ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 301 ชดใช้
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 301 ชดใช้
เมิ่นเชี่ยนโยวประคองหวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น
ฮ่องเต้มองเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดด้วยท่าทีที่คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าซื่อจื่อเฟยคนนี้ของเซวียนเอ๋อร์มีความสามารถด้านการแสดงที่ดีทีเดียว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่หวั่นเกรง ยิ้มรับ และพูด “การได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาทนับเป็นบุญวาสนาของหม่อมฉันเพคะ”
ฮ่องเต้ถูกพูดย้อน หนวดเคราแต่ละเส้นก็ชูชันขึ้นอีกครั้ง
ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสสั่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ของภายในตำหนักหย่างซิน แล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จลุง วันนี้หลานได้ทำภารกิจที่ใหญ่โตเช่นนี้สำเร็จ พระองค์จะพระราชทานรางวัลอะไรให้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกท่าทางของเขาทำให้รู้สึกหงุดหงิด “ไม่ใช่ว่ารางวัลนั้นอยู่ในมือของซื่อจื่อเฟยหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งอึ้งอย่างที่ไม่คาดคิด
ในที่สุดก็ได้เปรียบแล้ว ฮ่องเต้ยิ้มอย่างเริงร่า
หวงฝู่อี้เซวียนได้สติคืนกลับมา คว้าถ้วยชาที่อยู่ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเดินก้าวยาวๆ มาข้างหน้าหลายก้าว แล้ววางบนข้างพระหัตถ์ของฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง และพูด “สิ่งนี้ หลานได้คืนให้แล้ว เสด็จลุงพระราชทานรางวัลอย่างอื่นแก่หลานเถิดพ่ะย่ะค่ะ แล้วแต่ว่าจะพระราชทานรางวัลอะไรก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขาด้วยรอยยิ้มครู่หนึ่ง แล้วตรัสถาม “อยากได้อะไรล่ะ”
“หลานมิได้มีใจโลภ พระองค์มอบสมุนไพรทำยาชั้นดีในวังหลวงแก่หลานในจำนวนหนึ่งคันรถก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มของฮ่องเต้คลายลง มุมพระโอษฐ์บุ้ยไป “เจ้าบังอาจจริงๆ อ้าปากก็ขอเป็นคันรถเลย เจ้าต้องรู้นะว่าสมุนไพรชั้นดีในวังหลวงจำนวนรถหนึ่งคัน ก็ค้ำจุนกิจการของจวนอ๋องฉีได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดปลิ้นปล้อน “กระหม่อมไม่สนพ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกเสด็จลุงให้หลานหาโอกาสจัดการกับพวกตาเฒ่านั่น และรับปากแล้วว่าเพียงแค่ทำสำเร็จ จะยื่นเงื่อนไขอะไรก็ตามแต่ที่กระหม่อมว่า ไม่ใช่ว่าตอนนี้พระองค์จะกำลังกลืนคำพูดของพระองค์เองแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกพูดย้อนอีกครั้ง
หวงฝู่ซวิ่นที่ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดก็ผงะไปด้วย เขาเองก็รู้สึกว่าหวงฝู่อี้เซวียนแปลกๆ ชอบกล กล้าทำร้ายคนมากมายอย่างสาหัสในทีเดียว ที่แท้ก็เพราะมีเสด็จพ่อหนุนหลังเขาอยู่นี่เอง ก็จริง ปกติแล้วคนเหล่านี้เอาแต่กล่าวอ้างสถานะตัวเอง และทำเรื่องไม่ชอบธรรมเป็นประจำ จึงควรที่จะต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง
หวงฝู่อี้เซวียนมองฮ่องเต้ตาปริบๆ ท่าทางแบบนั้นดูน่าสงสารยิ่งนัก
