ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 264 จากนี้ไปเราไม่รู้จักกัน
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 264 จากนี้ไปเราไม่รู้จักกัน
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว ตั้งแต่ที่เขามาโรงงานแห่งนี้ นอกจากบ้านท่านโหวที่เคยมาหาเรื่องแล้ว ก็ไม่มีใครมาหาเขาอีกเลย เขาจึงถามขึ้นว่า “ทางนั้นบอกชื่อไหม”
คนส่วนใหญ่ในเป่ยเฉิงไปทำงานนอกเมืองกันหมดแล้ว ในเมืองไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทหารผู้บังคับบัญชาโต้ว จึงสั่งให้ทหารลาดตระเวนเฝ้าหน้าประตูโรงงาน ตรวจคนเข้าออกให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันผู้ประสงค์ร้าย คนที่เข้าออกโรงงานจึงต้องแจ้งชื่อสกุลของตน หลังจากได้รับอนุญาตจึงสามารถเข้าไปได้ เมื่อได้ยินหวงฝู่อวี้ถาม ทหารก็ตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า “บอกว่าเป็นคุณหนูจวนราชเลขาขอรับ”
หวงฝู่อวี้คิ้วขมวดเป็นปม ครั้งที่แล้วที่เจอในจวนท่านแม่ทัพ เขายังจำอากัปกิริยาของหลินหันเหยียนได้ดี ถึงแม้เขาจะเป็นคนไม่เอาถ่านไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าคำพูดของฮูหยินหลินหมายถึงอะไร นางรังเกียจสถานะของเขา แต่ตอนนี้หลินหันเยียนกลับมาหาเขา ก็ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งว่า “ไปบอกคุณหนูหลินว่า สถานะของข้าตอนนี้ไม่คู่ควรออกไปเจอนาง ต่อไปได้โปรดอย่ามาอีกเลย”
ทหารตกใจมองเขาแวบหนึ่ง แล้วรีบขานรับเดินออกไป
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปในโรงงานเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรวจดูคนงานที่กำลังทำงานต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทหารก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เดินมาหาเขา “คุณชายรองขอรับ คุณหนูท่านนั้นไม่ยอมกลับไป บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านขอรับ”
รถม้าที่หลินหันเยียนนั่งประจำนั้นหรูหราโอ่อ่า ตอนนี้จอดอยู่หน้าโรงงาน ต้องกลายเป็นที่สังเกตและการคาดเดาของผู้คนไม่มากก็น้อย หวงฝู่อวี้ได้แต่เดินออกไปอย่างจนปัญญา
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างหน้าโรงงาน สาวใช้สองสามคนที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเห็นหวงฝู่อวี้ออกมา หนึ่งในสาวใช้สองสามคนนั้นก็ถอนสายบัวคารวะ “คุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร เดินตรงไปที่ข้างรถม้าทันที
สาวใช้หันหน้าไปทางรถม้ารายงานว่า “คุณหนู คุณชายรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
ม่านรถไม่ได้ถูกเปิดออก เสียงของหลินหันเยียนดังออกมาจากรถม้าที่แน่นหนาว่า “พี่อวี้ มีเวลาว่างไหมเจ้าคะ เราไปที่อื่นกันเถอะ เหยียนเอ๋อร์มีเรื่องอยากคุยกับพี่เจ้าค่ะ”
แม้เสียงของนางยังคงใสแจ๋วเหมือนเดิม แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าในน้ำเสียง
หวงฝู่อวี้สัมผัสได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอย่างเคย พูดอย่างนิ่งเรียบว่า “คุณหนูหลิน มีอะไรก็พูดตรงๆ เถอะ ตอนนี้โรงงานยุ่งมาก ข้าไม่มีเวลาไปจิบชาคุยกับเจ้าหรอก”
ในรถม้าไม่มีเสียงอีก ผ่านไปนานกว่าเสียงที่แฝงไปด้วยความลำบากใจของหลินหันเยียนจะดังออกมา “พี่อวี้ พี่ยังโกรธที่เยียนเอ๋อร์ทำไม่ดีต่อพี่ใช่ไหมเจ้าคะ”
