ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 296 หายนะอันใหญ่หลวง
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 296 หายนะอันใหญ่หลวง
หลินจ้งเดินมาตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง มองพิเคราะห์เขาจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนรอบหนึ่ง
หลิวจยาเจิ้งถูกมองจนอึดอัด รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มแข็งทื่อ น้ำเสียงถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “คุณชายหลิน เหตุใดท่านถึงมองข้าเช่นนี้ขอรับ”
ไม่มีอะไรผิดแปลก เหมือนเดิมทุกอย่างนี่ คิ้วของหลินจ้งขมวดเข้าหากันแน่น แล้วพินิจเขาอีกรอบ
ราชเลขาหลินรู้สึกว่าพฤติกรรมของหลินจ้งดูออกจะเสียมารยาท สีหน้าจึงเริ่มบึ้งตึง แล้วตำหนิเสียงเบาๆ “จ้งเอ๋อร์ เจ้า นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า”
สุดท้ายหลินจ้งมองหลิวจยาเจิ้งตรงๆ แล้วก็ได้สติกลับมา ตอบด้วยความนอมน้อม “ท่านพ่อขอรับ คุณชายหลิวกำลังจะเป็นสามีของน้องสาวข้าแล้ว ลูกอยากจะพินิจเขาแทนน้องสาวในระยะใกล้ๆ ดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่”
จวนราชเลขามีลูกสองคนคือ หลินจ้งกับหลินหันเยียน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งแต่เล็กนับว่าไม่เลว ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหลินจ้งมักจะปกป้องน้องสาวคนนี้อยู่เสมอ การที่เขากระทำเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล ราชเลขาหลินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผ่อนน้ำเสียงลง “จะมีใครที่ไหนกันที่เข้ามาแล้วไม่พูดไม่จาอะไรแม้แต่น้อย แล้วก็มองดูเขาอย่างเสียมารยาทเช่นเจ้า โชคดีที่เป็นคุณชายหลิว ถ้าเป็นคนอื่นคงถูกเจ้าทำให้ตกใจวิ่งหนีไปเสียแล้ว”
หลินจ้งยืนตัวตรง ทำท่าทีรับฟังคำสั่งสอน “เป็นความผิดของลูกเองขอรับ ลูกได้ยินว่ากำลังปรึกษาเรื่องงานหมั้นหมายของน้องสาว ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ถึงได้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ”
ราชเลขาหลินไม่ได้ติเตียนอีก เผยใบหน้าที่จะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง พูดว่า “คุณชายหลิว ลูกชายของข้ามีนิสัยที่เถรตรง เรื่องต่างๆ ล้วนทำอย่างตรงไปตรงมา ขอเจ้าอย่าได้ถือสาเลย”
หลิวจยาเจิ้งโบกมือปฏิเสธ “ไม่หรอกขอรับ ท่านราชเลขาพูดล้อเล่นแล้วขอรับ คุณชายหลินเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา ข้านับถือยิ่งขอรับ”
หลังจากให้โจวอันไปส่งสารให้แก่หลินจ้ง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็โยนเรื่องนี้ออกจากสมองไป แล้วมาร่วมแสดงความยินดีให้แก่เมิ่งเหรินพร้อมกับคนในครอบครัวเมิ่งอย่างเอิกเกริก
หลังจากคนทั้งบ้านปรึกษากันอย่างคึกคักและเมิ่งต้าจินบอกจะกลับเมืองชิงซีแล้ว ก็เลียนแบบธรรมเนียมของถงเซิงเช่นอี้เซวียนที่สอบติดในปีนั้น จัดโต๊ะกินเลี้ยงเป็นเวลาสามวันเพื่อเฉลิมฉลอง ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่เห็นด้วย จึงพูดว่า “ตอนนี้ก็ผ่านไปแล้วตั้งหลายวัน จัดโต๊ะกินเลี้ยงจะดูแย่เกินไป ให้คนอื่นไปพูดจะไม่ดีเอา อีกอย่างค่าใช้จ่ายก็มากเกินไป ไม่เอา ไม่เอา”
เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ เมิ่งต้าจินก็ออกอาการร้อนรน ถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่าจะทำอย่างไรเล่า”
“ข้าว่านะ พวกเราไปเรียกคนในตระกูล เครือญาติ แล้วก็เพื่อนสนิทของเจ้ามาบอกพร้อมกัน แล้วจัดโต๊ะกินเลี้ยงในบ้านสักสี่ห้าโต๊ะ ทั้งได้กินอย่างเอร็ดอร่อยและยังดูมีหน้ามีตาด้วย”
