ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 27-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 27-1 ไม่ยอมเป็นอนุโดยเด็ดขาด
จะคิดบัญชีย้อนหลังหรือ เฮ่อจางตกตะลึง
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งตกใจจนเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว
อ๋องฉีไม่กล่าวอะไรอีก นั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าอึมครึม ปล่อยไอสังหารอันน่าครั่นคร้ามออกทั่วทั้งร่าง
ในปีนั้นเฮ่อจางก็เป็นผู้ที่อยู่ในการแย่งชิงอำนาจในวังหลวง จึงเห็นไอสังหารที่อ๋องฉีปล่อยออกมาเช่นนี้ ต่อมาบ้านเมืองสงบสุข อ๋องฉีก็มีท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนมีมารยาทต่อผู้คนมาโดยตลอด จนทำให้เขาค่อยๆ ลืมท่าทางที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้านี้ ที่เคยขี่ม้านำกองนับหมื่นนับแสนสังหารผู้ที่โอบล้อมอยู่ด้านนอก สังหารองค์ชายห้า แล้วช่วยเหลือฮ่องเต้กับไทเฮาองค์ปัจจุบันออกมาได้ จนถึงบัดนี้เขายังจำภาพที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด แววตาทั้งคู่แดงฉานราวกับกำลังกระหายเลือด
เฮ่อเหลี่ยนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถูกไอสังหารกดดันจนร่างทั้งร่างแทบจะอ่อนยวบลงไป จนเกือบจะล้มกองลงไปกับพื้น
อย่างไรเฮ่อจางก็มีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดี หลังจากที่ตกใจแล้วไม่นานก็สงบลงได้ ยกมือสองข้างขึ้นประกบอย่างคำนับพร้อมกับกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านอ๋องคิดมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้เป็นเพียงความริษยาของสตรีอย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวกับผู้ใดเลย”
อ๋องฉีมองเขาอย่างดุร้าย
ในตอนที่เฮ่อจางทนสายตาคู่นั้นแทบไม่ไหว กำลังคิดจะเปลี่ยนประเด็น อ๋องฉีจึงกล่าวขึ้นว่า “ขอให้เป็นอย่างที่เสนาบดีกล่าว ถ้าหากข้าทราบว่ามีใครบังอาจวางแผนทำร้ายเซวียนเอ๋อร์แล้วล่ะก็ ข้าไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
คำพูดนี้เป็นการตักเตือนอย่างเปิดเผย มีหรือที่เฮ่อจางจะไม่เข้าใจ แล้วจึงหัวเราะฮ่าๆ กลบเกลื่อนขึ้น พร้อมกับสั่งพ่อบ้านว่า “พ่อบ้าน ไปห้องบัญชีเอาเงินมามอบให้ซื่อจื่อหนึ่งแสนตำลึง”
พ่อบ้านขานรับคำสั่ง แล้วก็รีบวิ่งออกจากประตูไป เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหมวกบนหน้าผาก ไปถึงห้องบัญชีแล้วหยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งแสนออกมา แล้วส่งให้หวงฝู่อี้เซวียนด้วยความเคารพนบนอบ “ซื่อจื่อ นี่ตั๋วเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง เชิญท่านตรวจตรา”
หวงฝู่อี้เซวียนรับตั๋วเงินมาแล้วมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่จำเป็น ข้าไว้ใจท่านเสนาบดีได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาโดยไม่ลังเล แล้วก็เก็บไว้ในแขนเสื้อของตนเอง
เฮ่อจางมีสีหน้าปั้นยาก
สีหน้าของอ๋องฉีก็รู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่เพียงปรายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใด
เฮ่อเหลี่ยนใจเสีย สายตาจ้องมองแขนเสื้อของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่วางตา แทบจะอยากเข้าไปแย่งคืนมาจากนางเดี๋ยวนั้นเลย
พอเงินถึงมือเรื่องก็จบได้อย่างง่ายดาย
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับเฮ่อจางอย่างมีมารยาท แล้วกล่าวชนิดที่คนได้ฟังต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่า “ท่านเสนาบดี ข้าขอขอบพระคุณเงินของท่านแทนองครักษ์ประจำจวนเหล่านั้น ต่อไปหาพบกันอีกจะต้องให้พวกเขาขอบพระคุณท่านแน่นอน หากท่านไม่มีเรื่องใดแล้ว พวกเราก็ขอลาก่อน”