“คุณหนูหลินคิดมากไปแล้วล่ะ เจ้าเป็นถึงคุณหนูแห่งบ้านราชเลขา แต่ข้าอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ไม่แน่วันไหนอาจจะถูกพี่ใหญ่ พี่สะใภ้ไล่ลูกเมียน้อยอย่างข้าออกจากจวนไปก็ได้ เราสองคนต่างกันราวฟ้ากับดิน ข้ามิบังอาจโกรธเจ้าหรอก แต่เพราะโรงงานยุ่งมากจริงๆ ข้าในฐานะผู้ดูแล จะหายไปอย่างไม่มีเหตุไม่มีผลไม่ได้ คุณหนูหลินโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด”
หลินหันเยียนพูดเสียงสั่นเครือว่า “พี่อวี้ ครั้งที่แล้วน้องไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แม่ของน้องคุมน้องอย่างเข้มงวด ที่น้องไม่พูดกับพี่ ก็เพื่อพี่ทั้งนั้น พี่ต้องเข้าใจความลำบากใจของน้องนะ”
น้ำเสียงของหวงฝู่อวี้แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “คุณหนูหลินเข้าใจผิดแล้วล่ะ สำหรับเรื่องครั้งที่แล้วนั้น ข้าไม่ได้ใส่ใจเลย มีเรื่องอะไรเจ้าก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
ไม่มีเสียงดังออกมาจากในรถม้าอีก
“หากคุณหนูหลินไม่มีธุระอันใดแล้ว โปรดกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนสถานะอย่างเจ้าควรมา” พูดจบ ก็หันหลังเดินกลับไปโรงงานอย่างไร้เยื่อใย
เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปของเขา เสียงร้อนใจของหลินหันเยียนก็ดังขึ้นจากรถม้าว่า “พี่อวี้ ท่านแม่หมั้นหมายให้น้องแล้วเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ชะงักฝีเท้า หันหลังกลับ น้ำเสียงนิ่งเรียบคงเดิมว่า “ยินดีกับคุณหนูหลินด้วย”
น้ำเสียงหลินหันเยียนตื่นตระหนกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ตนไม่คาดคิด “พี่อวี้ เราโตมาด้วยกันนะ พี่ปกป้องน้องมาตลอด น้องคิดว่าพี่…”
“คุณหนูหลิน!” น้ำเสียงหวงฝู่อวี้หนักแน่นกว่าเดิม “เราอยู่ข้างนอก เจ้าน่าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรพูด ตอนนี้ข้าอยากบอกเจ้าแค่อย่างเดียว ไม่ว่าแต่ก่อนเป็นอย่างไร ต่อจากนี้ไปข้าและเจ้าเป็นเพียงคนไม่รู้จักกัน โปรดกลับไปเถอะ”
พูดจบ ก็หันหลังอีกครั้ง เดินสาวเท้าเข้าไปในโรงงาน
ในรถม้าไม่มีเสียงอะไรอีก
สาวใช้และคนขับรถม้ามองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ผ่านไปนาน ในรถยังคงเงียบ สาวใช้ที่คารวะหวงฝู่อวี้เมื่อครู่จึงพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “คุณหนู เรา…”
หลินหันเหยียนพูดขึ้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เนื่องจากหมดพลังงานไปกับการรวบรวมความกล้าเมื่อครู่นี้ “ไปเถอะ…”
เมื่อได้รับคำสั่ง คนขับรถม้าก็สะบัดบังเ**ยน หันหัวม้ากลับ แล้วมุ่งไปทางตงเฉิง
หวงฝู่อวี้รอจนรถม้าจากไปไกล จึงค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังประตู มองรถม้าที่จากไปไกลด้วยสีหน้าเจ็บปวด
เสี่ยวซือมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ เขาเม้มปากและคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับไปที่ห้องทำงานของตน เพื่อเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ จากนั้นก็ยื่นให้ทหารนายหนึ่งที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู โดยที่หวงฝู่อวี้ไม่ทันสังเกตเห็น และให้ทหารส่งไปที่จวนอ๋อง
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเพราะความหิว เมื่อนางลืมตาขึ้นแสงแดดก็สาดส่องเข้ามาในห้องแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว นางกะพริบตาถี่ ร่างกายอ่อนล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นนั่ง แล้วเพิ่งคิดถึงเหตุการณ์รักๆ ใคร่ๆ เมื่อเช้าได้ เมื่อนึกถึงความกล้าหาญที่ตนได้ทำลงไปนั้น ใบหน้าก็พลันร้อนฉ่าขึ้นมา
นางนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม รอจนใบหน้าแดงก่ำของตนจางหายไป แล้วตะโกนออกไปข้างนอกว่า “ชิงหลวน!”