“ไม่ได้ ไม่ได้” เมิ่งต้าจินโบกมือ “เรื่องน่ายินดีที่ใหญ่โตแบบนี้ คนในหมู่บ้านก็ต้องมาแสดงความยินดีด้วยอยู่แล้ว จะไม่แบ่งปันให้แก่พวกเขาได้ที่ไหนกัน”
ทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างดุเดือด ทุกคนที่อยู่ข้างๆ เม้มปากไม่พูดจา
พูดไปพูดมา ภรรยาเมิ่งต้าจินก็หันหน้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าบอกมาสิว่าควรทำอย่างไรดี ป้าใหญ่จะฟังเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองทั้งสองคน แล้วพูดล้อเล่น “ถ้าให้ข้าว่านะเจ้าคะ ท่านลุงใหญ่กับท่านป้าใหญ่ ความคิดของพวกท่านไม่เลวทั้งคู่เลย ไม่อย่างนั้นก็ทำให้หมดตามวิธีการของแต่ละคนเลยละกันเจ้าค่ะ”
เมิ่งต้าจินดวงตาส่องประกาย และพยักหน้า “ข้าว่าได้”
ภรรยาเมิ่งต้าจินกลับยิ้มและยื่นแขนออกราวกับตีเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าเด็กคนนี้ แต่งงานแล้วก็รู้จักเข้าใจผู้คนแล้ว รู้ว่าทั้งสองคนล้วนไม่อาจล่วงเกินได้”
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง
เพียงแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงหัวเราะ ชิงหลวนก็เดินเข้ามา สีหน้ามีความรีบร้อนและไม่สบายใจ “นายหญิง ไท่จื่อทรงส่งคนมาเรียกซื่อจื่อของท่านไปที่กั๋วจื่อเจี้ยนเจ้าค่ะ บอกว่านายน้อยทั้งสองก่อหายนะอันใหญ่หลวงแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อตกใจจนดีดตัวกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้าพลันขาวซีด ถามด้วยความตะหนก “เรื่องหายนะอย่างไร”
ชิงหลวนส่ายหน้า “คนส่งสารไม่ได้บอกเจ้าค่ะ เพียงแต่บอกให้ซื่อจื่อไป”
เมิ่งซื่อเดินขาสั่นมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว และดึงชายเสื้อของนางไว้ “โยวเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์กับชิงเอ๋อร์จะไม่ถูกฮ่องเต้ลงโทษใช่ไหม”
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงเป็นคนอย่างไร ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวรู้ดี ทั้งสองคนไม่อาจก่อเรื่องหายนะอะไรโดยไร้สาเหตุ จะต้องเกี่ยวข้องกับพรรคพวกลูกหลานในกั๋วจื่อเจี้ยนนั่นอย่างแน่นอน จึงเม้มปาก แล้วปลอบเมิ่งซื่อ “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ข้ากับอี้เซวียนจะไปดูเอง”
เมิ่งซื่อเครียดจนเพียงแต่พยักหน้า
ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลมองพวกเขาสองคนเดินออกไป เพียงชั่วขณะเดียว บรรยากาศที่เมิ่งเหรินนำพาความยินดีเรื่องสอบติดกลับมาก็ถูกชะล้างจนไม่เหลือแม้แต่เงา
ทั้งสองคนมาถึงกั๋วจื่อเจี้ยนอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่โบราณ กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถานที่สูงส่ง ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ย่อมมิได้เป็นข้อยกเว้น ขันทีที่เฝ้าหน้าประตูของกั๋วจื่อเจี้ยนก็ห้ามทั้งคู่ไว้ แล้วโค้งตัวคำนับ “ซื่อจื่อเฟยกรุณาหยุดก่อนขอรับ กั๋วจื่อเจี้ยนไม่อนุญาตให้สตรีข้าไปขอรับ”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าลง เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้ามองไปยังขันที พูดด้วยเสียงขรึม “เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องด่วน เกิดเรื่องกับน้องชายทั้งสองคนของซื่อจื่อเฟย นางจึงจำเป็นต้องตามเข้าไปด้านใน”
ขันทียังคงโค้งตัว น้ำเสียงนอกจากไม่สะทกสะท้าน กลับยิ่งแข็งกร้าวขึ้น “ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุอันใด บ่าวรับบัญชาให้เฝ้ากั๋วจื่อเจี้ยน จึงต้องเคารพกฏระเบียบแห่งนี้ ซื่อจื่อเฟยไม่อาจเข้าไปได้โดยเด็ดขาดขอรับ”
ไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจดั่งมีเพลิงไฟสุมอก และถามด้วยรอยยิ้มที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ถ้าหากว่าข้าจะต้องเข้าไปให้ได้ล่ะ”
“เช่นนั้นบ่าวก็ต้องขอล่วงเกินท่านขอรับ”
เสียงพูดของเขาเพิ่งจะสิ้นลง ร่างกายกลับลอยปลิวไปเหมือนว่าวที่สายขาด
ขันทีคนอื่นอึ้งไป
กว่าที่ร่างของขันทีคนนั้นกระแทกลงพื้นอย่างแรงจนละอองดินปลิวว่อนขึ้นทำให้หลายคนทนไม่ได้ต้องสำลักออกมา ถึงจะได้สติคืนมา หลังจากเห็นเพื่อนของตัวเองกระแทกตกพื้นอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีแม้แต่ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา แล้วมองหวงฝู่อี้เซวียนที่มีสีหน้าบึ้งตึงดูไม่พอใจอย่างมาก ก็ทำให้ทุกคนผวาจนถอยหลังไปหลายก้าวโดยพร้อมกัน จากนั้นไม่มีคนใดที่กล้าขัดขวางอีก
“จำไว้ ต่อไปใครหน้าไหนกล้าพูดจาเช่นนี้กับซื่อจื่อเฟย ก็จะพบจุดจบเช่นนี้” ภายในเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแฝงด้วยความโกรธ คำพูดที่พูดออกมาทำให้แต่ละคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตัวหด แล้วทำเหมือนไม่มีตัวตนให้มากที่สุด
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองใครแม้แต่คนเดียว แล้วพาเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน
ขันทีหลายคนก็วิ่งไปตรงหน้าของขันทีคนนั้นอย่างเร่งรีบ แล้วช่วยกันพยุงขึ้นมา เห็นสองตาของเขาปิดสนิท สีหน้าขาวซีด ราวกับหายใจออกยาวนานกว่าหายใจเข้า ทุกคนก็ล้วนตกใจจนหน้าซีด มองกันและกัน โดยไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรไปรายงานเรื่องนี้ต่อหัวหน้าผู้ดูแลแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนให้ได้ทราบ
บรรยากาศภายในกั๋วจื่อเจี้ยนตึงเครียด ไม่มีเสียงอ่านหนังสือดังกังวานเหมือนทุกวัน หวงฝู่อี้เซวียนพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปยังห้องเรียน มีทหารองครักษ์คนหนึ่งลอยตัวลงมาขวางที่หน้าทั้งสองคน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยขอรับ ไท่จื่อทรงมีรับสั่งให้ข้าน้อยมารับพวกท่าน นายน้อยทั้งสองท่านอยู่ที่สนามขี่ม้าขอรับ”
ทั้งสองคนเปลี่ยนทิศทาง มาถึงยังสนามขี่ม้า
สนามขี่ม้าล้อมไปด้วยร่างคนที่ดำทะมึนๆ คนเกือบทั้งหมดในกั๋วจื่อเจี้ยนล้วนมาที่แห่งนี้ แล้วล้อมอยู่นอกสนามขี่ม้า ชี้ไปด้านในและพากันซุบซิบพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน
ไม่ต้องให้ทหารองครักษ์เปิดทาง ทุกคนที่มุงดูอยู่ก็รู้สึกว่าข้างหลังที่มีลมเย็นๆ พัดผ่านมา จึงหันไปด้วยความสะพรึงและสงสัย เห็นหวงฝู่อี้เซวียนรอบกายมีไออำมหิตที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากตัว ทำให้ผวาจนต้องเขยิบเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ
ทั้งคู่เดินเข้ามาในสนามขี่ม้า สถานการณ์ตรงหน้า กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตระหนกจนเกือบจะกรีดร้องออกมา
ภายในสนามขี่ม้ามีคนนอนแหงนหน้า แขนขาพัวพันกันหลายสิบคน แต่ละคนต่างหน้าบวมจมูกเขียว สภาพย่ำแย่จนดูไม่ได้ และอีกฝั่งหนึ่งของภายในสนามขี่ม้า เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงก็ถูกทำร้ายจนหน้าบวมช้ำเหมือนหมู
ไม่ต้องถามก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น บนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวยังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอด แล้วถอยออกไป เดินข้ามผู้คนที่นอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้นไม่หยุดพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงตรงหน้าเมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิง ตาบวมเป่งจนเหลือขีดเดียว เห็นทั้งสองคนมา ก็อยากจะฝืนเผยรอยยิ้มให้แก่พวกเขา แต่ก็ถูกบาดแผลบนใบหน้ายั้งเอาไว้ และร้อง ซู้ดดด ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวทั้งโกรธทั้งขำ และพูดด่า “สมน้ำหน้า ล้มศัตรูได้ทั้งหมดแต่ตัวเองสาหัสสากรรจ์ ข้าสั่งสอนพวกเจ้าแบบนี้หรอ”
