ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 304 เมาสุรา
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 304 เมาสุรา
มองทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วคว้าถ้วยชาที่อยู่ข้างมือขึ้นมา วนแก้วอย่างไม่ใส่ใจสักพัก ถึงจะวางลงอย่างเบาๆ มองทั้งคู่โดยไม่ละสายตาและพูด “เงื่อนไขของข้าก็คือ หลังจากที่ข้าได้ขึ้นครองบังลังก์แล้ว ภายในยี่สิบปี เจ้าจะไม่สามารถจากไปไหนได้ ต้องช่วยให้ข้าปกครองแผ่นดินนี้อย่างมั่นคง”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจ แต่สีหน้าภายนอกไม่ได้แสดงอาการอะไรและมองเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึมเช่นเดิม “พี่ใหญ่ไม่คิดว่าเงื่อนไขที่เสนอมานี้จะสูงเกินไปหน่อยหรือ ข้าอยู่ในเมืองหลวงกับพี่ใหญ่ เพียงเพื่อคนที่โยวเอ๋อร์มาเจรจา ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะช่วยเหลือพวกเราต่อไปในอนาคตได้มากมายเสียหน่อย ครั้งนี้พี่ใหญ่อาจจะคิดผิดแล้ว”
“อย่าลืมล่ะ นอกจากเงื่อนไขนี้ ยังมีเรื่องสำนักคุ้มภัยเวยหย่วน และไม่แน่ว่าต่อไปยังมีเรื่องอื่นอีก เพียงแค่เจ้ารับปากเงื่อนไขของข้า ไม่ว่าต่อไปพวกเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด ข้าจะช่วยอย่างสุดความสามารถ แต่เวลาเดียวกันก็ขอให้พวกเจ้ารักษาสัญญา ต่อไป เมื่อข้านั่งบนบัลลังก์นั่นแล้วจะต้องคุ้มครองพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้ไร้ซึ่งกังวลตลอดชีวิต เป็นอย่างไรล่ะ เงื่อนไขนี้ได้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดทันที แต่กลับขมวดคิ้ว และครุ่นคิดอย่างหนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดเช่นกัน ยกน้ำเปล่าที่อยู่ข้างมือจิบเบาๆ
ในใจของหวงฝู่ซวิ่นกลับนึกขึ้นมาได้ว่า ความสามารถของสองคนนี้ สามารถต้านทานคนของราชสำนักได้ถึงครึ่งหนึ่ง และด้วยความสามารถของเมิ่งเชี่ยนโยว เพียงไม่กี่ปีก็ต้องกุมเศรษฐกิจของรัฐอู่ได้อย่างมั่นคง ถ้าตัวเองสามารถทำให้พวกเขาอยู่ข้างกายได้ ผ่านไม่นานสถานการณ์ของรัฐอู่จะต้องไม่เหมือนกับตอนนี้อย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ประเทศจะร่ำรวย ประชาชนจะแข็งแกร่ง อีกทั้งยังทำให้ไม่มีรัฐไหนหาญกล้ามาล่วงเกินได้
ไม่มีใครพูด ภายในห้องเงียบสงัด
หวงฝู่ซวิ่นจ้องหวงฝู่อี้เซวียนเขม็ง ไม่ยอมพลาดความรู้สึกใดๆ บนหน้าเขา แต่หวงฝู่อี้เซวียนที่นอกจากขมวดคิ้วแล้ว ก็ไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนใดๆ เลย ทำให้เขาไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจไปพักหนึ่ง ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา เดาว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อาจจะทำเกินไปแล้วหรือไม่ ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนมีความเกลียดชังกับราชวงศ์จนไม่ยอมช่วยเหลือเขาต่อไปในภายภาคหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำทีก้มหน้าจิบน้ำเปล่า มุมปากเผยรอยยิ้ม หวงฝู่อี้เซวียนมีสถานะเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี การช่วยแบ่งเบาความยากลำบากในราชสำนักเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอม ก็คงไม่ถึงขนาดละทิ้งและไม่สนใจโดยทั้งหมดอย่างแน่นนอน เงื่อนไขที่หวงฝู่ซวิ่นเสนอในวันนี้ก็เท่ากับไม่ได้เสนออย่างไรอย่างนั้น น่าสงสารเขาที่ยังไม่รู้สึกตัว แล้วรอคอยคำตอบของหวงฝู่อี้เซวียนตาปริบๆ