เฮ่อจางรู้สึกเหมือนมีก้อนคาวๆ ที่กำลังจะทะลักออกมาจากลำคอ กลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะกระอักเลือดออกมา แล้วก็แสร้งทำเป็นยิ้มแล้วก็รีบหุบยิ้มลง ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว เพียงแต่โบกมือให้กับหวงฝู่อี้เซวียน บอกเป็นนัยๆ ว่าให้เขาไปได้แล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไปกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ ท่านจะออกไปพร้อมกับลูกหรืออยู่รำลึกความหลังกับท่านเสนาบดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวลาเฮ่อจางว่า “ท่านเสนาบดี ในเมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วข้าก็ขอลาก่อน”
เฮ่อจางแทบจะอยากไล่ให้เขารีบออกไป กล่าวขึ้นมาทันควันว่า “ท่านอ๋องเดินทางดีๆ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงลอบยิ้ม
อ๋องฉีก้าวเดินอาดๆ ออกไปก่อน หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลางไปติดๆ
เฮ่อจางเดินออกไปส่งพวกเขาทั้งสามคนด้วยตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขององครักษ์ประจำจวนของตัวเอง กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านเสนาบดีมีเมตตา ไม่เพียงแต่ไม่ซักไซ้หาความรับผิดชอบจากพวกเจ้า แต่ยังเห็นแก่ความลำบากของพวกเจ้า โดยมอบเงินให้ไม่น้อย ยังไม่รีบขอบคุณท่านเสนาบดีอีก”
องครักษ์ที่ไม่ได้บาดเจ็บต่างก็ยกมือขึ้นมาประกบอย่างคำนับ พร้อมกับกล่าวขอบคุณอย่างสะเทือนฟ้าว่า “ขอบคุณท่านเสนาบดี!”
เฮ่อจางทนไม่ไหวอีกแล้ว ไม่ได้กล่าวอำลาอ๋องฉีก็รีบหมุนตัวเดินกลับเข้าจวนไป แล้วกระอักเลือดออกมาคำโต
พ่อบ้านสะดุ้ง กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ “นายท่าน!”
อ๋องฉีได้ยินเสียงตื่นตระหนกก็ชะงักฝีเท้าไปพักหนึ่ง จากนั้นก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไรแล้วเดินกลับไปที่ม้าของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วโป้งให้หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง
หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือขึ้น แล้วก็สั่งองครักษ์ประจำจวนว่า “กลับจวน!”
องครักษ์ประจำจวนต่างก็ขานรับคำสั่ง แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับไปยังจวนอ๋องฉีอย่างเป็นระเบียบ
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้เดินขนาบข้างของหวงฝู่อวี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยว
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับอ๋องฉีว่า “ท่านพ่อ ข้ากับโยวเอ๋อร์ยังมีเรื่องต้องทำ ขอ…”
ยังพูดไม่จบดีอ๋องฉีก็พูดขัดขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง ไปพูดคุยกันที่จวนอ๋องฉีสักประเดี๋ยวเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนตกตะลึง รีบเดินขึ้นไปจวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ “ท่านพ่อ วันนี้โยวเอ๋อร์ยังมีธุระต้องไปทำ วันหน้าหากมีเวลาค่อยไปจวนอ๋องเถิด”
อ๋องฉีไม่ได้ตอบอะไร มองทางด้านเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจากนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร่างพราว “หม่อมฉันต้องการไปเยี่ยมท่านอ๋องนานแล้วเพคะ แต่จะทำอย่างไรได้ท่านอ๋องมีงานมากมาย เมื่อได้พบกันทั้งที ในเมื่อท่านมีเวลา ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอรบกวนแล้ว”
อ๋องฉีพยักหน้า แล้วกระโดดขึ้นม้าควบกลับไปยังจวนอ๋อง
