ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 27-2
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 27-2 ไม่ยอมเป็นอนุโดยเด็ดขาด
อ๋องฉีก็ไม่พูดจาอ้อมค้อม กล่าวตรงประเด็นว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเองก็ทราบดีว่าที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้มีจุดประสงค์ใด เรามาคุยกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเถิด ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่พ่อแม่ขอเจ้ารับเลี้ยงเซวียนเอ๋อร์ และดูแลจนเขาเติบโตขึ้นมาได้ และต้องขอบคุณเจ้าที่ทำทุกอย่างเพื่อเขา อีกทั้งเชิญราชครูมาสอนสั่งเขา แต่ถึงอย่างไรฐานะของเราก็แตกต่างกันเกินไป เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์ไม่เหมาะสมกันเลย ยิ่งไปกว่านั้นเซวียนเอ๋อร์ยังมีการแต่งงานกับจวนราชเลขาอยู่ด้วย ถึงแม้ตอนนั้นเจ้ากับเซวียนเอ๋อร์จะเรียกได้ว่าเป็นการหมายหมั้นการแต่งงานไว้ แต่ถ้านับตามเวลาแล้วเจ้ามาช้ากว่าคุณหนูจวนราชเลขาไปก้าวหนึ่ง อีกอย่างการแต่งงานนั้นเป็นความสมัครใจของบิดามารดาของเจ้า ซึ่งไม่เคยผ่านการเห็นชอบจากพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมรับก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มน้อยๆ พอรับฟังที่อ๋องฉีกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นความหมายของท่านอ๋องก็คือให้ข้าจากไป แล้วอย่ากลับมาอีกใช่ไหมเพคะ”
อ๋องฉีสั่นศีรษะ “เซวียนเอ๋อร์รักเจ้าอย่างลึกซึ้ง หากข้าบีบบังคับให้เจ้าออกไปจากเมืองหลวงเขาต้องโกรธแค้นข้าแน่นอน พวกเราสองคนพ่อลูกกว่าจะสานความสัมพันธ์กันได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้าไม่อยากให้มีผลลัพธ์เช่นนั้น อีกทั้งเรื่องนี้หากถูกคนเอาไปป่าวประกาศออกไป จวนอ๋องฉีของเราก็จะกลายเป็นคนเนรคุณ ดังนั้นพวกเราต่างก็ต้องถอยให้กันคนละก้าว ข้าจะไม่ขัดขวางให้เจ้าแต่งเข้ามาในจวนอ๋องฉี ส่วนเจ้าก็ถอยไปอีกก้าว อย่าริอาจเอื้อมไปถึงตำแหน่งพระชายาซื่อจื่อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ฟังอ๋องฉีพูดจนจบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วถามกลับอย่างไม่โกรธไม่โมโหว่า “ความหมายของท่านอ๋องก็คือให้หม่อมฉันเป็นอนุหรือเพคะ?”
