ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 303 คิดอยากได้ผลประโยชน์
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 303 คิดอยากได้ผลประโยชน์
เมิ่งเชี่ยนโยวเอื้อมมือขึ้นโอบคอของเขาไว้ ปล่อยกายครึ่งหนึ่งของตัวเองอิงอยู่บนกายเขา แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อยากจะรู้โลกก่อนของข้าก็ได้ แต่สามีผู้งดงามไร้ใครเทียมของข้าจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกันล่ะ”
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มแห่งความอันตราย “เมียรักอยากได้อะไร ก็ขอให้บอกมา สามีมิบังอาจไม่เชื่อฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความอันตราย แต่ก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดึงมือข้างหนึ่งกลับมา แล้วดันคางของหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “มีหนุ่มรูปงามอยู่ตรงหน้า ข้าก็เริ่มไม่ค่อยรู้ว่าอยากจะได้อะไรเสียแล้ว ขอให้ข้าคิดก่อน อีกวันสองวันค่อยตอบเจ้าได้หรือไม่”
ประกายเล็กๆ ในดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนหายวับไป แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
พูดจบ ก็ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ ย่อเข่าลงอุ้มนางขึ้นมา แล้วกลับเข้าไปภายในห้องของตัวเอง
กระทั่งชิงหลวนมารายงานอย่างระมัดระมังด้านนอกห้องว่า อาหารได้เตรียมเสร็จแล้ว และสามารถรับประทานได้ทุกเมื่อ หวงฝู่อี้เซวียนก็ส่งเสียงที่ปนด้วยความเร่าร้อนจากด้านในห้องออกมา “ยกเข้ามาแล้วกัน”
ชิงหลวนรับคำ ไม่กล้าให้หวงฝู่อี้รับ จึงยกอาหารเดินเข้าไปในห้องกับจูหลีด้วยกันสองคนโดยที่ไม่ลอบมองเข้าไปในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวเสื้อผ้าไม่ค่อยเรียบร้อย ผมเผ้าที่ยาวสลวยทั้งศีรษะปรกลงมาข้างหน้า เอนพิงหมอนบนเตียงด้วยสีหน้าแดงเรื่อ เสื้อผ้าของหวงฝู่อี้เซวียนยังนับว่าเรียบร้อยอยู่ และสั่งทั้งสองคน “วางไว้บนโต๊ะ แล้วออกไปเถอะ”
ทั้งสองคนรีบนำอาหารวางไว้บนโต๊ะ แล้วสาวเท้าออกจากห้องโดยเร็ว มองกันและกันแวบหนึ่ง ในใจก็รู้สึกไม่เห็นด้วย การควบคุมตัวเองของซื่อจื่อคนนี้แย่เกินไป ร่างกายของนายหญิงยังไม่มั่นคง ทำไมเขาถึงเริ่มก่อกวนแล้ว
ถ้าหวงฝู่อี้เซวียนล่วงรู้ความคิดในใจของทั้งสองคน จะต้องร้องเสียงดังว่าถูกเข้าใจผิดแล้วอย่างแน่นอน เขายังไม่ได้แม้แต่จะได้ถึงเนื้อถึงตัวเลย แล้วจะนับว่าก่อกวนได้ที่ไหนกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบผ้ามัดผมรวบผมของตัวเองไว้ด้านหลังอย่างง่ายๆ สวมรองเท้าเรียบร้อย ก็เดินมานั่งที่ด้านหน้าของโต๊ะ นึกไม่ถึงว่า อากัปกิริยานี้ของนางตกอยู่ในห้วงสายตาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วก็เป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง ไฟเร่าร้อนที่เพิ่งยับยั้งไปได้ก็ถาโถมขึ้นมาอีกครั้ง ภายในตาก็เผยประกายวับวาม
หวงฝู่อี้เซวียนอดทนต่อความปรารถนา แล้วมากินข้าวกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่ออิ่มแล้ว ก็ไปเดินเล่นภายในจวนเป็นเพื่อนนางเพื่อย่อยอาหาร หลังจากกลับมาที่ห้อง ก็ระงับอารมณ์ไว้ไม่ไหวและโถมเข้าใส่
