ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 272 เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 272 เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน
หลินหันเยียนลุกขึ้นยืน ถามด้วยความเร่งรีบว่า “ข่าวนี้น่าเชื่อถือหรือไม่ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
แม่บ้านพยักหน้า “จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าได้ยินจากคนที่มารายงายให้นายท่านและฮูหยินฟังด้วยตัวเองเจ้าค่ะ ฮูหยินตกใจจนแทบจะเป็นลมล้มลงไป ส่วนนายท่านได้ส่งคนไปสืบแล้วเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของหลินหันเยียนรีบไปกว่าเดิมว่า “เร็วเข้า เจ้าไปสืบมาอีก ถ้ามีข่าวอะไรให้รีบมารายงานข้าโดยด่วน”
แม่บ้านตอบรับ แล้ววิ่งย่องออกไป
หลินหันเยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างทำตัวไม่ถูก มองเหม่อ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แม่บ้านคนสนิทยืนอยู่ด้านข้างนาง ลองเรียกนาง “คุณหนู?”
หลินหันเยียนได้สติ แล้วถามด้วยอาการปากสั่งว่า “หงเอ๋อร์ ข้าควรดีใจหรือไม่ ท่านพ่อ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องบังคับข้าแต่งงานอีก”
ในฐานะเป็นแม่บ้านคนสนิท เลยเข้าใจความคิดของหลินหันเยียนเป็นอย่างดี หลายวันมานี้ก็เห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้ว่านางไม่ได้มีใจให้กับคุณชายท่านนั้น ในใจมีแต่หวงฝู่อวี้ ดังนั้นจึงแนะไปว่า “คุณหนู วันพรุ่งข้าน้อยจะไปเฝ้าที่หน้าประตูจวนอ๋อง รอให้องค์ชายรองออกมา ข้าจะเอาจดหมายมองให้กับเขา เชื่อว่าองค์ชายรองจะต้องมาเจอคุณหนูอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ท่าทางของหลินหันเยียนสลดไป แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก “หงเอ๋อร์ ครั้งที่แล้วที่อยู่ที่จวนแม่ทัพ ข้าทำเขาเจ็บหนัก เขาจะไม่มาพบข้าอีกแล้ว แต่ว่า ข้าเองก็มีลำบากใจเช่นกัน ที่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้าคบค้ากับเขา ถ้าหากว่าข้าไม่ทำเช่นนั้น บางทีท่านแม่อาจจะใช้เป็นข้ออ้างมาทำเรื่องอื่นก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นชื่อเสียงของเขาก็จะพังทลายลงทันที”
หงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าน้อยรู้ดีว่าท่านลำบากใจ แล้วก็เชื่อว่าเมื่อองค์ชายรองรู้เรื่องนี้แล้วจะต้องให้อภัยคุณหนูอย่างแน่นอน”
คิ้วของหลินหันเยียนขมวดขึ้น สีหน้าเศร้าโศกโศกา “ข้ากับพี่อวี้โตมาด้วยกัน เขาปกป้องข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก ดูแลข้า เอ็นดูข้า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นการกระทำทั้งหมดของเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตอนนี้ข้าถึงได้รู้ว่า นั่นเป็นเพราะว่าในใจของเขานั้นมีข้าต่างหาก มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนตอนนี้ ต่อให้ข้าไปพบเขาถึงที่ เขาก็จะไม่สนใจข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะเด็ดขาดขนาดนี้ บอกว่าไม่สนใจข้า ก็ไม่สนใจข้าจริงๆ”
หงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรดี
หลินหันเยียนแค่อยากหาคนมาเป็นที่ระบายก็เท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าเขาคนนั้นจะมาปลอบใจเขา พอพูดหมด ก็ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก แล้วนั่งเหม่อที่เก้าอี้ต่อไป
หงเอ๋อร์ออกไปเงียบๆ ปิดประตูเบาๆ ปล่อยให้หลินหันเยียนอยู่คนเดียว