ทั้งสองคนลูบหลังศีรษะของตัวเอง ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวอะไรมาก ได้แต่เผยอริมฝีปากน้อยๆ เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างไม่ชัดเจน “คนน้อยแต่กลับสู้คนมากได้ ก็ถือว่าวันนี้พวกเราได้ชัยชนะแล้วนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปวดใจอย่างมาก จึงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของทั้งคู่เบาๆ
เมิ่งเจี๋ยกับเมิ่งชิงข่มความเจ็บปวด เผยรอยยิ้มที่คิดว่าเจ้าเล่ห์กรุ้มกริ่มแต่แท้จริงแล้วกลับน่าผวายิ่ง “ท่านพี่ ไม่เป็นไรขอรับ รักษาไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”
หวงฝู่ซวิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหนึ่งอย่างสบาย มองเหตุการณ์ทั้งหมดโดยที่คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม อันที่จริงแล้วเรื่องในวันนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กก็ดี แค่ความสามารถของเขาจัดการเรื่องโดยเงียบๆ ได้ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่เขาแค้นฝังใจเรื่องที่เจ้าหวงฝู่อี้เซวียนคนนี้ถีบจนเข่าเขาบาดเจ็บ แล้วรอจนกระทั่งเวลาตอนกลางคืนถึงจะให้ยารักษามา ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ส่งข่าวแก่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว โดยกำชับว่าพูดให้ดูออกจะร้ายแรงเสียหน่อย ความจริงแล้ว ถ้ารอให้พวกอาวุโสที่รักเด็กพวกนั้นยิ่งชีพมาถึงแล้ว ก็ยากที่จะจัดการอย่างมาก
หัวหน้าผู้ดูแลพร้อมทั้งเสนาบดีแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนก็ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ด้านหนึ่ง ทั้งสองคนดูแลกั๋วจื่อเจี้ยนมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้มาก่อน เรื่องไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่โจ่งแจ้งพวกเขาอาจจะไม่รู้ แต่อย่างน้อยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้เห็นโดยประจักษ์ชัดอย่างซึ่งๆ หน้า ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องขึ้นมาก่อน เด็กสองคนที่มาจากบ้านนอกนี้เป็นคนแรกที่กล้าท้าทายอำนาจของพวกเขา หากไม่ใช่อเพราะไท่จื่อยัดพวกเขาเข้ามา เวลานี้ พวกเขาก็จะสั่งคนให้โยนทั้งสองคนออกไปพร้อมกับกระเป๋าเรียนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นสองคนที่มาเร็วที่สุด คนอื่นที่ได้รับข่าวสารยังมาถึงก็น่าจะเพราะมือเท้าแก่ชรามากแล้ว ทำให้มาช้ากว่าหน่อย
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการบาดเจ็บของทั้งสองคนอย่างละเอียด พบว่าล้วนเป็นแผลภายนอก จึงถอนหายใจโล่งอก แล้วเงยหน้ามองหัวหน้าผู้ดูแลและเสนาบดีที่ควันออกศีรษะด้วยความโมโห แล้วจึงก้มหน้าถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ไม่รอให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงตอบ หัวหน้าผู้ดูแลก็ทนไม่ไหวอีก จึงเอ่ยปากด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล “ยังจะเกิดอะไรขึ้นอีกเล่า หากมิใช่เพราะน้องชายสองคนของซื่อจื่อเฟยหาข้ออ้างต่อยตีคนอื่นจนกลายเป็นเช่นนี้หรอกหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า มองเขาด้วยรอยยิ้มที่งดงามดั่งบุปผาแรกแย้ม แต่คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้หัวหน้าผู้ดูแลอ้ำอึ้งจนต้องกรอกตามองบน “ท่านไม่มีตาหรืออย่างไรเจ้าคะ เห็นชัดว่าคนมากมายขนาดนี้มารุมทำร้ายน้องชายทั้งสองคนของข้า”