ชิงหลวนขานรับแล้วเดินเข้ามา
“ซื่อจื่อล่ะ”
“ซื่อจื่อไปทำข้ามต้มให้นายหญิงทานเจ้าค่ะ นายหญิงมีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยให้พวกนางทำเรื่องเหล่านี้เลย นางจึงโบกมือ พูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าหยิบเสื้อใน**บให้ข้าหน่อย ข้าใส่เองได้”
ชิงหลวนหยิบเสื้อเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาวางบนข้างเตียง
ลำตัวที่อยู่ใต้ผ้าห่มของเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นเปลือยเปล่า นางจึงไม่อยากให้ชิงหลวนเห็น สั่งว่า “เจ้าออกไปเถอะ ข้าใส่เองได้”
ชิงหลวนนิ่ง “ซื่อจื่อสั่งไว้ว่า หลังจากนายหญิงตื่น ต้องให้ข้าน้อยช่วยสวมเสื้อให้ท่านเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าใส่เองได้ เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะเรียกเจ้าเองหากมีอะไรให้ช่วย”
ชิงหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ ลุกนั่งขึ้น กำลังจะสวนเสื้อผ้า ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ “ข้าสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า…” เมื่อเห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน คำติเตียนที่กำลังจะพรั่งพรูออกมาก็กลืนลงไปหมด
“ตื่นแล้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนยกข้าวต้มและกับข้าวเดินเข้ามาแล้วยิ้มถามขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงผ้าห่มลงไปบริเวณลำคอ ยิ้มมองเขา พูดหยอกล้อว่า “ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่รู้สึกตัวเลย”
“ตื่นตั้งแต่ฟ้าสางแล้ว เห็นเจ้าหลับสบายอยู่ ไม่อยากรบกวนเจ้า ก็เลยไปทำข้าวต้มที่ห้องครัว เจ้าหิวหรือยัง” ขณะที่เขาพูด ก็วางถาดอาหารลง เดินไปข้างเตียง หยิบเสื้อที่วางอยู่ขึ้นมา เตรียมจะช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวใส่เสื้อผ้า
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ข้าใส่เองเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเนื้อตัวนางเปลือยเปล่า และก็กลัวว่าตนจะทนไม่ได้ จึงไม่ได้คัดค้านอะไร เขาหันหลังกลับ เดินไปข้างนอก แล้วสั่งให้ชิงหลวนนำน้ำเข้ามา
เมื่อส่งน้ำเข้ามาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดี นางลงจากเตียง เดินไปข้างอ่างน้ำ ล้างหน้าทำความสะอาดเสร็จก็รีบนั่งลงกินข้าวทันที “ข้าหิวจะตายแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงหิวขนาดนี้” ภพชาติที่แล้วที่เคยฝึกในค่าย แม้ไม่ได้กินข้าวหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไม่รู้สึกหิวทรมานเช่นนี้
“แม่บอกแล้วว่าคนมีครรภ์เป็นแบบนี้กันหมด” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยข้าวต้มขึ้นทานไปหนึ่งคำ “หอมจัง อร่อยกว่าที่แม่ทำอีก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หวงฝู่อี้เซีวยนก็ดีใจมาก พูดว่า “อร่อยก็กินเยอะหน่อย ข้าให้คนเก็บกวาดครัวเล็กแล้ว ทำให้เจ้ากินได้ตลอดเลยนะ”
