ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 312 เกียรติยศที่สืบทอดต่อๆ กันทุกยุคทุกสมัย
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนที่ 312 เกียรติยศที่สืบทอดต่อๆ กันทุกยุคทุกสมัย
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 312 เกียรติยศที่สืบทอดต่อๆ กันทุกยุคทุกสมัย
เหวินซื่อออกเสียง ชิ ออกมา อย่างไม่เชื่อ “อย่ามาขู่ข้า ข้าไม่มีเรื่องใหญ่อันใดหรอก”
พูดจบ หลังจากเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เตรียมตัวนั่งลง
“ฮ่องเต้จะพระราชทานป้ายร้านให้ร้านยาเต๋อเหรินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวออกมาโดยที่ไม่บอกกล่าว
โครมม
ปัง
ตึกตัก
หลังจากเสียงเหล่านี้ดังขึ้นมา เหวินซื่อก็นอนเงยหน้าขึ้นฟ้าอยู่บนพื้นทันที บนตัวเต็มไปด้วยสมุดบัญชีที่เขาดึงลงมาจากบนโต๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้ตกใจจนร้องออกมา แต่ก็นอนอยู่บนพื้นโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เงยหน้าขึ้น พยายามกะพริบตาแล้วกล่าวถามว่า “เจ้า เจ้าพูด อะไรนะ”
เห็นสภาพเยี่ยงนี้ของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่มีความสุขดังลงไปถึงชั้นล่าง หมอและพนักงานทุกคนต่างเริ่มคาดเดาในใจ เจ้านายทำเรื่องขายหน้าอะไรอีก ที่ทำให้แม่นางเมิ่ง ไม่ใช่สิ ซื่อจื่อเฟยหัวเราะเยี่ยงนี้
ก็ไม่แปลกที่พวกเขาคิดเช่นนี้ เพราะทุกครั้งที่เถ้าแก่อยู่ต่อหน้าซื่อจื่อเฟยล้วนทำแต่เรื่องขายหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มมุมปากออกมา ไม่ใช่เพราะสภาพของเหวินซื่อ แต่เป็นเพราะเสียงหัวเราะที่มีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยว
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น เหวินซื่อก็รู้เลยว่าตัวเองถูกหลอกอีกแล้ว กระโดดขึ้นมาจากพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “เจ้าตัวแสบ แกล้งข้าอีกแล้ว ข้า…”
“ที่โยวเอ๋อร์พูดเป็นเรื่องจริง เสด็จลุงจะพระราชทานป้ายร้านให้เจ้าจริงๆ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวเพิ่มเติมหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
เหวินซื่อลืมไปแล้วว่าตนจะพูดอะไรต่อ เบิกตาโพลง ค่อยๆ หันหลัง มองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน แล้วมองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วก็มองหวงฝู่อี้เซวียนอีกครั้ง อ้าปากหุบปากหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วนั่งลง พิงตัวลงบนเก้าอี้อย่างสบาย แล้วค่อยกล่าวถามเล่นๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “คอของเหวินซื่อไม่สบายหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ้มแล้วนั่งลงข้างๆ นาง
เหวินซื่อเพ่งมองทั้งสองคน แล้วค่อยๆ เดินเอนไปมาทีละก้าวมาถึงข้างหน้าของทั้งสองคน ท่าทางเหมือนคนเมาเหล้า กลืนน้ำลายลงไป กล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเจ้าพูดจริงหรือ ไม่ได้หลอกข้า?”