ด้วยตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน แม้ว่าไท่จื่อเห็นเขาก็ต้องประนีประนอมโอนอ่อนให้ จึงไม่เคยมีใครกล้าใช้น้ำเสียงนี้พูดใส่เขา หัวหน้าผู้ดูแลจึงอ้ำอึ้งจนตาขมึงเคราลอย พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
นี่ก็กล้าพูดเกินไปแล้ว หวงฝู่ซวิ่นเกือบจะพ่นเสียงหัวเราะออกมา ร่างกายก็ยิ่งเอนไปพิงที่พนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย เตรียมพร้อมสำหรับดูฉากอันตื่นเต้น
ไม่ไว้หน้าหัวหน้าผู้ดูแล ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตัวเองด้วย เสนาบดีก็หน้าดำบึ้งตึง และพูดจาเสียดแทง “ซื่อจื่อเฟย แม้ว่าท่านจะเกิดเป็นหญิงสาวในครอบครัวชาวนา รู้มารยาทกาลเทศะไม่มาก แต่…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ส่งเสียงแสยะยิ้ม แล้วย้อนถาม “ท่านเป็นใครกันอีกเจ้าคะ ทำไมถึงรู้ว่าข้าไม่รู้จักมารยาทกาลเทศะ ดูท่าว่าท่านคงจะนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงนานเกินไปแล้ว จนลืมว่าบรรพบุรุษตัวเองก็เป็นคนบ้านนอกเช่นกัน”
ครั้งนี้หวงฝู่ซวิ่นไม่อาจทนไหวได้อีกจริงๆ พ่นเสียงหัวเราะออกมา ละอองน้ำลายล้วนกระจายเต็มร่างของเสนาบดีที่ยืนตัวสั่นด้วยความดาลเดือดตรงหน้าเขา
นี่เป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก หวงฝู่ซวิ่นจึงถือโอกาสที่เสนาบดีโกรธจนไม่สนใจตัวเอง รีบเช็ดขอบปากตัวเอง แล้วคืนท่าทางที่สง่างามและสูงศักดิ์ พร้อมนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ดังเดิม
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนก็ปนด้วยรอยยิ้ม มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
เสนาบดีและหัวหน้าผู้ดูแลโกรธจนตัวสั่นระริกไม่หยุด ยื่นมือออกไปชี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยว ริมฝีปากสั่นจนพูดอะไรไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดสายตามองพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาที่เย็นเฉียบนั่นปะทะเข้ามาจนทำให้ตัวคนรู้สึกหนาวสั่น แล้วพูดด้วยเสียงที่เย็นชา “นี่เป็นซื่อจื่อเฟยของซื่อจื่อ ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะมาชี้ว่าได้ตามอำเภอใจ หากยังไม่เก็บนิ้วของพวกเจ้ากลับไป ข้าก็จะขอไม่ถือสา เพิ่มอาหารกลางวันเจ้าให้กินอีกหมัดหนึ่ง”
เสนาบดีกับหัวหน้าผู้ดูแลทั้งคู่มองเขาโดยไม่กล้าที่จะเชื่อ ล้วนสงสัยว่าหูของตัวเองว่าฟังผิดไปหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าซื่อจื่อที่มีมารยาทอ่อนน้อม เคารพกฎระเบียบ อยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนมาตลอดหลายปีก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำให้คนต้องปวดหัวเลยคนนั้น จะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
ทุกคนมองตากันและกัน สีหน้าของทั้งคู่กลับซีดแล้วแดง พอแดงแล้วก็ซีด พอซีดแล้วก็ดำ พอดำแล้วก็ม่วง สับเปลี่ยนกันหลายสีหลายครั้ง ดูแล้วช่างน่าตระการตายิ่งนัก
คนที่มุงดูอยู่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ตกใจจนยืนแข็งทื่อ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง สนามขี่ม้าจึงเต็มไปด้วยความเงียบ เงียบจนเข็มหล่นลงพื้นทุกคนก็ล้วนได้ยินโดยทั่วกัน
หวงฝู่ซวิ่นมีท่าทางที่ตาค้างอ้าปาก ภรรยาว่าเช่นไรสามีคล้อยตามเป็นเช่นไรเขาย่อมเคยเห็นมาก่อน ทว่า ยังไม่เคยเห็นผู้ใดอาการหนักได้ถึงขั้นนี้ นี่เป็นการเปิดวิสัยทัศน์ให้แก่เขาอย่างแท้จริง