“อื้ม” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างพึงพอใจ แล้วกินข้าวต้มต่อ
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งลง คีบกับข้าวใส่จานใบเล็กให้นาง เสียงชิงหลวนดังขึ้นจากด้านนอก “นายหญิง มีทหารส่งจดหมายมา บอกว่าผู้ดูแลโรงงานเป็นคนส่งมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่กินข้าวอยู่ก็หยุดกึก หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “เอาเข้ามา”
ชิงหลวนเดินถือจดหมายเข้ามา ส่งให้หวงฝู่อี้เซวียน
“ต่อไปไม่ว่าเรื่องอะไรให้รายงานข้า ห้ามรายงานโยวเอ๋อร์อีก” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
ชิงหลานขานรับ แล้วเดินถอยออกไป
“ให้เบี้ยอัฐทหารนายนั้นหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น หลังจากกลืนข้าวต้มไปคำหนึ่ง
ชิงหลวนขานรับอีกครั้ง แล้วเดินถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนเปิดจดหมาย อ่านเนื้อความทั้งหมด แล้วขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
“หลินหันเยียนไปหาอวี้เอ๋อร์ที่โรงงานมา”
หากหวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดถึง เมิ่งเชี่ยนโยวคงลืมไปแล้วว่ามีนางคนนี้อยู่ด้วย เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็ถามขึ้นว่า “ไปหาอวี้เอ๋อร์ที่โรงงาน จวนหลินเกิดอะไรขึ้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัว “ไม่ทราบ เสี่ยวซือเป็นคนเขียนจดหมาย เขาอยู่ไกลเกินไป ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันไม่ชัด บอกแค่ว่าเห็นคุณหนูหลินไม่ได้ลงจากรถม้า อวี้เอ๋อร์ก็แค่ยืนคุยกับนางเพียงสองสามประโยค”
เขาพูดจบก็สั่งข้างนอกว่า “โจวอัน!”
โจวอันขานรับจากลานบ้าน “ขอรับ ซื่อจื่อ!”
“ไปสืบมาหน่อย ช่วงนี้จวนหลินเกิดอะไรขึ้น”
โจวอันรับทราบ จากไปอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนหยิบตะเกียบขึ้นอีกครั้ง คีบกับข้าวให้เมิ่งเชี่ยนโยว เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อยก็รู้สึกชื่นมื่นใจ
เมื่อกินข้าวเสร็จ ก็สั่งคนมาเก็บถ้วยเก็บตะเกียบ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ตอนนั้นที่ให้อวี้เอ๋อร์ไปโรงงาน ก็หวังให้เขาได้ฝึกทำงานบ้าง ตอนนี้เขารู้จักรับผิดชอบแล้ว ถึงเวลาให้เขากลับมาจัดการดูแลงานในจวนแล้วล่ะ”