“จริงครึ่งเท็จครึ่ง จึงได้มาปรึกษาหารือกับเจ้าอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว
กลืนน้ำลายอีกครั้ง เหวินซื่อจึงร้องออกมาเสียงดังว่า “ปรึกษาหารืออะไร ไม่ต้องปรึกษา ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรข้าตกลงทั้งสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจจนแสบแก้วหู ขมวดคิ้ว ยื่นมือขวาออกมาปิดหูตัวเอง
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปทางเหวินซื่อด้วยสายตาเยือกเย็น
เหวินซื่อรู้สึกมีน้ำแข็งหุ้มอยู่บนตัวทันที เย็นจนเขารู้สึกหนาวสั่น รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวทันที แล้วเบาเสียงลง กล่าวซ้ำไปซ้ำมาว่า “ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ ข้าก็ตกลง ไม่ว่าเงื่อนไขใดๆ ข้าก็ตกลง”
หวงฝู่อี้เซวียนเลื่อนสายตาออก ความเย็นบนตัวเหวินซื่อก็หายไปทันที ในขณะที่โล่งอก ก็จะเอ่ยออกเสียงอีก
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยก่อนว่า “ข้ากระหายน้ำ”
“โอ้ย แม่คุณเจ้าบอกข้าก่อนว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร เจ้าค่อย…”
หวงฝู่อี้เซวียนมองมาอีกครั้ง เสียงเหวินซื่อหยุดลงทันที พยักหน้าแล้วก้มตัวลง ด้วยท่าทางประจบสอพลอว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าไปยกน้ำให้พวกเจ้าเอง” พูดจบ ตัวก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว ความเร็วนั้น แม้แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังแปลกใจเล็กน้อย
ไม่ได้ยินเสียงคนเดินลงบันได ได้ยินแต่เสียงร้องตกใจที่มาจากชั้นล่าง เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา เจ้าเหวินซื่อ ต้องตื่นเต้นมากแน่ๆ ถึงขั้นแสดงวิชาตัวเบาออกมาโดยกระโดดจากชั้นสองลงไป
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายว่า “วิชาต่อสู้ของเหวินซื่อไม่ธรรมดา แม้ว่าตอนนั้นนายท่านเหวินจะไม่โปรดปรานเขา แต่ว่าอะไรที่หลานแท้ๆ ควรได้รับเขาก็ได้รับไม่น้อยกว่าคนอื่น”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
เหวินซื่อรวดเร็วมาก ใช้เวลาแค่ไม่กี่ประโยคที่ทั้งสองคุยกัน เขาก็ยกน้ำชาสองแก้วกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วขึ้นมาแล้ว วางน้ำเปล่าข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ส่วนตนและหวงฝู่อี้เซวียนคือน้ำชาคนละแก้ว
ยับยั้งนิสัยของตนไว้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยกน้ำเปล่าขึ้น แล้วค่อยๆ ดื่ม จึงกล่าวถามอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ เจ้ารีบพูดให้ข้าฟังเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แกล้งเขาอีก เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง สุดท้ายกล่าวว่า “เสด็จพ่อเข้าวังไปแล้ว เรื่องนี้น่าจะมีความเป็นไปได้สูง ข้ากับอี้เซวียนจึงมาบอกข่าวกับเจ้าก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร”
จำนวนตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงสำหรับร้านยาเต๋อเหรินที่ดำเนินกิจการมานานหลายปีแล้ว จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่ถ้าหากแลกกับป้ายพระราชทานแล้ว นั่นก็ถือว่าไม่มากเลย เหวินซื่อฟังจบ ตื่นเต้นจนเดินไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ จึงจะหยุดลง แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดีที่ตกมาจากสวรรค์ ข้าจะไม่รับได้อย่างไร อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย ห้าล้านตำลึง แม้ว่าจะต้องขายจวนที่สืบทอดกันมา ก็จะรวบรวมมาให้ได้ ต้องเอาป้ายพระราชทานนี้มาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อน ข้าจะสั่งให้คนกลับไปเอาตราประทับที่จวนเดี๋ยวนี้ ให้พวกเจ้าไปเบิกเงินที่เฉียนจวง”
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังพูดไม่จบเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว
“รีบพูด รีบพูด” เหวินซื่อรีบเร่ง
“ที่พูดว่าต้องการหนึ่งล้านตำลึงนั้นพูดให้ฮ่องเต้และเสด็จพ่อฟัง ส่วนเจ้า เจ้าสามารถเอายาสมุนไพรพวกนี้มาก่อน รอให้ขายได้ก่อนแล้วค่อยให้เงินข้า”
ตาของเหวินซื่อแทบจะทะลุออกมา เบิกตาโตเป็นไข่ห่าน กล่าวถามอย่างไม่เชื่อว่า “เจ้าหมายความว่า ตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงนี้ข้าไม่ต้องจ่ายหรือ”