แต่ว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากอี้เซวียนตอบไวไป กลับยิ่งทำให้เขาเกิดความแคลงใจ แล้วทำให้เขารู้สึกตัว ในเวลานี้ก็จะลำบากแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเสนอเงื่อนไขที่ยากลำบากขึ้นอีก
ท้ายสุดก็เป็นหวงฝู่ซวิ่นที่อดกลั้นไม่ไหว แสดงท่าทีที่ไม่สง่างามอย่างมากออกมา ไม่นึกว่าเขาจะเลียริมฝีปากตัวเอง พร้อมด้วยความรีบร้อนที่ปนอยู่ในน้ำเสียง “ว่าอย่างไร พวกเจ้ารับปากหรือไม่รับปากกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก วางถ้วยชาลง และตอบอย่างเอาจริงเอาจัง “เมื่อแต่งออกมาแล้วก็ต้องว่าตามสามี อี้เซวียนตัดสินใจอย่างไรข้าก็เชื่อฟังตามนั้น”
สายตาของหวงฝู่ซวิ่นเคลื่อนไปทางหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนมองกลับไปทางเขา พยักหน้าอย่างช้าๆ พูด “ในระยะเวลายี่สิบปีเท่านั้น หลังจากยี่สิบปี พี่ใหญ่จะไม่อาจขัดขวางเส้นทางของพวกข้าได้อีก”
หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้าโดยไว “ตกลงตามนี้!” พูดจบ ก็เหมือนกลัวว่าพวกเขาจะนึกเสียใจภายหลังแล้วเปลี่ยนใจ จึงพูดไล่แขกทันที “เรื่องวันนี้มอบให้ข้าจัดการ ส่วนพวกเจ้ากลับไปรอฟังข่าวเถิด”
ทั้งสองคนออกจากตงกง หลังจากขึ้นนั่งบนรถม้าของตัวเองแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้ม แนบลงที่อกของหวงฝู่อี้เซวียน “บางครั้งไท่จื่อก็ฉลาด บางครั้งก็มึนงง ให้พวกเราเอาเปรียบได้โดยไม่ต้องออกแรง”
หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน “เขาเนี่ยนะ วันนี้สมองได้เพี้ยนไปแล้วจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้น ภายในดวงตากลมโตที่ส่องวาววับก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถามอย่างตื่นเต้นและคาดหวัง “เจ้าว่า วันใดที่เขาได้สติกลับมา จะไปสังหารพวกเราถึงจวนอ๋องหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มส่ายหน้า “ไม่หรอก เขาคงได้แต่กระแทกกำแพงตงกงอย่างชอกช้ำระกำใจจนกลายเป็นรูใหญ่ๆ เท่านั้นแหละ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วมุดเข้าที่อกของเขาอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องใบหน้าที่งามราวกับบุปผากับท่าทางที่เอาแต่ใจ ในใจก็หวั่นไหวขึ้นมา กว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตระหนักรู้ถึงภัยอันตราย เสียงร้องตกใจทั้งหมดก็ถูกเขากลืนเข้าที่ปากแล้ว
ความเร่าร้อนเข้มข้นภายในรถม้า แตกต่างกับบรรยากาศภายในตงกงที่ผ่อนคลายอย่างยิ่ง หลังจากรอให้ทั้งสองคนเดินออกไป หวงฝู่ซวิ่นที่ตื่นเต้นอย่างมากควบคุมอารมณ์ในใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ สั่งคนให้นำดาบเข้ามา แล้วร่ายรำดาบอยู่ภายในเรือน ท่าทางที่สง่างามและกระบวนท่าที่คล่องแคล่ว พร้อมด้วยร่างกายที่ปราดเปรียว ล้วนแต่แสดงถึงความรู้สึกที่อภิรมย์ภายในใจของเขา
แต่ไหนแต่ไรมาคนที่รับใช้ภายในตำหนักไม่เคยเห็นว่าไท่จื่อจะดีใจเช่นนี้มาก่อน จึงลอบมองดู ในใจพลางคาดเดาว่าซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยพูดอะไรกับไท่จื่อจนทำให้เขาดีใจได้ถึงเพียงนี้กันแน่
จนกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย สีหน้าแดงขวยเขินลงจากบนรถม้าแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาครึ่งชั่วยามถัดมาแล้ว ชิงหลวนและจูหลีเห็นท่าทางที่กระหายของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองดูเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเมิ่งเชี่ยนโยว ในใจก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น แม้ว่าปากจะไม่กล้าพูด ในใจกลับบ่นอย่างหนัก จึงครุ่นคิดทบทวนว่า หลังจากกลับจวนแล้วจะบอกสถานการณ์เช่นนี้แก่พระชายาฉีดีหรือไม่ เพื่อจะได้ให้ซื่อจื่ออยู่ห่างจากนายหญิงสักหน่อยถึงจะดี ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของนายหญิงต้องรับไม่ไหวเป็นแน่
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับรู้สึกถึงความรู้สึกในใจของทั้งสองคน และคล้ายว่าจะล่วงรู้ความในใจของพวกนาง จึงกวาดสายตามองทั้งคู่แวบหนึ่ง บนใบหน้าที่กระหายนั้นก็ปรากฏเป็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ คำพูดที่เย็นชาก็ดังขึ้นในเวลาเดียวกัน “หากผู้ใดกล้าปากมาก ตั้งแต่วันนี้ต่อไปจะไม่ให้ติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิดแล้ว”
ไม่ให้พวกนางรับใช้นายหญิง เช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตของพวกนางแล้ว ใจของชิงหลวนกับจูหลีก็สั่นไหว ดังนั้นความคิดที่จะฟ้องทั้งหมดล้วนบินหายไปจากสมอง ได้แต่ก้มหน้าและรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวสนใจแต่เพียงเขินอาย ไม่ได้สังเกตสีหน้าของทั้งสองคน พอได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองท่าทีของทั้งสองคนนั้น ก็เงยหน้าถามด้วยความแปลกใจ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนโอบนางเดินเข้าไปในจวน “ไม่มีอะไรหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันศีรษะกลับไปมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจอีกครั้งหนึ่ง เห็นพวกนางดูเหมือนว่าจะไม่มีทีท่าว่ามีเรื่องใหญ่ จึงไม่ได้ซักถามอะไรมากอีก
ทั้งสองคนเพิ่งจะเข้าประตูจวนไป พ่อบ้านก็วิ่งมาหาอย่างรีบร้อน แม้แต่เหงื่อบนหน้าผากก็ยังไม่ทันจะซับ โค้งตัวรายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายรองดื่มสุราจนเมาแล้วขอรับ เมาคลั่งอยู่ในจวนขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิ่กคิ้ว หวงฝู่อวี้ดื่มจนเมาแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าสนใจแล้วสิ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับขมวดคิ้ว “สั่งออกไปว่าหากผู้ใดปากโป้งไปบอกให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทราบ ก็จะขายออกไปทันที”
พ่อบ้านรีบรับคำ แต่เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แม้ว่าบ่าวรับใช้จะไม่พูด อ๋องฉีและพระชายาฉีก็ย่อมต้องได้ยิน พ่อบ้านเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไหลออกมาอีกครั้ง และตามมาถึงในเรือนของหวงฝู่อวี้อย่างพรั่นพรึง
ภายนอกเรือนล้อมด้วยบ่าวรับใช้ที่ชูคอมากมาย เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่มีสีหน้าไม่พอใจเดินมา ก็คำนับครู่หนึ่งแล้วแยกย้ายกันไป
ขณะเดินมาถึงหน้าประตู ทั้งคู่ก็เห็นหวงฝู่อวี้นอนอยู่ภายในลาน พลิกตัวไปมาไม่หยุด ปากก็ร้องเรียกไม่ขาดสาย “ข้าทุกข์ใจเหลือเกิน! ข้าทุกข์ใจเหลือเกิน!”
