ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 306 ข่าวที่มาจากการพูดคุยสัพเพเหระ
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนที่ 306 ข่าวที่มาจากการพูดคุยสัพเพเหระ
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 306 ข่าวที่มาจากการพูดคุยสัพเพเหระ
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงจัด เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟย เป็นคนที่ขุนนางชั้นสูงมากมายในเมืองหลวงต่างแย่งกันประจบสอพลอ ถ้ามิใช่ว่าเหวินซื่อมีการคบค้าสานสัมพันธ์อันดีกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ชิงซี เกรงว่าวันนี้แม้แต่ประตูใหญ่ของจวนอ๋องฉีนี้ ตัวเองสองสามีภรรยาก็ไม่อาจเข้ามาได้ แต่สามีของตัวเองยังจะต่อรองด้วยการให้ลูกเรียกว่าเป็นแม่บุญธรรม เป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมาที่เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกว่าเหวินซื่อไร้สมองจริงๆ
เหวินซื่อกลับไม่คิดเช่นนี้ หลังจากพูดจบ ก็มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ท่าทางมั่นอกมั่นใจอย่างที่คิดว่าเจ้าต้องรับปากข้าแน่นอน
“อี้เซวียน เจ้ามานี่” เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้กับหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ที่หน้าของหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มพูดกับเหวินซื่อ “เจ้าคิดว่าลูกของพวกเราสองคนจะด้อยกว่าลูกของเจ้าหรือ”
เหวินซื่อถูกพูดย้อน และพูดอะไรไม่ออก
เฝิงจิ้งเหวินเห็นท่าทางที่ยอมรับความพ่ายแพ้ของเขา ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เสียงหัวเราะนี้ ดึงสติปัญญาของเหวินซื่อกลับมา แล้วพูดบ่นอย่างไม่พอใจทันที “พวกเจ้าทั้งคู่ก็ทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกมาเยี่ยมเจ้าด้วยเจตนาดี แต่เจ้ากลับปฏิบัติต่อพวกข้าเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ ชี้ไปที่ประตูเรือน “ประตูใหญ่อยู่ด้านหลังเจ้า ออกไปเลี้ยวซ้าย ไปดีๆ ล่ะ ไม่ส่งนะ”
เหวินซื่ออึ้งอีกครั้ง
ผู้คนทั้งเรือนพากันป้องปากแอบหัวเราะ
แม้แต่เด็กน้อยในอ้อมอกของเฝิงจิ้งเหวินก็ปรบมือน้อยๆ หัวเราะคิกคักออกมาราวกับร่วมเหตุการณ์ด้วย
บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เผยรอยยิ้มที่ครึ้มใจ
ไม่สนใจเหวินซื่ออีก เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออก อยากจะอุ้มเด็กเสียหน่อย
เฝิงจิ้งเหวินไม่กล้าให้นาง “ช่วงนี้เจ้าอย่าได้ประมาท เป็นช่วงเวลาที่อันตรายพอดี อย่าอุ้มเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปทางนางอย่างไม่เห็นด้วยเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่วางมือลง ยิ้มพูด “พี่สะใภ้เข้าไปพูดคุยกันในห้องเถิด”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้า และไม่สนใจเหวินซื่อ เดินอุ้มลูกตามเมิ่งเชี่ยวโยวเข้าไปในห้อง