ฮ่องเต้กระแอมออกมาครั้งหนึ่ง “ก็ได้ เราจะสั่งให้คนไปถ่ายทอดกระแสรับที่ห้องยาหลวง สมุนไพรที่อยู่ด้านใน เจ้าหยิบก็ได้ตามใจชอบ” แต่แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ถูกต้อง จึงกระแอมปกปิดไว้ “อย่าได้เอาของเราไปหมดล่ะ ไม่ว่าอย่างไรก็เหลือไว้ให้เราบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มร่าและพูดขอบคุณ ประคองเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้น คำนับต่อฮ่องเต้เสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ออกไป แต่ว่า ขณะที่กำลังจะเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มมองหวงฝู่ซวิ่นแวบหนึ่ง
หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกขนลุกซู่โดยพลัน ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว จึงรีบลุกขึ้นยืน คำนับ และคิดจะออกไปไล่ตามสองคนนั้น แต่นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้เก็บรอยยิ้ม แล้วพูดกับเขาอย่างเคร่งขรึม “เจ้าอยู่ก่อน วันนี้มีฎีกาที่เพิ่งจะส่งมาสองฉบับ เจ้าลองดูเสียหน่อย พ่อจะไปดูเสด็จย่าของเจ้าในตำหนัก หลังจากกลับมาแล้วจะต้องได้ยินแผนงานความคิดของเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
หวงฝู่ซวิ่นรับคำ
ฮ่องเต้ลุกขึ้น เสด็จออกจากตำหนักหย่างซิน แล้วไปที่ตำหนักของไทเฮา
ขันทีที่ทำหน้าที่ส่งกระแสรับสั่งพาหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ห้องยาหลวง แล้วพูดถ่ายทอดกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ผู้ดูแลในห้องยาหลวงไม่กล้าชักช้า นำทั้งสองคนเข้ามาภายในห้องยาหลวง
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มกวาดสายตา โบกมือสั่งให้ขันทีที่อยู่ในห้องยาหลวงนำสมุนไพรที่โด่งดังและล้ำค่าแต่ละชนิดขนไปเกือบครึ่ง ผู้ดูแลห้องยาหลวงที่ทำได้เพียงแค่มองและรู้สึกปวดใจราวกับเลือดกำลังหลั่งไหลออกจากหัวใจ แทบอยากจะคุกเข่าแล้วเอาศีรษะกระแทกพื้นต่อทั้งสองคน แล้ววิงวอนขอว่าอย่าได้ขนไปอีกเลย ถ้าขนไปอีก ห้องยาหลวงแห่งนี้ก็จะต้องปิดตัวลงแล้ว
ทั้งคู่กวาดตาดูทั้งห้องอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าได้มาพอสมควรแล้ว ถึงจะหยุด หลังจากยิ้มหวานทักทายผู้ดูแลห้องยาหลวงที่สีหน้าขาวซีดและเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว ก็เดินออกมา
เท้าของทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวข้ามออกจากประตู ผู้ดูแลก็รีบปิดประตูดัง ปัง ทันที โดยไม่สนว่าทั้งสองคนจะไปแล้วหรือยัง แล้วรีบตรวจสอบยาสมุนไพรที่เหลืออยู่ทันที ยิ่งเห็นก็ยิ่งตกใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งระทมใจ สุดท้ายกระแทกก้นลงบนพื้น แล้วเตรียมจะร้องไห้ครวญคราง
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สนใจไม้นั้นหรอก สั่งขันทีในวังหลวงขนสมุนไพรขึ้นบนรถม้าของบ้านตัวเอง ตอนนี้ถึงจะเตรียมกลับจวนอ๋องฉีอย่างดีอกดีใจ
มีขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามา พลางโบกมือร้องตะโกน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย กรุณาคอยก่อนขอรับ”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้า หันตัวกลับไป
ขันทีหอบหายใจแรงวิ่งมาถึงตรงหน้าทั้งคู่ แล้วโค้งตัวทำความเคารพ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ข้าน้อยเป็นบ่าวภายในตำหนักไทเฮา ไทเฮาทรงได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าทั้งสองคนเข้ามาในวังหลวง จึงสั่งข้าน้อยให้มาเชิญท่านทั้งสองอยู่รับประทานอาหารด้วยกันก่อน”
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไทเฮาคิดอยากจะเรียกพบหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาโดยตลอด แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็หาเหตุผลต่างๆ มาปฏิเสธ วันนี้มาถึงในวังหลวงแล้ว ถ้ายังปฏิเสธอีกก็คงดูเหมือนว่าไม่ค่อยเหมาะสม หวงฝู่อี้เซวียนหันหน้าไป ส่งสายตาถามความเห็นของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะให้เบาๆ