อ๋องฉีสั่นศีรษะ “เรื่องการเป็นอนุข้าเคยพูดกับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เขาคัดค้านรุนแรง ในเมื่อข้ายอมถอยไปก้าวหนึ่งแล้ว ก็จะไม่เอ่ยถึงการเป็นอนุอีก รอหลังจากที่เซวียนเอ๋อร์แต่งงานเรียบร้อยแล้ว ข้าจะแนะนำให้เสด็จพี่แต่งตั้งเจ้าเป็นชายารอง ถึงแม้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติเป็นชายาได้ก็ตาม แต่ว่าเห็นแก่ความดีความชอบที่ครอบครัวเจ้าดูแลเซวียนเอ๋อร์มาหลายปี เสด็จพี่ต้องยอมรับอย่างแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียดยิ้ม “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่กรุณาเพคะ เพียงแต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่ยอมเป็นอนุเพคะ”
อ๋องฉีคิดว่านางยังไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้นางฟังอย่างใจดีว่า “แม่นางเมิ่ง ชายารองก็ถือเป็นคนในราชวงศ์ มิใช่อนุภรรยา”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ในสายตาของหม่อมฉัน ชายารองก็คืออนุภรรยา หม่อมฉันยอมเป็นหยกที่แตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องเพคะ เกรงว่าจะทำให้ท่านต้องเสียความหวังดีไปโดยเปล่าแล้ว”
อ๋องฉีคุยกับนางไม่ชัดเจน ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจ น้ำเสียงค่อนข้างบีบเค้น “แม่นางเมิ่ง ต่อไปเซวียนเอ๋อร์ต้องเป็นผู้ดูแลทุกคนในจวนอ๋องฉี หากไม่มีการช่วยเหลือนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงคนชนบท หากเจ้าเป็นชายาเอก ต่อไปจะไม่มีผลดีต่อเซวียนเอ๋อร์เลย ขอให้เจ้าลองทบทวนสิ่งที่ข้าแนะนำอย่างละเอียดเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องตาเขา กล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “อี้เซวียนเคยรับปากหม่อมฉันว่าชั่วชีวิตนี้จะแต่งงานกับหม่อมฉันเพียงคนเดียว ถ้าหากเขาใช้ชีวิตหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่กับหม่อมฉันไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็จะจากไปโดยไม่ลังเล ไม่เหลือเยื่อใยเด็ดขาด ถ้าหากเขาทำให้สิ่งที่เขาเคยสัญญาได้ ถึงแม้ต้องเผชิญหน้ากับภยันตรายทั้งปวง หรือความลำบากยากแค้นแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างเขา และเผชิญด้วยกันกับเขาตลอดไป”
อ๋องฉีกระโดดยืนขึ้นจากตั่งไม้ทันที “เจ้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ
คำพูดหลังจากนั้นยังไม่ได้พูดออกมา อ๋องฉีก็กลับไปนั่งตามเดิม
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนตั่งไม้ด้วยใบหน้าราบเรียบ รอให้เขาพูดต่อไป
อ๋องฉีปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง ระงับโทสะที่คุกรุ่น กล่าวด้วยด้วยดีว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าเติบโตมาจากชนบท ไม่รู้ว่าราชสำนักนั้นโหดร้ายเพียงใด เซวียนเอ๋อร์ไม่อาจเป็นซื่อจื่อที่อยู่ว่างได้ตลอดไป ต้องมีสักวันที่เขาต้องไปรับใช้ราชสำนัก ถึงตอนนั้นเขาที่ไม่เหลือคนช่วยเหลือเลย เจ้าจะให้เขายืนหยัดอย่างไรในราชสำนัก”
คำพูดนี้ของอ๋องฉีถือเป็นการเตือนด้วยความหวังดีอย่างยากลำบาก เขาคิดว่าถึงเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ยินยอม แต่อย่างน้อยก็อาจจะทบทวนคำแนะนำของเขาบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันควันว่า “ถ้าหากอี้เซวียนไม่มีความสามารถพอ ถึงเขาเข้าไปในราชสำนักก็ไม่มีประโยชน์ต่อราชสำนักอยู่ดี ถ้าหากเขามีความสามารถเพียงพอ ถึงแม้จะไม่มีความช่วยเหลือจากใคร เขาก็สร้างที่ยืนหยัดของเขาได้ด้วยตัวเอง”