ทั้งเย็นนี้ หวงฝู่อีเซวียนไม่เพียงแต่รู้เรื่องโลกก่อนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยังได้รับรู้ถึงความสุขในอีกวิธีหนึ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอนให้ แน่นอนว่านี่ก็เป็นต้นเหตุแห่งหายนะที่เกิดขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยว เพราะว่าเมื่อหวงฝู่อี้เซวียนที่มีพลังมหาศาลได้ลิ้มลองรสหวานแล้ว อย่าว่าแต่ทุกวัน ผ่านไปเพียงสามวันห้าวันก็รู้สึกโหยหาขึ้นมาอีก
หลายวันผ่านไปไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้รับความพึงพอใจอย่างมาก ทุกวันล้วนมีท่าทางที่ยิ้มร่าเริงเบิกบาน ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นต่างกัน ทุกวันนอกจากกินแล้วก็นอน
พระชายาฉีเห็นว่าเป็นเพราะนางตั้งครรภ์จึงรู้สึกง่วงง่าย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่สั่งห้องครัวเล็กภายในเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนต้มน้ำแกงบำรุงให้นางมากหน่อย
เมิ่งเหรินมีชื่อติดอยู่ในประกาศราชสำนักแล้ว จิตใจของเมิ่งต้าจินและคนอื่นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ หลังจากเดินชมทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วรอบหนึ่งโดยที่มีเมิ่งฉีและเมิ่งอี้ไปด้วย ก็อยากกลับบ้านแล้ว
แต่หลายวันนี้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาหา จึงจำเป็นต้องส่งเหวินเปียวไปเรียกตัว
เมื่อเห็นเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยวโยวก็ทุบหัวตัวเอง นึกเรื่องที่เป็นคนกลางให้แก่ผู้จัดการอันกับเหวินเหลียนขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างรู้สึกผิด “ความจำของข้าตอนนี้ทำไมแย่ลงถึงเพียงนี้แล้ว เรื่องสำคัญอย่างนี้ทำไมถึงลืมไปได้ พวกเจ้าปรึกษากันแล้วหรือยัง คิดอย่างไรกับงานแต่งงานครั้งนี้บ้าง”
“ข้าถามเหลียนเอ๋อร์อย่างละเอียดแล้ว นางบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรขอรับ” เหวินเปียวตอบอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ในเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วย อีกประเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกผู้จัดการอันสักหน่อย เวลานั้นข้ารับปากไว้ว่าวันถัดมาจะให้คำตอบแต่เขา เป็นแบบนี้แย่แล้ว ต้องเข้าใจผิดมหันต์อย่างแน่นอน เขาต้องคิดว่างานแต่งครั้งนี้จะไม่มีหวังแล้วแน่เลย”
พูดจบ ก็เรียกชิงหลวนมา ให้นางไปส่งจดหมายให้แก่ผู้จัดการอัน ส่วนตัวเองกับหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับไปที่บ้านด้วยกัน
หลายวันนี้เมิ่งซื่อไม่ได้ไปที่จวนอ๋อง ใจก็คิดถึงนางตลอด ครั้นเห็นสีหน้านางแดงอิ่มเอิบราวกับอ้วนท้วมกว่าเดิมเล็กน้อย ก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ลุงกับป้าของเจ้าบอกว่าจะกลับให้ได้ ข้ารั้งไว้ไม่ได้ จึงเรียกพวกเจ้ามา”
ภรรยาเมิ่งต้าจินรับคำ “ตอนที่ข้ามาได้ฝากฝังพ่อกับแม่ให้พี่สะใภ้สามดูแล จึงรู้สึกวางใจอยู่ตลอด กลับไปโดยเร็วจะดีกว่า”
“ร่างกายของพ่อกับแม่นับว่าแข็งแรงดี พวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้ มีอะไรที่ไม่สบายใจกันเล่า เจ้าน่ะนะ เพราะว่าคิดถึงบ้านแล้วนั่นแหละ ก็เลยอยากจะกลับไปเร็วหน่อย” เมิ่งซื่อยิ้มพูด
ภรรยาเมิ่งต้าจินยอมรับ “เจ้าก็อย่าพูดไป ข้าคิดถึงบ้านแล้วจริงๆ นั่นล่ะ เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้มาเมืองหลวงน่ะนะ ก็รู้สึกอิจฉาแทบแย่ มักจะฝันว่าชาตินี้ต้องมาเมืองหลวงให้ได้สักครั้ง ตายไปก็คงคุ้มแล้ว แต่หลังจากที่มาเมืองหลวงจริงๆ อย่างไรก็รู้สึกว่าที่บ้านของพวกเราดีกว่า แทบอยากจะกลับไปเร็วๆ เลย”