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก “ไปเถิด”
ขันทีถอนหายใจโล่งอก ความขัดแย้งระหว่างไทเฮากับซื่อจื่อเฟย คนที่เป็นบ่าวอย่างพวกเขาเห็นอย่างชัดเจน แม้ว่าไทเฮาอยากจะหาอะไรเพื่อชดใช้อย่างเต็มที่ ซื่อจื่อก็ไม่ให้โอกาสพระองค์เลย ฮ่องเต้ไปตำหนักของไทเฮาเมื่อครู่ บอกว่าทั้งสองคนไปห้องยาหลวง ไม่รู้ว่าหยิบสมุนไพรชั้นดีไปมากเท่าไร ทันทีที่ไทเฮาได้ยินก็รีบสั่งคนให้มาเชิญพวกเขา ในใจของขันทีกระวนกระวายอย่างยิ่ง กลัวว่าทั้งคู่ไม่ยอมไปหาพระองค์ แล้วเมื่อตัวเองกลับไปก็จะต้องถูกตำหนิ นึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะรับปากอย่างง่ายดายเช่นนี้ ขันทีดีใจออกนอกหน้า ในเวลาเดียวกันก็รีบหันตัวกลับเพื่อนำทางโดยทันที แล้วเดินไปยังตำหนักไทเฮา
“คอยก่อน!” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
ฝีเท้าของขันทีหยุดโดยพลัน ในใจหนักอึ้ง รู้สึกถึงความเจ็บปวดของแผ่นไม้ใหญ่ที่หนักหน่วงแผ่นนั้นหวดเข้าที่ร่างของตัวเอง หันตัวไป แล้วพยายามฉีกยิ้มออกมา “ซื่อจื่อ ท่าน…?”
“ข้าขอสั่งคนให้ขนยากลับไปก่อน”
ไม่ใช่ว่าไม่ไป ความรู้สึกแสบร้อนที่ก้นนั่นหายไปทันที แล้วพยักหน้าอย่างดีใจไม่หยุด “ซื่อจื่อไม่ต้องรีบขอรับ ข้าน้อยเป็นฝ่ายรอท่านขอรับ”
ผละจากเมิ่งเชี่ยนโยว เดินออกนอกประตูวังหลวง หวงฝู่อี้เซวียนสั่งโจวอัน “ขนสมุนไพรกลับไปที่จวนอ๋อง หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้วค่อยมารับพวกเรา”
โจวอันรับคำ
หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวกลับไป แล้วตามขันทีมาถึงตำหนักของไทเฮาพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว
ในพระทัยของไทเฮากระวนกระวายอย่างยิ่ง แม้ขณะพูดคุยกับฮ่องเต้ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชะโงกทอดพระเนตรไปนอกประตูอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงรายงานของขันที พระพักตร์ถึงจะเผยความยินดีออกมา อยากจะลุกขึ้นเพื่อออกไปต้อนรับ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงนั่งตัวตรง แล้วสั่งให้เชิญทั้งคู่เข้ามา
ทั้งสองคนเข้ามาในห้อง แล้วแสดงความเคารพตามธรรมเนียม
ไทเฮาประคองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต่อไปธรรมเนียมพวกนี้ก็เว้นให้หมดเสียเถิด” หลังจากนั้นก็ตรัสสั่งอีก “ยกเก้าอี้นิ่มมาให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย”
ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณ รอให้กูกูผู้ดูและขนเก้าอี้เข้ามา แล้วจึงนั่งลงอย่างมีเรียบร้อย
เมื่อก่อนรู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เหมาะสมกับหลานชายของตัวเอง ไม่ว่าจะมองนางอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกชะตา แต่บัดนี้เห็นนางนั่งลงข้างกายหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนอบน้อม ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง สงบเสงี่ยมและสง่างามไปทั้งกาย ไทเฮาก็ตระหนักได้แล้วว่าทั้งคู่เป็นกิ่งทองใบหยกที่สวรรค์สรรสร้างมา