องค์ชายผู้นั้นหายตัวไปแล้ว ก็หมายถึงว่างานแต่งของหลินหันเยียนยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หลินฮูหยินกำลังโกรธอยู่นั้นก็เกือบเป็นลมล้มลงไป ราชเลขาหลินเลยรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมา
จวนราชเลขาวุ่นวายเป็นอย่างมาก
และที่วุ่นวายไม่แพ้กันคือตำหนักของไท่จื่อ
ตำหนักของไท่จื่อวุ่นวายเละเทะเหมือนข้าวต้ม ตอนเช้าตรู่ ขันทีผู้ดูแลในตำหนักก็สั่งให้หมอหลวงเจียงที่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าไปมาเข้าเฝ้าที่วัง ให้เขาตรวจดูบาดแผลของไท่จื่อ
ไม่กล้าทายา ไท่จื่อที่เจ็บมาทั้งคืนสีหน้าขาวซีดอย่างกับกระดาษ เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก ตกใจเสียจนกล่องยาที่อยู่ในมือแทบจะหล่นลงกับพื้น แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไท่ ไท่จื่อ… นี่ท่าน…”
“เมื่อวานระหว่างทางที่กลับตำหนัก ไม่ทันได้ระวังจึงหกล้มลง ตอนแรกก็คิดว่าไม่เป็นอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจ็บหนักทั้งคืนขนาดนี้ เห็นว่าท่านอายุมากแล้ว จึงไม่กล้าไปรบกวนท่าน ฝืนทนมาจนถึงตอนนี้ เจ็บมากจริงๆ ท่านรีบมาช่วยข้าดูทีเถิด”
หมอหลวงเจียงขึ้นมา เปิดผ้าห่มที่คลุมขาของไท่จื่อออกดู ตอนที่เห็นรอยช้ำที่หัวเข่า ก็หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง “ไท่จื่อ นี่ท่านๆ… ท่าน……” พูดไปเสียนานนมแต่ก็คิดคำพูดที่เหมาะสมไม่ออก ทำได้เพียงแต่เปิดกล่องยาออกอย่างรวดเร็ว หยิบยาละลายลิ่มเลือดออกมา แล้วทาลงไปที่หัวเข่าอย่างเบามือ หลังจากนั้นจึงพูดว่า “จะปวดนิดหน่อย ขอให้ท่านอดทนสักนิดพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า
หมอหลวงเจียงใช้มือกดไปที่หัวเข่าของเขา แล้วใช้แรงกดเบาๆ
ไท่จื่อก็ร้องออกมาไม่เป็นภาษา ทำให้ผู้คนตกใจกันไปหมด หมอหลวงเจียงก็เหงื่อออก ตกใจจนหยุดมือที่กำลังกดอยู่ แล้วถามด้วยสีหน้าซีดเซวียวว่า “เป็นเพราะข้าน้อยใช้แรงมากไปหรือขอรับ”
ไท่จื่อปวดเสียจนพูดไม่ออก เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด
เมื่อหมอหลวงเจียงเห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก ทุกคนก็ได้แต่มองไท่จื่อที่นอนเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น
ไม่นาน ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ค่อยๆ หายไป ไท่จื่อถึงมีแรงถามว่า “หมอหลวงเจียง ใช้วิธีอื่นได้หรือไม่ แบบนี้ปวดมากเลย”
หมอหลวงเจียงตกใจจนเหงื่อไหลตกลงมาที่แก้ม แล้วก็ไม่กล้าเช็ดแผล ตอบกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ตอบไท่จื่อขอรับ เลือดคั่งของท่านอาการรุนแรงเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าไม่นวดให้กระจายหายไป ภายหลังจะมีผลข้างเคียงได้ขอรับ ถึงเวลานั้นขาของท่าน…” พูดยังไม่ทันจบ หวงฝู่ซวิ่นก็เข้าใจ ขาของเขาก็จะพิการได้ เขากับบัลลังก์ฮ่องเต้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป คิดได้เช่นนี้ ในใจก็ได้แต่กร่นด่าเจ้าหวงฝู่อี้เววียนไม่รู้อีกกี่รอบ ตนเองนั้นก็ไม่ใช่เป็นเพราะหัวร้อน บุกเข้าไปที่จวนของเขา มิเช่นนั้นเขาจะลงมือหนักขนาดนี้อย่างนั้นหรือ เมื่อคิดเช่นนี้ สีหน้าก็ดูไม่ดี เกิดความดุดันขึ้นมาทันที
หมอหลวงเจียงเห็น ในใจก็เต้นตุบตับ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ก้มหน้าก้มตายืนอยู่อีกฝั่ง
หวงฝู่ซวิ่นสีหน้ากลับมาเป็นเช่นเดิม ถึงจะกัดฟันสั่งให้หมอหลวงเจียง “มาเถิด ข้าทนได้!”