เมิ่งซื่อลึกๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนกัน และพยักหน้า “ข้าก็ด้วย หากไม่ใช่โยวเอ๋อร์ตั้งท้อง ต่อให้จะให้เงินร้อยตำลึงแก่ข้าทุกวันโดยเปล่าๆ ข้าก็ไม่อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ต่อหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินจึงเข้ามาคล้องแขนเมิ่งซื่อไว้ แล้วพูดอย่างออดอ้อน “มีท่านแม่นี่แหละที่เอ็นดูข้าที่สุดเลย”
ใบหน้าของภรรยาเมิ่งต้าจินเต็มไปด้วยความริษยา แววตามองไปทางอิงจื่อกับโจวอิ๋ง
ทั้งสองคนเข้าใจความหมายในสายตาของนางโดยพลัน ร่างกายก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งพร้อมกัน แม่สามีอยากได้หลานสาวจนแทบคลั่งแล้ว ทว่า หลายปีนี้ท้องของพวกนางก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่ว่าคลอดลูกชายคนหนึ่งแล้วตั้งแต่เนิ่นๆ พวกนางก็คงคิดว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้เสียแล้ว
มองเห็นท่าทางของพวกนาง ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมิ่งซื่อเข้าใจความคิดในใจของนาง จึงยิ้มปลอบ “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกนางล้วนยังเด็กอยู่ ต่อไปพวกเราคิดสิ่งใดก็จะสมปรารถนาแน่นอน”
อารมณ์ของภรรยาเมิ่งต้าจินยิ่งห่อเ**่ยวขึ้น แล้วถอนหายใจอีกรอบ “คอยดูเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านป้า ครั้งนี้พี่เมิ่งเหรินมีชื่อในประกาศของราชสำนัก ทางราชสำนักจะต้องออกคำสั่งหน้าที่ราชการมาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ข้ากับอี้เซวียนอยากจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านจะยอมให้พี่เมิ่งเหรินอยู่ที่เมืองหลวง หรือว่าจะให้ส่งเขาไปนอกเมืองเจ้าคะ”
หลายวันนี้เมิ่งต้าจินก็ใคร่ครวญปัญหานี้เช่นกัน เขากับเมิ่งเหรินก็ได้ปรึกษากันแล้ว เมื่อได้ยินจึงตอบว่า “ข้ากับเหรินเอ๋อร์ได้ปรึกษากันแล้ว เจ้ากับอี้เซวียนอยู่ที่เมืองหลวง เมื่อใดที่ต้องการใช้คน ถ้าหากเป็นไปได้ ก็ให้เหรินเอ๋อร์อยู่ที่เมืองหลวงช่วยเหลือพวกเจ้าเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะ มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนก็เห็นด้วย แล้วพูด “อีกไม่กี่วัน ข้าจะไปช่วยฝากฝังให้ ท่านลุงวางใจเถิด”
“มีพวกเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจ แต่ข้าก็รู้มาว่าหน้าที่ข้าราชการที่ได้รับนี้คืองานในกรมขุนนาง ถ้าหากยากลำบากเกินไป ให้เหรินเอ๋อร์ไปฝึกสักสองสามปีก่อนก็ได้ พอถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอี้เซวียนเถิดเจ้าค่ะ ส่วนท่านลุงรอฟังข่าวก็พอเจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
เมื่อตกลงเรื่องกันแล้ว สามีภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่ยอมจะอยู่ต่ออีกแม้แต่วันเดียว แทบอยากจะกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวหาเหตุผลมาพูดต่างๆ นานา เพื่ออ้อนวอนให้พวกเขาพวกอยู่ต่ออีกสองคืน สั่งคนในบ้านซื้อของไม่น้อย แล้วบรรจุเต็มรถม้าคันใหญ่สองคัน ถึงจะให้คนคุ้มครองส่งพวกเขากลับไป ส่วนครอบครัวของเหวินเปียว เหวินซงและเหวินเหลียนก็อยู่ในเมืองหลวงต่อ เตรียมการเรื่องงานแต่งงานของเหวินซงกับเหวินเหลียนระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่าอีกที