ทุกคนที่รับใช้ภายในเรือนยืนอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา เดินเข้าในเรือน แล้วยืนนิ่ง ถามเฮ่ออีด้วยเสียงขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฮ่ออียังไม่ทันได้ตอบ หวงฝู่อวี้ได้ยินเสียงของเขา ก็อยากจะปีนขึ้นจากพื้นด้วยความมึนเมา แต่อาจจะเป็นเพราะดื่มมากไป ปีนเท่าไรก็ปีนไม่ขึ้น
เฮ่ออีอยากจะเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา กลับถูกเขาสะบัดออก “เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
พูดจบ ก็ยีฟันยิ้มไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว จู่ๆ ก็เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ออกแรงพลิกไปมาหลายรอบ ถึงจะกลิ้งมาถึงตรงหน้าของทั้งคู่ เงยหน้าขึ้นไป หอบหายใจแรงมองหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว และถามอย่างยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่กลับมาแล้วหรือขอรับ”
ขณะที่ทุกคนเข้าใจว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะตวาดใส่หวงฝู่อวี้นั้น หวงฝู่อี้เซวียนกลับปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว ย่อตัวลง แล้วเอนกายไปข้างหน้ามองหวงฝู่อวี้ ภายในเสียงที่สงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ถามขึ้น “สุราอร่อยไหม”
หวงฝู่อวี้เมาจนมึนงงไปหมดแล้ว ไม่ได้รู้สึกถึงความอันตรายแม้แต่น้อย อีกทั้งยังปรบมือยิ้มอย่างเริงร่า ตอบพร้อมกับแลบลิ้นใหญ่ๆ ออกมา “อา…หร่อย อา…หร่อยขอรับ ข้าเพิ่งรู้ว่าสุราเป็นของดี ทำให้คนลืมความวุ่นวายไปได้หมดเลย”
“ยังอยากดื่มอีกหรือไม่” เสียงที่นุ่มนวลถาม
ขนบนกายของบ่าวรับใช้ทุกคนลุกซู่ขึ้นมา ผวาจนเท้าเริ่มจะอ่อนเปลี้ย
เหงื่อบนหน้าผากของพ่อบ้านเริ่มไหลออกมาด้านนอกแล้ว ช่วงขณะเดียวเสื้อผ้าด้านหลังก็เปียกชุ่มหมดแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะสองสามครั้ง ลุกขึ้นยืน และสั่ง “ไปเอาสุรามา”
“ซื่อ…ซื่อจื่อขอรับ” พ่อบ้านร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ
สายตาที่เย็นชาของหวงฝู่อี้เซวียนมองไป ร่างกายของพ่อบ้านที่เพิ่งจะมีเหงื่อซึมออกมา ล้วนจับตัวกันเป็นน้ำแข็งโดยพลัน หนาวเหน็บจนทำให้ทั้งกายของเขาข่มอาการสั่นไม่อยู่ ฟันก็เริ่มสั่นด้วยเช่นกัน “คุณ…คุณ…คุณชายรอง ส…สภาพ…แบบนี้ เกินกว่าจะ…”
“คำพูดที่ข้าพูดไม่มีความหมายแล้ว?” คำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนดูน่าเกรงขามโดยที่ไม่ได้ใช้อารมณ์
คำที่พ่อบ้านต้องการพูดติดชะงักอยู่ในลำคอ ไม่กล้าพูดออกมาอีก โค้งตัวรับคำ “ข้า…ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” พูดจบก็เดินออกไปอย่างโซเซ
“ดูท่าว่าพ่อบ้านควรจะเกษียณกลับบ้านไปได้แล้วล่ะ” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังตามหลังเขา
พ่อบ้านสะท้านจนรู้สึกเย็นวาบ ร่างกายก็ไม่สั่นระริกและเท้าก็กระฉับกระเฉงแล้ว จากนั้นวิ่งเหยาะๆ ออกไปทันทีดั่งสายลมพัด
เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะพ่นหัวเราะออกมา รีบก้มหน้าเพื่อข่มการหัวเราะของตัวเอง
สายตาที่เยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนมองไป เห็นไหล่ของนางสั่น มุมปากก็มีรอยยิ้มน้อยๆ และหายวับไปทันที
พ่อบ้านยกไหสุราใบเล็กหนึ่งใบมาด้วยตัวเอง ยืนตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความนอบน้อมและเกรงกลัว และไม่พูดติดอ่างแล้ว “ซื่อจื่อ สุรามาแล้วขอรับ”
“เฮ่ออี!” หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง
“ขอรับ” เฮ่ออียืดตัวตรงตามสัญชาตญาณ พร้อมพูดรับคำ
“เอาสุราพวกนี้กรอกปากคุณชายรองซะ!”