หมอหลวงเจียงเดินหน้า ยื่นมือออกมา เมื่อกดลงไปที่หัวเข่าของเขา ก็มีเสียงบ่าวเข้ามารายงาน “เรียนองค์รัชทายาท ซื่อจื่อส่งคนมา บอกว่ามีของสำคัญจะมอบให้ท่าน”
มือของหมอหลวงเจียงหยุดลง
หวงฝู่ซวิ่นดีใจ ออกคำสั่ง “เรียกให้เข้ามาเร็วเข้า”
โจวอันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในมือถือขวดดินเผากับจดหมายหนึ่งฉบับเดินเข้ามา หลังจากที่ทำความเคารพหวงฝู่ซวิ่นแล้ว แล้วเอาขวดดินเผากับจดหมายที่อยู่ในมือส่งให้เขา “นายท่านไท่จื่อ นี่เป็นยาและจดหมายที่ซื่อจื่อให้ข้ามาถวาย ไท่จื่อตรวจสอบดูเถิด”
หวงฝู่ซวิ่นยื่นมือออกมา เอาจดหมายมาเปิดก่อน ข้างบนเขียนถึงขั้นตอนการใช้ยา ตอนท้ายเขียนหมายเหตุเอาไว้ว่า หลังจากที่เอายาในขวดดินเผานี้ไปถูแล้ว ความเจ็บปวดจะหายไป ส่วนเรื่องของรอยช้ำ จะต้องรอไปอีกหลายวัน อย่าขอบใจข้ามากเลย อย่างไรเสียท่านก็เป็นพี่ใหญ่ของข้า ข้ารับรองว่าข้าจะไม่ยอมให้ท่านหลงเหลือผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น
หวงฝู่ซวิ่นที่กำลังถือจดหมายอยู่มือสั่น เจ้าบ้านี่ ในเมื่อมียา แล้วเหตุใดถึงได้ให้ข้านอนเจ็บปวดไปทั้งคืน รอให้ขาหายก่อน ข้าจะไปคิดบัญชีแน่นอน
คิดได้เช่นนี้ โจวอันก็พูดต่อว่า “ซื่อจื่อบอกว่า ถ้าหากว่าท่านไม่พอใจ ก็สั่งให้ข้าเอายาขวดนี้กลับไปได้เลยขอรับ”
พูดจบ ขวดดินเผาในมือของโจวอันก็หายไป แต่กลับไปอยู่ในมือของหวงฝู่ซวิ่นอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มแบบน่าสยดสยองออกมา แล้วกัดฟันบอกว่า “กลับไปบอกซื่อจื่อของเจ้า บอกว่าข้าดีใจ พอใจเป็นอย่างมาก มากที่สุด ดีใจเสียจนอยากที่ไปขอบคุณเขาด้วยตนเองที่จวนอ๋องเชียวล่ะ”
ในคำพูดที่มีความหมายประหลาดแฝงอยู่ทำให้โจวอันรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก รีบกล่าวลาแล้วเดินออกไปจากตงกงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนแปลกใจ
หวงฝู่ซวิ่นเอ่ยปาก “หมอหลวงเจียง ท่านใช้วิธีนี้เจ็บมากจริงๆ ข้าทนไม่ไหว ท่านทิ้งยาเอาไว้ให้ข้า แล้วให้ข้าค่อยๆ พักฟื้นดีกว่า”
หมอหลวงเจียงดีใจมากที่ตนเองรอดโดยไม่ต้องไปเสี่ยง จึงตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วก็เอายาละลายลิ่มเลือดไปวางไว้ที่โต๊ะ และขอตัวลา
เมื่อเห็นว่าเขาออกไปแล้ว หวงฝู่ซวิ่นจึงรีบสั่งให้คนเอาน้ำสะอาดมา บอกให้สาวใช้เช็ดยาที่หมอหลวงเจียงทาไว้เมื่อครู่ออกให้หมด แล้วเอายาที่อยู่ในมือมาเทไว้บนหัวเข่า ความรู้สึกเหมือนโดนลูบด้วยน้ำเย็น ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ มลายหายไปจริงๆ ดีใจเป็นอย่างมาก แล้วด่าพึมพำว่า “เจ้าบ้านี่ รอก่อนเถอะ รอให้ข้าหายก่อน ข้าจะไปคิดบัญชีด้วย”
รอให้ความเจ็บปวดหายไป แล้วมองไปที่รอยช้ำบนหัวเข่า ออกคำสั่งว่า “ไปรายงานเสด็จพ่อ บอกว่าขาของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถขยับได้เลย เดินทางไปเจียงหนานไม่ได้แล้ว”
ขันทีผู้ดูแลตอบรับ แล้วเข้าไปรายงานที่วัง
ฮ่องเต้ไม่เชื่ออย่างแน่นอน ส่งคนมาตรวจสอบ เห็นรอยช้ำบนหัวเข่าของหวงฝู่ซวิ่นแล้วจึงตกใจเป็นอย่างมาก แล้วกลับไปรายงานตามจริง
ถึงแม้ฮ่องเต้จะโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ส่งองค์ชายรองไปเจียงหนานแทน