“ตอนนั้นที่เฮ่อจางทั้งบ้านถูกสังหาร เสด็จลุงประทานทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจวนเฮ่อให้ เพื่อลบล้างความโกรธของข้าและเสด็จพ่อ ตอนนั้นข้าให้คนจดรายการไว้หมดแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อในวันใดวันหนึ่งมอบให้อวี้เอ๋อร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้รอเขากลับมาแล้วข้าจะมอบให้เขาเลย แล้วก็ไม่ต้องให้เขาไปโรงงานอีกแล้ว ให้มาดูแลทรัพย์สินที่ดิน และร้านรวงแทน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเจ้าค่ะ เจ้าบอกเขาไปเลยว่า สิ่งของเหล่านี้ควรเป็นทรัพย์สินของเขาอยู่แล้ว หากเขาดูแลได้ดี ก็จะเป็นของเขาทั้งหมด แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ไล่เขาไปเป็นขอทานเสีย”
หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะ ยื่นมือไปแตะปลายจมูกนางเบาๆ “เจ้าน่ะ ปากอย่างใจอย่าง เป็นคนดีแท้ๆ แต่ชอบทำให้ตัวเองเป็นคนเลว”
เสียงชิงหลวนดังขึ้นจากลานบ้าน “ฮูหยินทั้งสาม พวกท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“โยวเอ๋อร์ตื่นหรือยัง”
“ตื่นแล้วเจ้าค่ะ เพิ่งทานข้าวไป ซื่อจื่อกำลังคุยกับนางในห้องเจ้าค่ะ”
ขณะที่คุยกันอยู่ทุกคนก็เดินมาถึงหน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน แล้วทุกคนก็เดินเข้าไป
“แม่ ซ้อใหญ่ ซ้อรอง” เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนยิ้มพลางเรียกพวกเขา
ทั้งสามยิ้มตอบ เมิ่งชื่อพูดว่า “ข้าอยากมาตั้งนานแล้ว แต่พี่ใหญ่เจ้าบอกว่าเจ้าสองคนยังไม่ตื่น พูดยังไงก็ไม่ยอมให้ข้ามาแต่เช้า”
“ข้าเพิ่งตื่นไม่นาน อี้เซวียนทำข้าวเช้าให้ข้ากินแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ
ใบหน้าเมิ่งชื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข
เส้าเอ๋อร์กางแขนวิ่งมุ่งไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว เซิ่งเอ๋อร์ก็ไม่ยอมวิ่งตามหลังมา “กูกู!”
เมิ่งเชี่ยนยิ้มตอบ
เมิ่งชื่อรีบกันเด็กสองคนไว้ “พ่อคุณทูนหัว ตอนนี้กูกูของพวกเจ้าแตะต้องไม่ได้เลยนะ”
เส้าเอ๋อร์หกขวบแล้ว เมื่อถูกเมิ่งชื่อห้ามไว้ ก็ไม่เข้าใจ เงยหน้าน้อยๆ ของตนขึ้นถามเมิ่งชื่อว่า “ท่านย่า ทำไมแตะตัวกูกูไม่ได้ขอรับ”
เซิ่งเอ๋อร์ที่ยังเล็กอยู่กลับไม่ยอม ใช้มือดึงรั้นเมิ่งชื่อ พูดเสียงออดอ้อนว่า “กูกู กอดกอด”
หวังเยียนรีบอุ้มเขา
เมิ่งชื่ออธิบายให้เส้าเอ๋อร์ฟังว่า “เพราะว่าในท้องของกูกูมีเด็กน้อยแล้วจ๊ะ”
เส้าเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรู้เรื่อง “ข้ารู้แล้วขอรับ ต่อไปข้าไม่แตะท้องกูกูแล้วขอรับ”
เมื่อเซิ่งเอ๋อร์เห็นเส้าเอ๋อร์พยักหน้า เขาก็พยักหน้าตาม “ข้าก็ไม่แตะท้องกูกูเหมือนกัน”
ทุกคนในห้องหัวเราะ
พระชายาฉีเดินเข้ามาถึงลานบ้านก็ได้ยินเสียงหัวเราะรื่นเริงดังมาจากในห้อง นางจึงเร่งฝีเท้า ไม่ได้ให้ชิงหลวนเข้าไปรายงาน ก็เดินเข้ามาทันที
เมื่อทุกคนเห็นก็รีบคารวะ พระชายาฉีโบกมือ “คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น มารยาทพวกนี้ก็ละไว้เถอะ”
เส้าเอ๋อร์และเซิ่งเอ๋อร์เรียกอย่างมีมารยาทว่า “ท่านย่า”
พระชายาฉีดีใจ ยิ้มตอบเสียงสูงว่า “ต่อไปน่ะ พวกเจ้าไม่ต้องไปแล้ว อยู่จวนอ๋องนี่แหละ ที่นี่จะได้ครื้นเครงหน่อย”