ดังนั้นจึงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างมากพูด พร้อมด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้เซวียนเอ๋อร์พาเจ้าเข้าวังหลวงมาให้ข้าดูเสียหน่อยตั้งนานแล้ว เขากลับบ่ายเบี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เข้าวังหลวงมาแล้วทั้งที ก็ยังไม่ยินยอมมาพบหญิงแก่อย่างข้าคนนี้อีก เป็นเพราะติดใจกับเรื่องเมื่อก่อนอยู่หรือ ในใจยังโกรธเกลียดข้าอยู่ใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า ยิ้มหวาน “ไทเฮาเพคะ พระองค์เข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันมิได้โกรธเกลียดท่านเลย เพียงแต่ช่วงนี้ หม่อมฉันแพ้ท้องหนักมาก ออกจากประตูจวนไม่ได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ดังนั้นจึงมิได้มาเยี่ยมพระองค์เลยเพคะ”
ไหนเลยที่ไทเฮาจะไม่รู้ว่านี่เป็นข้ออ้างของนาง ความจริงแล้วก็คือไม่ยินยอมมาพบตัวเองนั่นแหละ แต่นางพูดเช่นนี้ล้วนเพื่อไว้หน้าตัวเอง เวลานั้นจึงไม่ได้พูดรบเร้าเรื่องนี้ต่ออีก และถามอย่างเป็นห่วง “ตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มตอบ “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ หนึ่งวันก็เพียงแค่สองสามครั้ง”
ไทเฮายิ้มพยักหน้า แล้วตรัสว่า “วันนี้ดูเจ้าผอมลงไปหน่อยจริงๆ เห็นทีต่อไปต้องบำรุงให้มากขึ้นแล้ว เจ้าอยากกินก็อะไรบอกข้า ข้าจะสั่งครัวหลวงทำมาให้เจ้าทันที”
“ขอบพระทัยไทเฮาอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันไม่เลือกกิน อาหารอะไรก็ได้เพคะ”
ไทเฮายิ้มเตือนนาง “เจ้าเด็กคนนี้ แต่งงานกับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เรียกไทเฮาๆ อยู่นั่น ควรเรียกว่าเสด็จย่าตามเซวียนเอ๋อร์สิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคล้อยตามด้วยรอยยิ้ม “เพคะ เสด็จย่า”
แต่ไหนแต่ไรไทเฮาไม่เคยได้ยินคำว่าเสด็จย่าได้รื่นหูเท่านี้มาก่อน จึงรับคำอย่างดีใจทันที แล้วตรัสอย่างยิ้มแย้ม “มีเจ้านี่แหละที่ใส่ใจ ไม่เหมือนใครบางคนที่แล้งน้ำใจ ข้าขอร้องให้พาชายาของตัวเองมาให้ข้าดู ก็ไม่ยินยอมท่าเดียว ราวกับข้าจะกัดกินชายาของเขาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น”
คำพูดนี้จะหมายถึงใคร ในใจทุกคนล้วนกระจ่างชัด หวงฝู่อี้เซวียนก็เข้าใจ จึงรีบโต้แย้งกลับมา “เสด็จย่า เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะโยวเอ๋อร์แพ้ท้องอย่างรุนแรงจริงๆ จึงเข้าวังหลวงไม่ได้เลยต่างหากพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่ ทุกคนล้วนรู้แก่ใจดี แต่ไทเฮาก็ไม่ได้ตรัสเปิดเผย แล้วสั่งด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปหากไม่มีอะไรก็พาโยวเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาให้หญิงชราอย่างข้าดูบ้าง ข้าแก่แล้ว อยากทำอะไรที่มีชีวิตชีวาบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนรีบรับคำ
กูกูผู้ดูแลเข้ามารายงานว่าอาหารได้จัดวางเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนจึงนั่งลงรับประทานอาหาร
เดินทางกลับไปกลับมา วุ่นวายไปครึ่งค่อนวัน เมิ่งเชี่ยนโยวหิวมากแล้วจริงๆ รอให้ไทเฮาและฮ่องเต้หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว ก็ไม่รอช้า หยิบตะเกียบขึ้นมากินด้วยเช่นกัน
หวงฝู่อี้เซวียนก็หยิบตะเกียบขึ้น ช่วยนางคีบอาหารที่ล้วนเป็นสิ่งที่สายตานางไปที่ไหน ตะเกียบของหวงฝู่อี้เซวียนก็คีบมาให้ถึงหน้าแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกินคำใหญ่ๆ เต็มปาก
ไทเฮาและฮ่องเต้เห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อย ก็รู้สึกหิวไปด้วย แต่ละคนจึงกินไปสองชาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมานี้เลย