มองเขม่นเขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ฝันไปเถอะ ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว เจ้าไม่จ่ายตั๋วเงิน จะให้พวกข้ากินลมแทนข้าวหรือ ข้าหมายความว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องจ่ายก่อน แต่ต่อไปจะต้องคิดเงินให้ข้าปีละหนึ่งครั้ง เยี่ยงนี้ ตั๋วเงินของร้านยาเต๋อเหรินจะได้ไม่ฝืดเคือง”
เหวินซื่อเข้าใจแล้ว จึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “สาวน้อย ไม่เสียแรงที่รู้จักกับเจ้าตั้งแต่แรก พระคุณใหญ่หลวงนี้ ข้าเหวินซื่อจะจำไว้ตลอดชีวิต”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย จึงตั้งใจแกล้งเขาว่า “อย่าเลยเหวินซื่อ เจ้าอย่าจำจะดีกว่า ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า ข้ายังไม่เคยเจอเรื่องดีๆ เลย”
เสียงหัวเราะติดอยู่ตรงคอของเหวินซื่อ กลั้นไม่อยู่จนไอออกมา
เห็นท่าทางแบบนี้ของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็สบายใจทันที ยกแก้วน้ำขึ้นมา แล้วค่อยๆ ดื่ม
เหวินซื่อเดินไปหน้าประตูอย่างตื่นเต้น ตะโกนออกไปข้างนอกว่า “เข้ามา”
ตึกๆๆ
มีพนักงานวิ่งขึ้นมา “เถ้าแก่”
“รีบไปรับท่านปู่ของข้ามา บอกว่ามีเรื่องใหญ่หนึ่งเรื่องต้องการรบกวนให้ท่านจัดการ”
พนักงานไม่กล้าชักช้า วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เหวินซื่อเดินมาข้างหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างตื่นเต้น ยกแก้วชาขึ้น ดื่มหมดในหนึ่งคำ ก็ยังรู้สึกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ดื่มไปมาในห้องอย่างตื่นเต้น
เมิ่งเชี่ยนโยวมองจนเวียนหัว ขมวดคิ้ว “เหวินซื่อ ผู้สูงอายุอย่างท่านหยุดก่อนได้หรือไม่ ข้ามองจนเวียนหัวไปหมดแล้ว”
เหวินซื่อหยุดเดินทันที แล้วมองนางด้วยความโมโห กล่าวถามว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร”
“เหวินซื่อไง หรือข้าเรียกผิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบ
“ไม่ใช่ ประโยคต่อไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอียงหัวแล้วครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออก หันหน้าถามหวงฝู่อี้เซวียน “เมื่อครู่ข้าเรียกอะไรหรือ”
รอยยิ้มมุมปากของหวงฝู่อี้เซวียนปกปิดไม่อยู่ มองเหวินซื่อที่กำลังจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้สูงอายุอย่างท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาเฉไฉด้วยสีหน้างงงวย “จริงหรือ ข้าจำไม่ได้แล้ว” พูดถึงตรงนี้ แล้วก็มองเหวินซื่อ “ข้าก็ไม่ได้เรียกผิด เขาเป็นผู้สูงอายุจริงๆ”
เหวินซื่อจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย เดินไปมาข้างหน้าทั้งสองสองรอบ สุดท้ายหยุดที่ข้างหน้าทั้งสอง กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ามองดีๆ คุณชายที่หน้าตาดี นิสัยอ่อนโยน รูปร่างดี ใครพบใครรัก ดอกไม้เจอยังเบ่งบานอย่างข้า ใกล้เคียงกับคำว่าผู้สูงอายุหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกุมหน้าอกตัวเองไว้ ทำท่าจะอาเจียนหลายครั้ง ท่าทางรับเขาไม่ได้ “เหวินซื่อ ขอร้องเจ้าอย่าหลงตัวเองเยี่ยงนี้ได้หรือไม่ เจ้าใช้คำที่มีไว้ชมอี้เซวียนของข้าบนตัวเจ้าทั้งหมด เจ้าไม่คิดว่ากำลังทำลายคำพูดพวกนี้หรือ”
น้ำชาที่หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะดื่มเข้าไปแทบจะพุ่งออกมา แต่ก็อดกลั้นไว้ได้ วางแก้วชาลง แสดงใบหน้าของตนออกมา
มองดูใบหน้างดงามที่ใครก็ต้องอิจฉาของเขา แล้วมองตน เหวินซื่อกลืนคำที่จะเถียงลงไปทันที เดินคอตกกลับไปข้างๆ โต๊ะทำงาน แล้วเก็บสมุดบัญชีที่ตัวเองดึงลงมาตอนที่ล้มเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
พนักงานไม่รู้ว่าเรื่องอะไร จึงไปจวนเหวินอย่างรีบร้อน บอกแค่ว่าเถ้าแก่ให้นายท่านเหวินรีบไป ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่รู้จริงๆ
นายท่านเหวินคิดว่าร้านยาเต๋อเหรินเกิดเรื่องใหญ่ที่จัดการไม่ได้ นั่งรถม้ามาอย่างร้อนใจ แล้วก็เดินขึ้นมาชั้นสองอย่างแข็งแรง เปิดประตูไปด้วยกล่าวถามไปด้วยว่า “ซื่อเอ๋อร์ เกิดอะไร…”
จนเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองนั่งอยู่ในห้อง รีบหยุดพูด แล้วก้มตัวทำความเคารพทั้งสองทันที “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งไม่ขยับ แค่พยักหน้าเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “นายท่านเหวิน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อไปก็ข้ามมารยาทพวกนี้ไปเถิดเจ้าค่ะ”
นายท่านเหวินกล่าวขอบคุณ