จนกระทั่งเขาออกไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็เรียกนางด้วยความกระวนกระวายใจ “โยวเอ๋อร์!”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าทำให้เกิดเรื่องบานปลายเพื่อข้าเช่นนี้ อ๋องฉียังไม่ไปคิดบัญชีกับข้าถึงบ้านก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ข้าต้องได้เผชิญหน้าอยู่ดี เร็วไปหนึ่งวันหรือช้าไปหนึ่งไม่มีอะไรแตกต่างเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ไม่แตกต่างอย่างไรเล่า รอให้ข้าคิดหาวิธียกเลิกการแต่งงานได้ก่อน ท่านพ่อก็จะไม่มีข้ออ้างมาเหนี่ยวรั้งข้าไว้ ตอนนี้ยังไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำอะไรเจ้าก็เป็นได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นมาคลายปมของคิ้วที่เขาขมวดอยู่ กล่าวปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้มว่า “สี่ปีก่อน ที่เขาโกรธแค้นสุดชีวิตก็ทำอะไรข้าไม่ได้ วันนี้ก็เช่นเดียวกันไม่ทำอะไรข้าอยู่แล้ว นอกจากคำตักเตือนเท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้ายอมรับเจ้าแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่ทำให้ข้าหวั่นไหวได้”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก แล้วก็ไม่ได้กล่าวยับยั้งอีก จูงมือนางขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วสั่งให้เหวินเปียวขับรถม้ากลับจวนอ๋อง
กัวเฟยกับหวงฝู่อี้มองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วก็เดินตามหลังรถม้าไป
เหวินเปียวขับรถม้ากลับจวนอ๋องฉีอย่างไม่รีบร้อนไม่ช้าไม่เร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เอื้อมมือไปประคองเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา แล้วทั้งสองก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้าไปในจวนอ๋อง จนมาถึงเรื่อนส่วนตัวของอ๋องฉี
อ๋องฉีกลับมาถึงจวนอ๋องก่อน แล้วสั่งคนรับใช้ไว้ว่า “อีกสักครู่ให้แม่นางเมิ่งเข้ามาเพียงคนเดียว ให้เซวียนเอ๋อร์ไปรอที่เรือนของเขา”
คนรับใช้ขานรับคำสั่งด้วยความนอบน้อม จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงเรืองอ๋องฉี แล้วก็ขวางหวงฝู่อี้เซวียนให้อยู่ข้างนอก กล่าวด้วยความเคารพว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องสั่งว่าให้แม่นางเมิ่งเข้าไปเองคนเดียวขอรับ”
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอึมครึม หรี่ตามองคนรับใช้ด้วยสายตาอันคมกริบ
แม้คนรับใช้จะหวาดกลัว แต่กลับขวางทางเขาไว้เช่นเดิม ไม่ยอมให้เขาเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาหว่านล้อมเขาเสียงนุ่มว่า “เขาเป็นเพียงคนรับใช้ เจ้าอย่าทำให้เขาลำบากใจเลย เชื่อฟังท่านอ๋องเถอะ เจ้าไปรอที่เรือนก่อน อีกสักครู่ข้าก็จะตามไป”
หวงฝู่อี้เซวียนละสายตาจากเขาแล้วหันมามองหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มให้เขาสบายใจ แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปในเรือน
สาวใช้ยืนรายงานอยู่หน้าประตูว่า “ท่านอ๋อง แม่นางเมิ่งมาแล้วเพคะ”
อ๋องฉีส่งเสียงดังออกมาว่า “ให้นางเข้ามา”
สาวใช้เปิดประตูม่านด้วยความระมัดระวัง แล้วก็เชิญเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง แล้วสอดส่ายสายตาภายในห้องแวบหนึ่ง เห็นภายในห้องนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเตียงตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง บนเตียงมีทั้งหมอนทั้งผ้าห่มครบครัน มีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง บนโต๊ะมีทั้งแท่นหมึก กระดาษ พู่กัน มองปราดเดียวก็รู้ว่ามักมีคนฝึกเขียนอักษรอยู่เป็นประจำ ตรงกลางห้องยังมีโต๊ะตัวหนึ่งกับตั่งไม้ที่วางอยู่หลายตัว และอ๋องฉีกำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้มองมาที่นางอยู่
นางเดินเข้าไปหลายก้าว จนมาหยุดอยู่ข้างหน้าของอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวยอบกายลงคารวะ “คารวะท่านอ๋องเพคะ!”
อ๋องฉีชี้ไปยังตั่งอีกตัวหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางเมิ่งไม่จำเป็นต้องมากพิธี นั่งลงคุยกันเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวขอบคุณแล้วนั่งลงบนตั่งไม้อย่างเรียบร้อย