อ๋องฉีนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ เขาถูกสวนกลับจนอึ้ง จนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันต่อแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ความหมายของท่านอ๋องหม่อมฉันเข้าใจดี หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว หม่อมฉันต้องขอตัวเพคะ”
อ๋องฉีต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงโบกมืออย่างเหนื่อยหน่ายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแล้วเดินออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนยืนรออยู่ที่หน้าเรือนตลอดเวลา รอด้วยความร้อนใจ พอเห็นนางออกมาก็รีบไปรอรับ ถามนางด้วยความกระวนกระวายใจว่า “ท่านพ่อของข้าพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่คุยกันเรื่องทั่วไปเท่านั้น ถามถึงพ่อแม่กับชีวิตความเป็นอยู่ในบ้าน”
หวงฝู่อี้เซวียนถามนางอย่างจับพิรุธอีกหลายคำ เห็นนางยังมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนหน้าอยู่ก็รู้สึกโล่งอก ความรู้สึกแตกต่างจากตอนก่อนเข้าไปราวฟ้ากับเหว แล้วจูงมือของนางพาเดินไปทางเรือนของตัวเอง พร้อมกับกล่าวว่า “เป็นห่วงเจ้าแทบตาย ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ทำให้เจ้าโมโหแล้วก็กลับบ้านเดิมไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับจับมือของเขาแน่น กล่าวรับรองกับเขาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าวันนี้ข้าไปซื้อร้านค้าไว้แล้วหรือ? หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนในวันพรุ่งนี้ ข้าก็จะสั่งให้คนเก็บกวาดให้เรียบร้อย แล้วรีบเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งในเมืองหลวง ต่อไปข้าก็จะปักหลักอยู่ในเมืองหลวง รอเจ้ายกเลิกการแต่งงานอย่างสงบจิตสงบใจ”
พอได้รับการรับรองจากนางหวงฝู่อี้เซวียนก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แล้วพานางเดินไปจนถึงเรือนของตนเอง
ภายในเรือนไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ว่านิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นเช่นนี้ นางชอบความสงบเงียบแบบนี้
ทั้งสองคนเดินจับมือกันจนเข้ามาในห้อง
กัวเฟยยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างเรียบร้อย ส่วนหวงฝู่อี้นั้นตรงไปยังห้องครัวเล็ก เพื่อชงชามาให้คนทั้งคู่
เมื่อนั่งบนตั่งไม้เรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบพิจารณาดูห้องของหวงฝู่อี้เซวียน ใช้คำสองคำก็สามารถอธิบายได้ นั่นก็คือ สะอาด เรียบร้อย ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางพิจารณาดูห้องนอนของตนเอง หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าคุ้นเคยกับการเก็บกวาดห้องเอง ตั้งแต่กลับมาก็ไม่เคยยืมมือใครมาช่วย แม้แต่อี้เอ๋อร์ยังไม่เคยให้เขาเข้ามาช่วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วดึงตั๋วเงินจากแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นตั๋วเงินที่ได้มาวันนี้ ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะมอบให้องครักษ์ประจำจวนหรือ? เอาไปสิ”
หวงฝู่อี้เซวียนเอาตั๋วเงินกลับคืนไปวางไว้ข้างหน้านาง กล่าวอธิบายว่า “อาการบาดเจ็บของบรรดาองครักษ์มีหมอประจำจวนคอยดูแลอยู่ ส่วนเงินค่ายารักษาก็มีเงินของจวนช่วยดูแล ส่วนของรางวัล พวกเขาทำให้จวนอ๋องฉีได้หน้า ถึงอย่างไรท่านพ่อก็ต้องเป็นคนให้รางวัล”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะคิกคัก “วันนี้วันทำให้ท่านเสนาบดีโมโหจนกระอักเลือกออกมา ไม่ใช่ว่าตอนนี้ก็ต้องการให้ชายารองก็กระอักเลือดเช่นกันหรือ?”