เมื่อเหวินซื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขา ก็เอาก้นกระแทกลงกับพื้นเดี๋ยวนั้น และพูดบ่นว่า “วันนี้พวกเจ้าไม่ให้เม็ดยาแก่ข้า ข้าจะนั่งอยู่บนพื้นนี่ไม่ลุกขึ้นอีกเลย”
ทุกคนอึ้ง ล้วนใช้สายตาที่ไม่อยากเชื่อมองเขา ในสมองล้วนปรากฏคำถามโดยพร้อมกันว่า คนที่อยู่ตรงนี้คนนี้เป็นเถ้าแก่ร้านยาเต๋อเหรินจริงหรือ
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกว่าเงยศีรษะไม่ขึ้นแล้ว นางไม่รู้ว่าสามีของตัวเองจะมีด้านที่น่าไม่อายเช่นนี้ แล้วส่งเสียงเรียกอย่างรีบร้อน “ท่านพี่!” อยากจะหันกายกลับไปดึงเขาขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง และสั่งทุกคน “ออกไปให้หมดเถิด ให้เถ้าแก่เหวินอยู่ในเรือนไป และใครก็จงอย่าได้รบกวนเขา”
ทุกคนรับคำ แล้วพากันป้องปากถอยออกไป แม้แต่ชิงหลวนและจูหลีก็ไปนอกเรือน
เหวินซื่อเห็นว่าไม้นี้ไม่ได้ผล จึง ‘ร้องให้เช็ดน้ำตา’ ขึ้นมาทันที “เจ้าเด็กน้อย นี่เจ้าลืมบุญคุณกันแล้วนี่ นึกถึงตอนแรกที่อยู่ชิงซี…”
“หุบปาก!” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใช่อดทนไม่ไหว แต่เพื่อไม่ให้หูของทุกคนต้องรับความทรมาน จึงพูด “เม็ดยาเหล่านี้ล้วนทำมาจากสมุนไพรล้ำค่าที่นำออกมาจากวังหลวง ไม่อาจจะให้เจ้าได้อย่างง่ายๆ รอประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบผสมยาให้ แล้วเจ้ากลับไปทำด้วยตัวเองเถิด”
เสียงร้องครวญครางของเหวินซื่อหยุดลงทันที พร้อมดีดตัวขึ้นจากพื้นอย่างคล่องแคล่ว หางตาและคิ้วด้วยมีรอยยิ้มแห่งความเบิกบาน “จริงหรือ เจ้ายอมเขียนใบผสมยาให้ข้าหรือ”
“ถ้ายังพูดมากอีก ข้าก็จะเปลี่ยนใจแล้วนะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขู่
เหวินซื่อรีบเอามือปิดปากตัวเองแน่น และพูดด้วยเสียงอุดอู้ “ข้าไม่พูดมาก ข้าไม่พูดมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปทางหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มพูด “อี้เซวียน ข้ากับพี่สะใภ้จะพูดคุยสักพัก ส่วนเจ้ากับเถ้าแก่เหวินไปพูดคุยเรื่องข้อตกลง”
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียง “อืม” เบาๆ หันกายเดินไปที่ห้องรับแขก เหวินซื่อเดินตามก้นไปติดๆ
สีหน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงก่ำ “น้องโยวเอ๋อร์ ขอโทษด้วย ท่านพี่เขา…”
“พี่สะใภ้ แต่ไหนแต่ไรเถ้าแก่เหวินก็เป็นเช่นนี้ ข้าเจอจนชินเสียแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด
เฝิงจิ้งเหวินเบิกตาโต
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจว่านางไม่เชื่อ จึงยิ้มพูด “อีกประเดี๋ยวจะเล่าให้พี่สะใภ้ฟัง”