ไทเฮาวางตะเกียบและชามลง แล้วเช็ดปากอย่างสง่างาม พร้อมตรัสอย่างยิ้มแย้ม “นานมากแล้วจริงๆ ที่ข้าไม่ได้กินข้าวเยอะขนาดนี้ นี่เป็นเพราะโยวเอ๋อร์เลย บอกมาเถิด อยากได้รางวัลอะไร วันนี้ย่าจะรับปากเจ้าทุกอย่าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็วางถ้วยและตะเกียบลง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราไม่ได้อยากได้อะไรเลยเพคะ เพียงแต่ขอให้เสด็จย่ามีอายุยืนนานก็พอแล้วเพคะ”
คำพูดนี้ทำให้ไทเฮารู้สึกชอบอกชอบใจอย่างมาก ดีใจจนหุบปากไม่ได้ แล้วรีบสั่งกูกูผู้ดูแลทันที “ไป ไปเอารังนกสีแดงอย่างดีสองกล่องมาให้โยวเอ๋อร์นำกลับไป”
รังนกสีแดงนี้เป็นสิ่งล้ำค่าในหมู่มวลรังนก ภายในห้องคลังของไทเฮามีอยู่ทั้งหมดเพียงสามกล่อง ปกติแล้วก็จะรู้สึกเสียดายจึงไม่ค่อยได้เสวย ตอนนี้พระราชทานให้เป็นรางวัลแก่เมิ่งเชี่ยนโยวสองกล่อง เห็นได้ชัดว่าวันนี้พระองค์อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
กูกูผู้ดูแลรับคำ แล้วไปห้องคลังเล็กเพื่อนำรังนกสีแดงออกมา เดินมาถึงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน ก็เปิดกล่องออกมาให้พวกเขาเห็นของที่อยู่ด้านในอย่างชัดเจน
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจร้องออกมา “เสด็จย่าเพคะ นี่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถรับได้เพคะ ทรงพระชนม์มากแล้ว เก็บเอาไว้เสวยเองเถิดเพคะ”
ครั้นเห็นนางไม่โลภเหมือนกับคนอื่นที่พอเห็นของดีก็รีบขอบคุณรับโดยทันที ในพระทัยของไทเฮาก็ยิ่งอภิรมย์ แล้วตรัส “ย่าให้เจ้า เจ้าก็รับไปเถิด ตอนนี้เจ้าก็ตั้งครรภ์พอดี ต้องบำรุงให้ดี ต่อไปย่าจะได้มีเหลนตัวขาวอ้วนกลมเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเรื่อ อยากจะปฏิเสธอีก แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับรับมา แล้วขอบคุณอย่างดีใจ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่า”
ไทเฮาโบกมือปฏิเสธ “ยังจะเกรงใจกับย่าอีก ต่อไปอยากได้อะไรก็ขอให้เอ่ยปากบอก ต่อให้ย่าไม่มี ก็จะสั่งคนไปหามาให้พวกเจ้า”
“ขอบพระทัยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองคนขอบคุณพร้อมกันอีกครั้ง
แล้วพูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮาและฮ่องเต้สักครู่ เมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวดูเหนื่อยล้า ไทเฮาก็สั่งคนให้ส่งทั้งสองคนออกไปจากวังหลวง
ทั้งคู่ขึ้นรถม้าที่โจวอันมาคอยอยู่หน้าประตูวังหลวง แล้วกลับจวนอ๋องฉี
พอเข้ามาในห้องของตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เหนื่อยจนไม่แม้แต่จะถอดเสื้อนอกออก ก็เอนกายลงบนเตียง ปิดตาลง แล้วพูด “อี้เซวียน ข้าขอพักสักหน่อย”
พูดจบ ก็หลับสนิทไป
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดใจอย่างมาก ดันร่างกายของนางอย่างระมัดระวังเพื่อถอดชุดนอกให้นางด้วยท่าทางที่นุ่มนวล เพื่อให้นางได้นอนอย่างสบายขึ้น
จากนั้น สั่งคนให้นำน้ำมา แล้วเช็ดหน้าและมือของนางด้วยตัวเอง เสร็จแล้วก็สั่งหวงฝู่อี้เฝ้าไว้ ไม่ให้ผู้ใดมารบกวนพวกเขา
เขาถอดเสื้อนอกออก นอนอยู่บนเตียง แล้วโอบเมิ่งเชี่ยนโยวที่นอนหลับสนิทไว้ในอ้อมอก และนอนเป็นเพื่อนด้วยกันกับนาง
ทันทีที่ทั้งคู่นอนหลับไป ก็ล่วงเลยจนถึงเวลาที่ฟ้าใกล้มืดแล้ว ถึงจะตื่นขึ้นมา
หวงฝู่อี้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกตลอด ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงรายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ไท่จื่อเสด็จมาขอรับ และรอเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”