดูบ้างเล่าว่าตัวเองมีสภาพไหน คู่ควรกับราคาห้าหมื่นตำลึงเงินหรือเปล่า”
ตอนนี้ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนมืดครึ้มยิ่งนัก เขาไม่อาจหักห้ามอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้วจึงตะโกนออกไปว่า “กัวเฟย!”
“ข้าน้อยอยู่ที่นี่แล้ว!”
“โยนนางออกไป!”
กัวเฟยขานรับเสียงดังว่า “ขอรับ ซื่อจื่อ” จากนั้นเขาก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาฮูหยินใหญ่อย่างรวดเร็ว
ฮูหยินใหญ่ถอยหลังกรูดไปด้วยความหวาดกลัว อุทานออกไปเสียงดังว่า “เจ้ากล้า!”
กัวเฟยต้องการลงมือจริงๆ
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเรียกหยุดเขาไว้ “กัวเฟย หยุดมือ!”
กัวเฟยหยุดแล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปคลี่คิ้วที่ผูกเป็นปมอยู่ของหวงฝู่อี้เซวียนออกด้วยความอ่อนโยน น้ำเสียงอบอุ่นบางเบากระซิบขึ้นที่ข้างหูว่า “ถ้าเราโยนนางออกไปใครที่ไหนจะมาจ่ายเงินห้าหมื่นตำลึงเงินแทนนางเล่า ถึงตอนนั้นนางหนีกลับจวนไป คิดจะไปเอาเงินคืนนึกเสียใจภายหลังก็สายเกินกาลแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยแสดงออกกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน พออยู่ๆ ถูกนางปฏิบัติด้วยแบบนี้ ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขึ้นสีแดงก่ำ การแสดงออกที่มืดมนบนใบหน้าของเขาสลายหายวับไปราวกับหมอกควัน เขายอมโอนอ่อนให้นางแต่โดยดี “ได้ ข้าฟังเจ้า”
กัวเฟยตกตะลึง
ฮูหยินใหญ่กัดฟันแทบอยากจะพุ่งขึ้นไปแล้วควักหัวใจของเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
เถ้าแก่ร้านยืนเฉยไม่กล้าพูดอะไร
ภายในร้านฉับพลันบังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
เมิ่งเชี่ยนโยวโหยวหันหน้ากลับไปอีกครั้งแล้วเอ่ยเร่งรัดออกไปว่า “ฮูหยินใหญ่ ข้ากับซื่อจื่อยังต้องไปเดินตลาดกันต่อ ไม่มีเวลาว่างมาเสียเวลาที่นี่หรอก ฉะนั้นแล้วได้โปรดส่งมอบเงินของท่านออกมาโดยเร็วที่สุด รีบๆ จ่ายจะได้รีบๆ จบกันไป วันหน้าให้ดีอย่าได้มาเจอกันอีกเลย”
ฮูหยินใหญ่กัดฟันจนแทบแหลกเป็นผุยผง ฝืนบังคับเปล่งเสียงลอดไรฟันออกไปว่า “ข้าจะให้แค่ห้าพันตำลึงเงินเท่านั้น ส่วนที่เหลือเจ้าอย่าได้หวัง”
“อย่างนั้นหรือ?” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบ
ฮูหยินใหญ่ตั้งท่าระวัง “เจ้าจะทำอะไร?”
“แน่นอนว่าต้องไปเก็บหนี้ที่จวนของท่านเสนาบดีอยู่แล้ว” หลังจากพูดจบ นางก็หันไปถามความเห็นจากอี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้อย่างร่วมมือ “นี่เป็นความคิดที่วิเศษมาก ข้าเชื่อว่าจวนของท่านเสนาบดีผู้มีเกียรติจะไม่ยอมเบี้ยวเงินอย่างแน่นอน”
ฮูหยินใหญ่ตกใจจนสติเตลิดไปหมดแล้ว ขืนมีคนมาทวงหนี้ถึงหน้าจวนจริงๆ ชื่อเสียงของจวนเสนาบดีมีหวังได้ป่นปี้หมดแน่ เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่คุณชายใหญ่เลย แม้กระทั่งท่านพ่อตาของนางก็คงไม่ยอมปล่อยนางไว้
บรรดาสาวใช้เองต่างก็หวาดกลัวกันมาก สาวใช้คนสนิทที่หยิบตั๋วเงินออกมารีบปรี่เข้าไปกระตุกชายเสื้อของนายหญิงตนเบาๆ กระซิบกล่าวไปด้วยเสียงค่อยว่า “ฮูหยินเจ้าคะ พวกเราเอาเงินให้พวกเขาเถิด ขืนพวกเขาไปเก็บหนี้ถึงหน้าจวนเสนาบดีจริงๆ คุณชายใหญ่ต้องพิโรธแน่”
ในใจของฮูหยินใหญ่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสยองขวัญ นางจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่หลังจากฟังคำของสาวใช้คนสนิทนางก็ตบหน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งฉาด “ยังต้องให้เจ้าช่วยเตือนหรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายใหญ่จะโกรธหรือเปล่า แต่เงินถึงห้าหมื่นตำลึงเงินเจ้าจะให้ข้าไปเอามาจากไหน ทรัพย์สินทั้งหมดของข้ารวมกันยังไม่ถึงห้าหมื่นตำลึงเงินด้วยซ้ำ เจ้าจะให้ข้าเอาปัญญาที่ไหนไปจ่าย”
สาวใช้คนสนิทยกมือขึ้นกุมแก้มที่ถูกตบแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก จากนั้นก็ถอยออกไปยืนด้านข้างอย่างเงียบๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเบาๆ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยการถากถาง “ที่แท้ภาพพจน์ร่ำรวยของฮูหยินใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ท่านเสแสร้งขึ้น”
ฮูหยินใหญ่หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างคับแค้นใจ ก่อนจะฝืนข่มกัดฟันแล้วพูดออกไปอย่างดิ้นรนว่า “ข้าให้ได้มากที่สุดแค่หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น เรื่องนี้ให้จบลงไปเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวปฏิเสธ “ห้าหมื่นตำลึงเงินก็คือห้าหมื่นตำลึงเงิน ไม่สามารถน้อยไปกว่านี้ได้”
ฮูหยินใหญ่คุ้นเคยกับการถูกยกย่องเอาอกเอาใจจากบรรดาผู้คนโดยรอบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไหนเลยจะเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ ทั้งที่นางยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวแล้วแต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังบีบคั้นไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม สุดท้ายหัวใจของนางก็ถูกความโกรธเข้าครอบงำจนหมด ข่มขู่ออกไปอย่างไม่สนอะไรอีกแล้วว่า “นังเด็กสมควรตาย คิดว่ามีคนสนุนหลังเจ้าแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรือ ให้หน้าแล้วยังไม่ยอมรับ ทำให้ข้าโกรธมากเข้า ระวังว่าแม้แต่ลูกชายเจ้าก็จะไม่มีวันได้อุ้ม”
อารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนจมดิ่งลงอีกครั้ง เขาสั่งออกไปทันทีด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “กัวเฟย โยนนางออกไป!”
คราวนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้หยุดยั้งเขาไว้อีก