หลายวันไม่ได้คำตอบจากเมิ่งเชี่ยนโยว ผู้จัดการอันก็หมดหวังแล้ว พอได้ข่าวจากชิงหลวนโดยกะทันหัน ก็ดีใจจนกระโดดขึ้นสูง แล้วถามอย่างไม่รีรอ “แม่นางชิงหลวน นายหญิงได้บอกให้ข้าไปสู่ขอเมื่อใดหรือไม่”
แต่ไหนแต่ไรมาผู้จัดการอันเป็นคนสุขุมนิ่ง เวลาที่จะเปิดเผยอารมณ์ออกมาเช่นนี้ไม่เคยมีให้เห็นเลย วันนี้เป็นครั้งแรก ชิงหลวนจึงตาโตอ้าปากด้วยความตะลึงไปเล็กน้อย พอได้ยินคำพูดจึงได้สติคืนกลับมา แล้วส่ายหน้ายิ้ม “นายหญิงไม่ได้พูดะ แต่ก็ใกล้แล้ว เจ้าเตรียมสิ่งของที่จะไปสู่ขอเถิด”
ผู้จัดการอันเกาหัวตัวเองแล้วถามอีก “แม่นางชิงหลวน การสู่ขอนี่ควรจะเตรียมอะไรหรือ”
ชิงหลวนโบกมือ “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ เจ้าลองไปสืบถามเองดีกว่า”
ดังนั้น ถัดมาหลายวัน ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนให้เตรียมของให้แก่คนในบ้าน ผู้จัดการอันก็มิได้เกียจคร้าน ไปสืบเรื่องของที่ต้องเตรียมสำหรับการสู่ขอทั่วสารทิศ ทว่า สืบไปสืบมา ก็ไม่อาจสืบได้อย่างชัดเจนว่าควรจะเตรียมของแบบไหน คิดทบทวนวนไปเวียนมา ก็กลับมาถึงจวนเปา ครั้นเห็นผู้ดูแลอาวุโส จึงขอให้เขาช่วยถามฮูหยินเปาว่าตกลงแล้วควรจะเตรียมสิ่งใดดี
ผู้จัดการอาวุโสก็จัดการเรื่องเช่นนี้มาน้อย จึงพาเขาไปขอพบฮูหยินเปา
ฮูหยินเปาสอบถามสถานะของฝ่ายหญิง ผู้จัดการอันก็บอกแต่ไม่รู้ ฮูหยินเปาก็รู้สึกลำบาก จึงพูด “เจ้าไปสืบสถานะของฝ่ายหญิงให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยมาเถิด”
ผู้จัดการอันรู้สึกละอาย ขอบคุณฮูหยินเปาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วกลับไปที่โรงงาน ทุกวันเฝ้ามองไปทางประตูโรงงานตาปริบๆ หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะมาหาโดยเร็ว
เมิ่งต้าจินและคนอื่นไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไปที่กรมขุนนาง สืบสถานการณ์เกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ ของขุนนางใหม่ที่ได้เข้ามาในปีนี้ คนในกรมขุนนางล้วนเฉลียวฉลาด เดาได้ทันทีว่าเขามาด้วยเหตุผลอันใด จึงยิ้มขึ้น และสอบถามด้วยเสียงเบา “ซื่อจื่อ ต้องการให้พวกเราดูแลผู้ใดเป็นพิเศษหรือไม่ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่มาฟังข่าวคราวเท่านั้น” พูดจบก็หันตัวเดินออกมากรมขุนนาง
ขุนนางในกรมมองเงาแผ่นหลังของเขา คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
กลับถึงภายในจวน เมิ่งเชี่ยนก็โยวยิ้มถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าคิดๆ แล้ว เรื่องนี้ให้พี่ใหญ่จัดการเถิด วันรุ่งพวกเราไปหาเขาที่ตงกงกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้ง แล้วรีบยิ้มออกมา “ก็ดี ต่อไปใต้หล้านี้จะเป็นของพี่ใหญ่ เรื่องนี้ให้เขาจัดการได้อยู่แล้ว แต่เจ้าไปครึ่งค่อนวันนี้ ข้านึกเรื่องหนึ่งออก เช่นนั้นก็ไปขอพี่ใหญ่ด้วยกันดีกว่า”
“เรื่องอะไร”
“สามีของฮั่วเซียงหลิงก็มีชื่ออยู่บนประกาศด้วยมิใช่หรือ ข้าเห็นคนนั้นดูท่าทางไม่เลว พวกเราก็ช่วยเขาอีกแรงด้วยดีกว่า หางานราชการในเมืองหลวงให้แก่เขา เขาจะได้อยู่เพื่อดูแลภรรยาและลูก ถือว่าทดแทนบุญคุณที่นายท่านฮั่วช่วยเหลือทุกคนในสำนักคุ้มภัยในปีนั้น”
สำหรับหวงฝู่ซวิ่นแล้ว ให้ขุนนางไม่กี่คนอยู่ในเมืองหลวงน่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี วันรุ่งพวกเราไปที่ตงกงกัน”