ทั้งสองคนเดินเข้ามาภายในห้อง สั่งคนให้ยกน้ำชา น้ำเปล่ากับขนมมาสองสามจาน เฝิงจิ้งเหวินวางลูกไว้บนเตียงนิ่ม แล้วนางกับเมิ่งเชี่ยนโยวแยกกันนั่งลงทั้งสองฝั่งและเริ่มพูดคุยสัพเพเหระกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องในปีนั้นที่เหวินซื่อเคยทำ แล้วเลือกเล่าถึงเรื่องที่น่าขันต่างๆ ให้แก่เฝิงจิ้นเหวินฟัง
หลายปีผ่านมานี้ เฝิงจิ้งเหวินไม่เคยรู้เลยว่าเหวินซื่อจะมีด้านที่ดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ ก็หัวเราะจนยืดหลังไม่ขึ้น
ภายในห้องรับแขก หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งคนให้ยกน้ำชาเข้ามา แล้วยกน้ำชาขึ้นมาอย่างสง่า ดื่มเล็กน้อย ถึงจะเอ่ยปากถาม “เถ้าแก่เหวิน ครั้งนี้โยวเอ๋อร์เขียนใบผสมยาหลายใบ เจ้าคิดว่าจะปันผลกับพวกเราอย่างไรดีล่ะ”
เหวินซื่อยกชาขึ้นมาจิบเบาๆ เช่นกัน กลิ่นหอมที่เข้มข้นทำให้เขารู้สึกสบายจนหลับตาลงครู่หนึ่ง ถึงจะพูดตอบ “ยารักษาแผลเป็นของเจ้าเด็กน้อยยังมีส่วนแบ่งกับข้าที่นั่น อัตราส่วนของใบผสมยาที่เขียนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า พูด “ใบผสมยาเหล่านี้ต้องปรุงด้วยสมุนไพรชั้นดี ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยความสามรถร้านยาเต๋อเหรินของเจ้า เกรงว่าการจะได้สมุนไพรที่ล้ำค่าเช่นนี้จะยากลำบากเสียหน่อย”
เหวินซื่อเบิกตากลมโต วางถ้วยชาบนมือ แล้วตบหน้าอกตัวเองดัง ผัวะๆ “ไม่ใช่ว่าข้าขี้โม้ ไม่ว่าสมุนไพรจะล้ำค่ามากแค่ไหน เพียงแค่บนโลกนี้มี ร้านยาเต๋อเหรินของข้าก็ต้องมีแน่นอน”
มุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้ม หยิบใบผสมยาหลายใบวางไว้บนโต๊ะ “เชิญเถ้าแก่เหวินดูก่อน สมุนไพรเหล่านี้ร้านยาเต๋อเหรินของท่านมีเท่าใด”
เหวินซื่อหยิบใบผสมยาขึ้น ดูอยู่ครู่หนึ่ง ยิ่งดูดวงตากลับยิ่งเบิกกว้าง สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมา
รอให้เขาดูเสร็จทั้งหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงจะถามเย้าหยอกเขา “ว่าอย่างไรล่ะ ร้านยาเต๋อเหรินของเถ้าแก่เหวินมีเท่าใด”
เหวินซื่อกัดฟัน ครั้งนี้ฝืนตอบโดยที่ยอมแพ้แต่ไม่ยอมเสียหน้า “ครึ่งหนึ่ง”
“สมุนไพรในนี้ล้วนเป็นของห้องยาในวังหลวงที่เสาะหามาจากแต่ละแห่งหนในรัฐอู่ ร้านยาเต๋อเหรินสามารถมีได้ถึงครึ่งหนึ่ง ก็ถือว่าน่าทึ่งมาก น่าเสียดายเหลือเกินที่มีเพียงครึ่งเดียว จะผลิตเม็ดยาพวกนี้ออกมาก็คงไม่ได้ เถ้าแก่เหวินเลิกล้มความคิดที่จะเอาใบผสมยานี้ไปเถิด”
พูดจบ ก็เอื้อมมือไป กำลังจะคว้าใบผสมยากลับมา
แต่มือของเหวินซื่อกันมือของเขาไว้ “ช้าก่อน ข้าจะรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้เอง”
หวงฝู่อี้เซวียนปัดมือของเขาทิ้ง แล้วหยิบใบผสมยาไว้ในมือ พับเป็นทบอย่างเรียบร้อย แล้วเก็บกลับเข้าไปในชายเสื้อของตัวเองอีกครั้ง “รอให้เจ้ารวบรวมสมุนไพรครบแล้วค่อยว่ากันเถิด แต่ ข้าบอกเจ้าให้นะ ถ้าหากเจ้ารวบรวมสมุนไพรครบและปรุงเป็นเม็ดยาได้แล้ว ข้าจะสามารถช่วยเจ้าขายได้ เม็ดละสองพันตำลึง”