เฮ่ออีปลายเท้าลื่นไถลจนเกือบจะล้มลงพื้น มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนอย่างไม่เชื่อ
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง มวลไอรอบกายก็ดุดันขึ้นมา “ทำไม ฟังคำพูดของข้าไม่เข้าใจหรือ”
เฮ่ออีกลืนน้ำลายลง และพูดลองเชิงอย่างระมัดระวัง “ซื่อ…ซื่อจื่อ คุณ…คุณชายรองเขา..ดื่ม…สุรา…จน…”
เมื่อแววตาของหวงฝู่อี้เซวียนหันมามองอีกครั้ง คำพูดที่เหลือของเฮ่ออีก็กลืนกลับเข้าไป เดินมาตรงหน้าพ่อบ้านด้วยใจที่หวาดหวั่น รับสุรามา คุกเข่าด้วยครึ่งเท้าข้างหนึ่งบนพื้น ร้องเรียกหวงฝู่อวี้ที่นอนอยู่บนพื้นดังคนเมาสุราไร้สติโดยตลอดด้วยเสียงเบาๆ “คุณ…คุณชายรองขอรับ”
แววตาที่พร่ามัวของหวงฝู่อวี้มองไปทางเขา เห็นในมือเขามีไหสุรา ตาก็พลันเป็นประกาย แล้วพลิกตัวขึ้นรวดเดียว “สุรา สุรา ข้ายังอยากดื่ม ข้ายังอยากดื่ม”
เฮ่ออีเงยหน้า เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและสีหน้าถมึงทึงของเขาที่เม้มปากไม่พูด มีแต่เพียงความดุดันจากไอทั้งร่างที่เพิ่มขึ้น ก็รู้สึกผวาจนต้องรีบก้มหน้าไปเปิดจุกขวดบนไหสุรา แล้วส่งไปตรงหน้าหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้รีบแย่งสุรามาโดยไม่ชักช้า เงยหน้าซดเข้าไปอึกใหญ่ดัง “อึก อึก”
ใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเคร่งขรึมแล้ว แต่กลับไม่พูดอะไรทั้งนั้น ดวงตาจับจ้องที่หวงฝู่อวี้อย่างแน่นิ่ง
ดื่มไปครึ่งหนึ่ง หวงฝู่อวี้ดื่มไม่ไหวแล้ว จึงวางไหสุราลงที่พื้น เงยหน้าเผยรอยยิ้มที่พร่ามัว “ม…มีพี่ พี่ใหญ่นี่แหละที่ใจดี เอ็น…เอ็นดูข้า”
“ดื่มอีกไหม” หวงฝู่อี้เซวียนถาม
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วหงายหลังลงพื้น หัวกระแทกกับพื้นเสียงดัง ตึง แต่ก็ไม่ร้องเจ็บปวดใดๆ เพียงแต่ทั้งสองมือสะบัดกันอย่างพัลวัน “ไม่…ไม่ดื่มแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ผงกศีรษะขึ้นลง และยังจะพูดรับคำอีก “ขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มอย่างช้าๆ รอยยิ้มนั้นทำเอาเฮ่ออีและพ่อบ้านที่มองอยู่รู้สึกชาไปทั้งศีรษะ หวงฝู่อวี้ยังคงไม่รู้สึกตัว และยิ้มพูดพึมพำดังเดิม “ไม่…ไม่ดื่มแล้ว ดื่มไม่ไหวแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนสีหน้าชั่วขณะ เสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้นตามมา “เฮ่ออี กรอกใส่ปากเขา!”
มือของเฮ่ออีสั่นตลอด แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่ง มือซ้ายอุ้มไหสุรา มือขวาก็เปิดปากหวงฝู่อวี้ แล้วเอาสุราในไหทั้งหมดเทเข้าใส่ปากของหวงฝู่อวี้
ไหนเลยที่หวงฝู่อวี้จะยังดื่มได้อีก เขาส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ดิ้นกระเสือกกระสนอย่างทุลักทุเล จนมีสภาพที่ดูไม่ได้อย่างยิ่ง
พ่อบ้านกับบ่าวรับใช้ทุกคนทนไม่ได้จนต้องเบือนหน้าหนี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เม้มริมฝีปาก
สุราครึ่งไหถูกกรอกลงไป หวงฝู่อวี้นอนบนพื้นไม่ขยับ สุราในปากไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเอื่อยๆ มาถึงหน้าเขา แล้วมองลงไปด้านล่างถาม “ยังจะดื่มอีกไหม”