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อได้ข่าวแล้ว ต่างก็มองหน้าแล้วหัวเราะกัน
ผ่านไปหลายวัน หวงฝู่ซวิ่นส่งคนมาบอกข่าว บอกว่าเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสามารถเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้แล้ว พรุ่งนี้ส่งไปเข้าเรียนได้เลย
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปหนานเฉิงด้วยตนเอง บอกข่าวดีอันนี้ให้กับคนในครอบครัวฟัง
เมิ่งจงจวี่ซาบซึ้งจนน้ำไหลริน เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ซาบซึ้งจนเดินรอบบ้านไปหลายรอบ แล้วพูดตลอดเวลาว่า “คุณธรรมของบรรพบุรุษ เพราะคุณธรรมของบรรพบุรุษแท้ๆ”
เมิ่งเจี๋ยไม่ได้แสดงอาการมากมาย เพียงแค่หน้าแดงเท่านั้น แต่เมิ่งชิงกลับเก็บความดีใจนั้นไม่ได้ วิ่งไปวิ่งมาในจวน วิ่งไปก็ตะโกนร้องไป
เมิ่งชื่อเห็นท่าทางดีใจของเขา ก็ปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง
เมิ่งชิงสามารถเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ ก็เหมือนกับว่าได้ตอบแทนเมิ่งเสียวเถี่ยที่เสียไปได้
ทั้งครอบครัวดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนซาบซึ้งจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว วันที่สองฟ้ายังไม่ทันสว่าง เมิ่งชื่อก็ตื่นแต่เช้า มาทำสำรับที่ทั้งสองคนชอบกินด้วยตนเอง
กินข้าวเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้พาทั้งสองคนนั่งรถมามาที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจี้ยน
ในกั๋วจื่อเจี้ยนล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานขุนนางใหญ่ทั้งนั้น จะเข้าจะออกล้วนแต่มีรถม้าดูดีมีระดับมารับส่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขานั่งรถม้าที่เก่ามา ก็พากันคว่ำปากเสียหมด แล้วแสดงสายตาเหยียดหยาม
ท่าทางของเมิ่งเจี๋ยนิ่ง ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาเหล่านั้น เมิ่งชิงกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง
หวงฝู่ซวิ่นได้จัดการไว้หมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนพาทั้งสองคนเข้าไปที่กั๋วจื่อเจี้ยน ก็มีคนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินมา โค้งคำนับเรียบร้อย บอกว่า “ซื่อจื่อ ไท่จื่อได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขอท่านโปรดวางใจ ให้องค์ชายทั้งสองตามข้ามาเถิดขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า กำชับทั้งสองคนว่า “ถึงแม้ว่าในกั๋วจื่อเจี้ยนจะมีแต่ลูกหลานขุนนางชั้นสูง หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไป ถ้าหากว่ามีคนมาหาเรื่องพวกเจ้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องอดทน เอาคืนได้ก็เอาคืน”
เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิงพยักหน้า
คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็อ้าปากค้าง มองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน จากนั้นก็คิดได้ว่าองค์ชายทั้งสองนี้มีซื่อจื่อกับไท่จื่อคอยหนุนหลังอยู่ จึงมีคุณสมบัติที่จะเอาคืนได้อย่างแน่นอน แล้วเก็บอาการตกใจไว้ ทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียนเสร็จแล้ว ก็พาทั้งสองคนไป