ยารักษาแผลเป็นก็ได้รับความนิยมจนทำกำไรมากพออยู่แล้ว แต่ละขวดมีมูลค่าหลายพันตำลึง ตอนนี้เม็ดยาเล็กๆ เม็ดเดียวกลับมีมูลค่าถึงสองพันตำลึง ไหนเลยที่เหวินซื่อจะไม่หวั่นไหวได้ จึงรีบโอ้อวดออกปากรับคำทันที “เจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าเถิด อย่างมากสุดภายในสองเดือน ข้าก็จะรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้ได้ครบ เจ้าจะต้องทำตามที่เจ้าว่าเสียล่ะ ไม่เพียงแต่มอบใบผสมยาให้ข้า เม็ดยาที่ทำสำเร็จก็ต้องช่วยข้าขายออกไปด้วย”
“ไม่มีปัญหา” หวงฝู่อี้เซวียนรับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ “มีเท่าไร ข้าก็ขายเท่านั้น!”
ทั้งสองคนปรึกษากันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนทางเมิ่งเชี่ยนโยวกับเฝิงจิ้งเหวินด้านนี้ก็คุยกันอย่างคึกคักมีชีวิตชีวา ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ทั้งสองคนมีเรื่องต่างๆ ให้พูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวออกไป ตัวเองได้ยินข่าวแล้วก็เสียใจอย่างมาก คราที่ลูกตัวเองคลอด ต้องทำคลอดเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทำให้วิตกกังวลจนเหวินซื่อเกือบจะคุกเข่าให้เหล่าหมอตำแย และพูดถึงเฝิงจิ้งซูตอนนี้ที่ได้รับการเอาอกเอาใจจากแม่ทัพฉู่ทั้งวัน ลูกจะย่างเข้าหนึ่งขวบปีแล้ว เฝิงจิ้งซูยังคงถูกดูแลเหมือนเด็กที่ยังไม่โต และเรื่องที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงช่วงนี้
เช็ดเศษขนมบนขอบปากของเด็กน้อยแล้ว เฝิงจิ้งเหวินพูด “หลายวันก่อน มีบ่าวรับใช้ของขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งไปที่ร้านยาเต๋อเหรินอย่างรีบร้อน เชิญหมออาวุโสที่มีชื่อเสียงที่สุดในร้านไปช่วยเหลือคน บอกว่าจำนวนเงินเท่าไรก็จ่าย กระทั่งหลังจากที่หมออาวุโสถึงแล้ว เกือบจะต้องตาบอด ที่แท้คือเรือนของนายท่านราชเลขาหลินในสังกัดกองทัพทหาร และคนที่ต้องการตรวจรักษาก็คือคุณหนูหลิน ได้ยินบ่าวรับใช้บอกว่า ตอนที่คุณหนูหลินออกจากบ้าน เท้าไถลลื่น และล้มหน้าคะมำอย่างไม่ระวัง ทำให้กระแทกเข้ากับศีรษะ แต่ตอนที่หมออาวุโสกลับมารายงานให้แก่ท่านพี่ก็บอกว่า ทันทีที่เห็นแผลนั่นก็คือเกิดจากการทำร้ายตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณหนูคนนี้มีเรื่องอันใดที่คิดไม่ตก ถึงลงไม้ลงมือกับตัวเองอย่างหนักเช่นนั้น”
ในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวสั่นไหว และถาม “นี่เรื่องเป็นเรื่องเมื่อใดกัน”
เฝิงจิ้งเหวินนึกครู่หนึ่ง “ก็หลายวันก่อนนี่แหละ น่าจะเป็นวันที่สองหลังจากงานหมั้นหมายคุณหนูหลิน”
“พี่สะใภ้ใส่ใจเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้ในเมืองหลวงด้วยหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถามโดยไม่แสดงอาการอะไร