หวงฝู่อี้เซวียนเลิกคิ้วอย่างลำพองใจ “นางดูแลสมบัติภายในจวน พริบตาเดียวทำให้นางต้องสูญเงินไปไม่น้อย นางต้องโมโหเป็นแน่ รออีกสักพักข้าค่อยส่งคนไปบอกข่าวเรื่องที่ข้าได้เงินมาจากจวนเสนาบดีอีกหนึ่งแสนตำลึงให้นางได้รับทราบ คิดว่านางอาจจะโมโหจนกระอักเลือดออกมามากกว่าท่านเสนาบดีอีกกระมัง”
พอคิดถึงฉากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมาอย่างเสียกิริยา ในใจก็แอบยืนสงบไว้อาลัยให้แก่ชายารองที่กำลังจะกระอักเลือดออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนหุบรอยยิ้มลง แล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างจริงจังว่า “โยวเอ๋อร์ ท่านแม่ของข้าร่างกายไม่แข็งแรง จึงดูแลเรื่องราวภายในบ้านไม่ได้ ดังนั้นอำนาจการดูแลทุกอย่างภายในบ้านจึงอยู่ตกในกำมือของชายารองไปโดยปริยาย ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากอวี้เอ๋อร์ เรื่องการวางยาในขนมข้าจะปิดบังไว้สักระยะ รอโอกาสเหมาะสม ข้าจะนำมันออกมาเพื่อทำให้พวกนางต้องสูญเสียทุกอย่างไปจากสิ่งนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แสดงท่าทีเห็นด้วยพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีเป็นขุนนางมานานหลายปี มีทางหนีทีไล่มากมาย กลอุบายลึกล้ำ พวกเราในตอนนี้เป็นเพียงคนที่ไม่มีกำลัง หากต้องการล้มเขาลงพวกเราจำเป็นต้องใช้แผนระยะยาว อย่าใจร้อน”
เมื่อเห็นนางเห็นด้วยหวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างพึงพอใจ
หลังจากที่หวงฝู่อี้ชงชามาเรียบร้อยก็ถือมาที่หน้าประตู แล้วเคาะประตูขึ้นเบาๆ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ชงชามาเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนบอกให้เข้าไปได้
กัวเฟยจึงเปิดประตู หวงฝู่อี้ถือกาน้ำชาเดินเข้ามา แล้วเทน้ำชาให้คนละถ้วย
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขาว่า “อี้เอ๋อร์ อีกสักครู่เจ้าไปห้องบัญชีไปเบิกเงินมาห้าพันตำลึง บอกว่าเป็นรางวัลขององครักษ์ประจำจวนที่ที่วันนี้ได้สร้างผลงาน”
หวงฝู่อี้ขานรับคำสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งงานเขาต่อว่า “หลังจากได้รับเงินแล้ว เจ้าค่อยหาโอกาสกระจายข่าวทุกอย่างที่เกิดในวันนี้ด้วย บอกกับทุกคนว่าข้าได้รับเงินจากจวนเสนาบดีหนึ่งแสนตำลึง พูดจบแล้วก็กลับมา ไม่ต้องรอข่าวใดอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนขานรับคำสั่งอีกครั้ง แล้วถอยออกไปด้วยความเคารพ พอปิดประตูก็เดินไปเบิกเงินยังห้องบัญชี
เงินห้าพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ถึงแม้ซื่อจื่อจะมาเบิกเงินด้วยตัวเอง คนในห้องบัญชีก็ไม่กล้าเบิกให้ด้วยตัวเอง จึงให้หวงฝู่อี้รอสักพัก ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปหาชายารองที่อยู่ในเรือน กล่าวกับคนรับใช้ที่เฝ้าประตูว่า “ไปรายงานชายารอง บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนต้องการเข้าพบนาง”
คนรับใช้วิ่งเข้าไปรายงานยังห้องหลัก
“ให้เขาเข้ามาเถอะ” เสียงของชายารองดังออกมาจากในห้อง
พอคนจากห้องบัญชีได้ยินเสียงของนางก็เดินเข้าไปในเรือน แล้วพูดขึ้นโดยที่มีม่านบังอยู่ว่า “ชายารอง เมื่อสักครู่นี้ซื่อจื่อให้ญาติของเขามาเบิกเงินห้าพันตึงลึงขอรับ บ่าวไม่กล้าจัดการเอง จึงมาสอบถามเหนียงเหนียงก่อนว่าเงินนี้ให้เขาได้หรือไม่”
—————————-