ดังนั้น วันถัดมา ขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้าภายในตงกงด้วยสีหน้าเบิกบาน ในใจของหวงฝู่ซวิ่นก็ไหวสั่น สามีภรรยาใจอำมหิตคู่นี้ ทุกครั้งหากไม่มีอะไรก็จะไม่เข้ามาในตำหนักหรอก เขาใกล้จะถูกสองคนนี้ทำให้ป่วยทางจิตอยู่แล้ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มิได้เหนือความคาดหมายของเขาเลย ขณะที่เพิ่งจะนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอ่ยปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ วันนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องเจ้าค่ะ”
ปากบอกว่าขอร้อง แต่ใบหน้ากลับไม่มีท่าทีขอร้องแม้แต่น้อย ในใจของหวงฝู่ซวิ่นพูดบ่นอุบอิบ ถึงจะเอ่ยปากถาม “เรื่องอะไร”
รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งฉายแสงสว่างไสว “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าปีนี้สอบติดแล้ว ข้าจึงอยากให้พี่ใหญ่ช่วยให้เขาอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจผิดแล้ว นึกว่านางอยากจะขอร้องตำแหน่งสูงให้แก่เมิ่งเหริน จึงพูดด้วยสีหน้าที่ยากลำบาก “การรับหน้าที่ของขุนนางในราชสำนักล้วนมีระบบระเบียบ นอกจากพี่ใหญ่ของเจ้าจะเป็นคนที่สอบได้สามอันดับแรก มิฉะนั้นก็ยากที่จะไปถึงตำแหน่งสูงได้”
“พี่ใหญ่คิดไกลแล้ว ข้าไม่ได้อยากให้พี่ใหญ่ของข้าได้ตำแหน่งสูง แต่อยากจะให้เขาอยู่ในเมืองหลวง และปฏิบัติงานในตำแหน่งที่เหมาะสมก็พอเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้จัดการไม่ยาก หวงฝู่ซวิ่นจึงรับปากอย่างเต็มใจ
นึกไม่ถึงว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเอ่ยปากขึ้นอีก “ไม่เพียงแต่พี่ชายของข้า ยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่อยากจะให้พี่ใหญ่ช่วยให้อยู่ในเมืองหลวงอีก”
สีหน้าของหวงฝู่ซวิ่นไม่ค่อยดี “พวกเจ้าทั้งสองคนเห็นข้าเป็นอะไรแล้ว คิดว่าราชสำนักนี้ข้าครอบครองไว้ในมือหรือ อยากจะให้ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงก็ให้อยู่ ข้าไม่ได้มีความสามารถมากมายเช่นนั้นหรอกนะ และข้าก็ไม่กล้าแหกกฎระเบียบของกรมขุนนางอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้พี่ใหญ่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ แต่เพื่อนของข้าคนนี้นับว่ามีบุญคุณต่อข้า ขอพี่ใหญ่ช่วยเรื่องนี้ด้วยเถิด”
ต่อรองไปมาหลายรอบ หวงฝู่ซวิ่นก็เรียนรู้จนฉลาดแล้ว รู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรสองคนนี้ก็ต้องกดดันตัวเองรับปากให้ได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นตัวเองก็ถือโอกาสนี้เรียกร้องเงื่อนไขสักอย่าง จะได้มีผลประโยชน์บ้าง ดังนั้น จึงเลียนแบบท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียน ทำร่างกายให้ผ่อนคลาย พิงพนักเก้าอี้ แล้วถามอย่างสบายๆ “ถ้าหากว่าข้ารับปากช่วยเหลือเพื่อนของเจ้าแล้ว ข้าจะได้ผลประโยชน์อันใดเล่า”
“พี่ใหญ่จะได้ครอบครองแผ่นดินในไม่ช้า ผลประโยชน์อย่างไรกันที่จะอยู่ในสายตาได้” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถามด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่ซวิ่นโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “ไม่หรอก แม้แต่เสด็จพ่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรตามพระทัยได้ แล้วยิ่งถ้าเป็นข้าล่ะ”
“เช่นนั้นพี่ใหญ่ต้องการเงื่อนไขแบบไหนหรือขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างเคร่งขรึม