“ข้าจะมีเวลาว่างขนาดนั้นที่ไหนกัน ทั้งต้องดูแลลูก แล้วยังต้องจัดแจงงานทุกอย่างภายในจวน ยุ่งจะตายอยู่แล้ว แต่อาการของคุณหนูหลินคนนี้แตกต่างออกไปนะ เดิมทีนางก็…” พูดถึงตรงนี้ ก็ตระหนักได้ว่าหากจะพูดต่อคงไม่เหมาะสม จึงละเว้นไป แล้วพูดต่อว่า “ทุกคนภายในเมืองล้วนจับจ้องเรื่องการแต่งงานของนางทั้งนั้น ดูสิว่าจะมีใครกล้าสู่ขอกับนางอีก ดังนั้นแม้ว่าข้าไม่อยากรู้ ก็ย่อมมีคนมาบอกให้ข้าฟังอยู่แล้ว”
“แล้วหลังจากนั้นคุณหนูหลินคนนั้นเป็นอย่างไรล่ะ”
“ยังไม่ดีเลย ได้ยินหมออาวุโสบอกว่านอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ตัวคนก็ซูบผอมลงอย่างมาก หมออาวุโสต้องเปลี่ยนยาให้นางทุกครั้ง กลับมาก็ส่ายหน้าถอนหายใจกับท่านพี่เป็นเวลานาน บอกว่าแม่นางดีๆ คนหนึ่ง เกรงว่า…”
“เรื่องนี้ยังมีใครรู้อีกไหม”
“มีเพียงข้ากับท่านพี่ แล้วก็หมออาวุโสที่รู้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร ถ้าหากว่าแพร่ออกไปจะทำให้จวนราชเลขาเสียหน้า และก็จะทำให้ร้านยาเต๋อเหรินต้องลำบากด้วย ดังนั้นท่านพี่ก็กำชับเสมอว่าไม่ให้หมออาวุโสพูดออกไป หมออาวุโสก็เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร นอกจากท่านพี่แล้ว ก็ไม่บอกใครแม้แต่คำเดียว คาดว่าน่าจะเพราะว่ากลัวเสียหน้า จวนราชเลขาถึงไม่ได้เชิญหมอหลวงจากวังหลวง แต่มาเชิญจากร้านยาเต๋อเหรินแทน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถามอีก
เฝิงจิ้งเหวินก็พักเรื่องนี้ไว้ แล้วยิ้มพูดถึงเรื่องน่าสนใจอื่นๆ
สามีภรรยาสองคนอยู่ภายในจวนอ๋องทั้งวัน จนถึงเวลาเย็น และหลังจากที่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะสั่งคนให้ไปส่งพวกเขาสามคนกลับไปอย่างปลอดภัย ก่อนไป เหวินซื่อยังจะหน้าด้านเอาเม็ดยาทุกชนิด ชนิดละเม็ดกลับไป
ต้อนรับตลอดทั้งวันนี้ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาแล้ว จึงไม่เหมือนกับทุกวันที่กินข้าวเสร็จก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารภายในจวน แต่ตรงไปเอนกายนอนบนเตียงเลย
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ ย่อตัวลง ช่วยนางถอดรองเท้าและเสื้อนอก ถึงจะพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล “เหนื่อยแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง “อืม” เบาๆ และปิดตาลง และก็นึกถึงเรื่องหลินหันเยียนขึ้นทันที จึงเปิดตาขึ้นอีกครั้ง แล้วฝืนบอกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ของหลินหันเยียนแก่เขา
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นหนังตาของนางจะเปิดไม่ขึ้นอยู่แล้ว ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา “เรื่องของนางไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบปิดตาลงพักผ่อนเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เพียงแต่บอกเขาเท่านั้น พอได้ยินแล้วก็ปิดตาลงอีกครั้ง และหลับสนิทไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ข้างเตียง ยื่นมือขวาออกไป วางไว้บนท้องน้อยๆ ของนางเบาๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มที่อบอุ่น จินตนาการถึงเด็กน้อยๆ ในท้องของนางว่าจะมีหน้าตางดงามเพียงไร