เหวินซื่อเดินเข้ามา พยุงเขานั่งลงบนเก้าอี้ รอบตัวเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งความยินดี แล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ ซื่อจื่อกับเจ้าหนูนำเรื่องดีๆ ที่ยิ่งใหญ่มากมาให้ร้านยาเต๋อเหรินของพวกเรา”
นายท่านเหวินได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของเขา ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “เรื่องดีอะไร”
เหวินซื่อรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
นายท่านเหวินรีบลุกขึ้นมาทันที กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ซื่อเอ๋อร์ จริงหรือ ร้านยาเต๋อเหรินของเราจะได้รับป้ายพระราชทานจริงหรือ”
เหวินซื่อพยักหน้าหงึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ว่า “ใช่ขอรับ ท่านปู่ นี่เป็นเรื่องจริง”
“ถ้าเยี่ยงนั้น ถ้าเยี่ยงนั้น ถ้าเยี่ยงนั้น…” ตื่นเต้นจนพูดซ้ำไปมา นายท่านเหวินก็ไม่ได้พูดประโยคถัดไปออกมา ดันตัวเหวินซื่อออก เดินออกมาจากหลังโต๊ะทำงาน กำลังจะคุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก รีบลุกขึ้นจะห้าม
หวงฝู่อี้เซวียนกลับใช้กำลังภายในหยุดร่างกายของนายท่านเหวินไว้ ให้เขาคุกเข่าไม่ได้
เหวินซื่อก็ตกใจอย่างมาก รีบเดินเข้ามา “ท่านปู่ ท่านทำอะไร เจ้าหนูนี่ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย”
นายท่านเหวินตื่นเต้นจนน้ำตาไหลออกมา “พระคุณใหญ่หลวงของซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยนี้ ข้าจะไม่ลืมเลย ต่อไปหากต้องการให้ข้าทำอะไร สั่งมาได้เลย ข้าจะไม่ปฏิเสธเป็นอันขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินเข้ามา “นายท่านเหวินพูดเกินไปแล้ว เรื่องนี้สำหรับพวกข้านั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ที่แทบไม่ต้องออกแรง ท่านอย่าเก็บไว้ในใจเลยเจ้าค่ะ”
นายท่านเหวินตื่นเต้นจนโบกมือไปมา “ไม่ๆๆ ซื่อจื่อเฟย สำหรับครอบครัวเหวินและร้านยาเต๋อเหรินของพวกข้าแล้ว การได้รับป้ายพระราชทานจากฮ่องเต้นั้นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติยศที่ครอบครัวเหวินของพวกข้าสามารถสือทอดต่อๆ กันไปทุกยุคทุกสมัย”
เหวินซื่อก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวตื้นตันเพราะท่าทีของนายท่านเหวินเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านพูดเยี่ยงนี้ พวกข้าก็วางใจแล้ว ท่านรออยู่ที่นี่ก่อนนะเจ้าคะ ข้ากับอี้เซวียนจะกลับจวนทันที ดูว่าเสด็จพ่อกลับมาจากวังแล้วหรือไม่ ทันทีที่ได้ข่าวที่แน่ชัดแล้ว พวกข้าจะส่งคนมาบอกพวกท่านทันที”
นายท่านเหวินพยักหน้าไม่หยุด “ดีๆๆ รบกวนซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินก็ลุกขึ้นยืน หลังจากพยักหน้าเบาๆ เป็นการบอกลาทั้งสองแล้ว ก็เดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว
นายท่านเหวินที่ยังมีคราบน้ำตาแห่งความยินดีอยู่บนใบหน้าและเหวินซื่อเดินลงมาส่งทั้งสองด้วยตัวเอง มองดูทั้งสองนั่งรถม้าไปจนไกลแล้ว จึงกลับมารอข่าวที่ชั้นบน
ในระหว่างทางที่กลับมาเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พักผ่อนอีก โจวอันจึงขี่รถม้าอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็ถึงหน้าประตูจวน
“ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือไม่” ทั้งสองลงจากรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามคนที่เฝ้าประตู
คนที่เฝ้าประตูรายงานด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋องเพิ่งกลับมาขอรับ สั่งให้บอกคุณชายใหญ่และซื่อจื่อเฟยว่าให้ไปห้องหนังสือของเขาทันทีที่พวกท่านกลับมาขอรับ”
ทั้งสองตรงมาที่ห้องหนังสือ ท่านอ๋องฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ตกลงแล้ว แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อคือ ภายในสามปีนี้ให้ร้านยาเต๋อเหรินขายยาสมุนไพรแค่สี่ส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องรอให้รอบใหม่มาก่อนจึงจะขายได้”
นี่ก็เกินกว่าที่เมิ่งเชี่ยนโยวคิดไว้แล้ว นางคิดว่ามากสุดฮ่องเต้จะให้ขายแค่สองส่วน จึงกล่าวว่า “ฝั่งร้านยาเต๋อเหรินเราถามแล้วเจ้าค่ะ เหวินซื่อตกลงจ่ายหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อยาสมุนไพรพวกนี้”
ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “ถ้าเยี่ยงนั้น พวกเราส่งคนไปบอกข่าวเถิด ให้ทั้งสองฝั่งเตรียมตัวไว้ เลือกวันมงคลแล้วจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”