หวงฝู่อี้เซวียนหันหลังกลับ ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน นั่งรถม้ากลับหนานเฉิง
ทั้งสองคนไปกั๋วจื่อเจี้ยนครั้งแรก เมิ่งชื่อไม่ค่อยสบายใจนัก นั่งรออยู่ที่บ้านทั้งวัน รอจนฟ้ามืด จึงออกไปรอที่ด้านนอกประตู
กัวเฟยขับรถม้ามารอที่ประตูกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเดินออกมาอย่างร่าเริง ขึ้นรถม้า แล้วพูดคุยกับกัวเฟยออกไปจากกั๋วจื่อเจี้ยน
นักเรียนคนอื่นเมื่อเห็นรถม้าออกไปแล้ว ก็มองหน้ากัน แล้วต่างคนก็ต่างนั่งรถม้ากลับจวนของตน
เมื่อเมิ่งชื่อเห็นรถม้ากลับมา ก็ขึ้นไปรับด้วยความดีใจ
เมิ่งเจี๋ยลงมาจากรถม้าก่อน ตะโกนเรียก “ท่านแม่” ด้วยความดีใจ
เมิ่งชื่อตอบรับ
เมิ่งชิงก็ลงมาจากรถม้าด้วย แล้วเรียก “ท่านป้ารอง!”
เมิ่งชื่อก็ยิ้มรับ แล้วถามทั้งสองคนว่า “วันนี้ที่กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าด้วยความดีใจ “อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจี้ยนมีความรู้มากกว่าอาจารย์ที่โรงเรียนเจิ้นซ่างเสียอีกขอรับ เพียงวันนี้วันเดียวเท่านั้น ก็ได้รับอะไรมากมายเลยล่ะ”
เมิ่งชิงก็พูดด้วยความดีใจว่า “วิชาเรียนในกั๋วจื่อเจี้ยนมีมากมาย วันนี้ข้าไปเรียนขี่ม้ายิงธนูมา ดีมากเลยขอรับ”
เห็นทั้งสองคนดีใจเช่นนี้ เมิ่งชื่อก็ดีใจ พาทั้งสองคนเข้าบ้าน บอกให้ทั้งสองคนไปที่ห้องของสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ ส่วนตนก็ยิ้มเดินไปที่ห้องครัว
เมิ่งจงจวี่ถามแล้วถามเล่า ทั้งสองคนก็ตอบตามความจริง
ได้ยินทั้งสองคนดีใจเช่นนี้ เมิ่งจงจวี่ก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วก็กำชับทั้งสองคนอีกว่า “ที่พวกเจ้าเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนได้ เป็นเพราะความโชคดีของเจ้า จะต้องรักษาไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี อย่าหาเรื่องใส่ตัวเป็นอันขาด ทุกอย่างจะต้องเอาการเรียนเป็นหลัก อย่าทำให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมๆ กัน
ผ่านไปหลายวัน ทั้งสองคนก็เริ่มปรับตัวได้แล้วในกั๋วจื่อเจี้ยน เมิ่งจงจวี่ก็เริ่มพูดเรื่องที่จะกลับบ้านนอก บอกว่าตนเองอยู่เมืองหลวงนานเกินไปแล้ว คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย กระทั่งเมิ่งเอ้อร์อิ๋นก็คิดถึงบ้านเช่นกัน
ทั้งครอบครัวปรึกษาหารือกันแล้ว ตัดสินใจให้สองสามีภรรยาเมิ่งฉีกับสองสามีภรรยาเมิ่งอี้อยู่ที่เมืองหลวงต่อเพื่อช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวทำงานในเมืองหลวง เมิ่งชื่ออยู่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเอ้ออิ๋นและสองสามีภรรยาเมิ่งเสียนและสองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่กลับบ้านนอก
เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองสามีภรรยาเมิ่งจงจวี่ก็รีบไปเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว วันที่สองก็กลับบ้านนอกไปในขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวมองด้วยสายตาอาวรณ์