เวลาผ่านไปนานแล้วคำสั่งหน้าที่ของเมิ่งเหรินก็ยังไม่ออกมา สองสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรทำ จึงให้เมิ่งซื่อดูแลลูกชาย และพวกเขาก็ไปช่วยภายในโรงงาน
เมิ่งซื่อนำเด็กมาจวนอ๋อง ทำให้ครานี้ก็เกิดความคึกคักขึ้นแล้ว ทุกๆ วันภายในจวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ร่าเริงของเด็ก
อ๋องฉีก็คุ้นเคยกับวันเช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็น แต่ทุกวันล้วนยืนอยู่ภายในเรือนนอกห้องหนังสือ พอได้ยินเสียงพวกเด็กๆ หัวเราะอย่างสุขสันต์ มุมปากก็มักจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
ในตอนแรกพ่อบ้านจวนยังเป็นกังวลว่าเด็กเหล่านี้จะรบกวนอ๋องฉี ทว่า ต่อมาเมื่อเห็นสีหน้าของอ๋องฉี ก็วางใจลง สั่งคนให้เฝ้าอยู่นอกห้องหนังสือ ขอเพียงแค่พวกเด็กๆ ไม่ไปรบกวนอ๋องฉีที่ห้องหนังสือ ก็ปล่อยให้พวกเขาเล่นกันเสียงดังไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็กลายเป็นหัวหน้าเด็กๆ ไปแล้ว ทั้งวันเล่นกับเด็กๆ เสียงดัง หวงฝู่อี้เซวียนทำอะไรนางไม่ได้ เพียงแต่ปล่อยนางไป ตัวเองก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ดวงตาไม่ละจากนางแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวอารมณ์ดี ความอยากอาหารก็มากขึ้น ทำให้ยิ่งกินมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็อวบอิ่มไม่น้อย แต่ท้องกลับไม่ใหญ่ขึ้นเลย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสงสัย กลัวว่าจะมีปัญหาอะไร จึงลอบถามเมิ่งซื่อเบาๆ
เมิ่งซื่อยิ้ม “เดือนนี้ยังเล็ก รอผ่านไปสี่เดือนก็จะเห็นท้องได้ชัดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยววางใจลง ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม เวลาว่างที่เหลือก็คิดถึงว่าผ่านไปอีกไม่นานก็จะถึงฤดูกาลที่สองที่มันฝรั่งจะออกดอกออกผลแล้ว ตัวเองก็ควรจะลงมือเตรียมเรื่องเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว แต่ สถานะตัวเองตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีเงินในมือ มั่งคั่งขึ้นแล้ว ก็คงไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เปิดสาขาร้านบะหมี่มันฝรั่งทั้งหมดอยู่แค่ที่ข้างเหลาจวี้เสียน หากจะเปิด ก็ต้องเปิดในทุกๆ แห่งของรัฐอู่ ตั้งแต่พื้นที่เล็กๆ ในเขตแคว้นจนถึงพื้นที่คึกคักในเมือง เอาให้ทุกที่ล้วนมีร้านบะหมี่มันฝรั่ง
พูดจริงก็ทำจริงเดี๋ยวนั้น จึงสั่งคนให้ไปเรียกเมิ่งอี้มาโดยทันที และพูดว่า “พี่เมิ่งอี้ ข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ร้านบะหมี่มันฝรั่งของพวกเราจะเปิดทั้งที ก็ต้องเปิดเป็นสาขาย่อยไปทั่วทั้งประเทศ”