ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 320 ใครเสียหน้ามากกว่า
พระชายาฉีรีบยืนขึ้น ยืนขวางอยู่ข้างหน้าเขาไว้ และร้องขอ “ท่านอ๋อง ฟังอวี้เอ๋อร์พูดก่อนว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ถึงตอนนั้นท่านค่อยตีสอนก็ยังไม่สาย”
อ๋องฉีตะคอกด้วยความโกรธ “ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้อีกล่ะ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งไร้ประโยชน์ที่หลงใหลในรูปงามจนควบคุมตนเองไม่ได้ แต่เจ้าต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ครั้งนี้แหละดีแล้ว เกิดเหตุร้ายดังกล่าวขึ้น รอให้จวนราชเลขามาคิดบัญชี ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะจัดการอย่างไร” พูดจบ ก็ไออย่างหนักติดกันหลายครั้ง
ครั้งนี้อ๋องฉีออกแรงเตะไม่เบา จนมุมปากของหวงฝู่อวี้มีเลือดไหลออกมา แต่เขาก็ไม่กล้าเช็ด เขารีบลุกขึ้นจากพื้น และคุกเข่าต่อหน้าอ๋องฉีอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ความผิดทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ขอท่านอย่าโกรธจนเป็นโทษต่อสุขภาพของท่านนะขอรับ”
อ๋องฉีกล่าวด้วยความโกรธ “มีลูกอกตัญญูอย่างเจ้าอยู่ ให้ข้ามีอายุยืนยังเป็นเรื่องยาก”
หวงฝู่อวี้หน้าซีด เขากระแทกศีรษะกับพื้นอย่างแรง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เสด็จพ่อได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย”
พระชายาฉีเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของเขา ก็รู้สึกสงสาร “ท่านอ๋องเพคะ ต่อให้อวี้เอ๋อร์จะไม่ได้เรื่องมากเพียงใด ก็เป็นบุตรแท้ๆ ของท่าน ทำไมท่านถึงได้ลงมือหนักเช่นนี้เล่า อีกอย่าง ข้าเลี้ยงลูกของข้ามา เขาเป็นยังไงข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรเพคะ อวี้เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจอย่างนั้น! ต้องมีบางอย่างแอบแฝง ท่านนั่งลงก่อน อดทนฟังเขาพูดจบก่อนดีไหมเพคะ”
อ๋องฉีส่งเสียงในลำคอ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความโกรธ
พระชายาฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา นางก้มลง เช็ดเลือดที่มุมปากให้กับหวงฝู่อวี้ด้วยตนเอง นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “อวี้เอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เจ้าบอกความจริงกับพวกเรามาเถอะ”
เขามองไปที่ท่านอ๋องฉี กวาดตามองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กัดฟัน และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมา
แท้จริงแล้ว ช่วงรุ่งสางของวันนี้ หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกไปแล้ว หวงฝู่อวี้ไม่ได้ออกจากเรือน แต่กลับนอนขี้เกียจอยู่ หลังจากยุ่งมาหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงงานและกิจการร้านรวงของจวน และยังมีการค้าขายของตนเองอีก เขาล้วนจัดการเสร็จแล้ว นับจากวันนี้ไป เขาก็จะไม่ยุ่งขนาดนั้นแล้ว แต่ว่า เขาไม่ได้วางแผนที่จะอยู่เฉยๆ เขาจะไปเดินดูชมร้านค้าในเมืองเสียหน่อย
เขาตื่นขึ้นหลังจากที่พักผ่อนเพียงพอแล้ว หลังการทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว เขาก็ออกไป เขาไปสำรวจที่ร้านขายข้าวสารที่ตงเฉิง ร้านขายข้าวสารนี้เป็นร้านที่ตกทอดมาจากเฮ่อจาง เป็นร้านที่ทำกำไรมากที่สุด
เจ้าของร้านพอเห็นเขา ก็รีบรินชาให้เขาด้วยตนเองทันที และมอบสมุดบัญชีในช่วงนี้ให้เขาดู
หวงฝู่อวี้ดูอย่างละเอียด ไม่เห็นว่ามีข้อผิดพลาดใดๆ จึงพูดชื่นชมให้กำลังใจเจ้าของร้าน และสัญญาว่าเมื่อเงินดือนออกสิ้นเดือน จะให้เขามากกว่าเดิม เขาเดินออกจากร้านขายขายข้าวสารด้วยท่าทีที่ขอบคุณเจ้าของร้าน เตรียมจะเดินไปสำรวจยังร้านถัดไป
หงเอ๋อร์สาวใช้ส่วนตัวของหลินหันเยียนก็เดินเข้ามา ขวางหน้าเขาไว้ “คุณชายรอง คุณหนูของข้าเชิญท่านไปพูดคุยกันที่จิ่วโหลวเจ้าค่ะ”
เรื่องที่หลินหันเยียนหมั้นหมาย หวงฝู่อวี้ได้ยินมานานแล้ว เขาบังคับตนเองให้ค่อยๆ ลืมความรู้สึกที่มีต่อหลินหันเยียน เขาฟังสิ่งที่หงเอ๋อร์พูด แต่ไม่ขยับตัว พลางกล่าวว่า “กลับไปรายงานคุณหนูของเจ้า นางเองก็มีคู่หมั้นหมายแล้ว การพบเจอกับข้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อตัวนาง แล้วก็… อีกไม่กี่วัน ข้าเองก็ต้องหมั้นหมายกับคุณหนูจวนอู่โหวแล้ว เวลาเช่นนี้ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องพบกันจริงๆ”
หงเอ๋อร์กัดริมฝีปาก ยืนอยู่ข้างหน้าเขาไม่ขยับตัว
เฮ่ออีที่ตามติดเขามาตลอด อยากก้าวไปไล่นาง แต่ถูกหวงฝู่อวี้ห้ามไว้
หวงฝู่อวี้เคลื่อนฝีเท้า อยากจะเดินอ้อมไปจากหงเอ๋อร์
ตุบ หงเอ๋อร์ คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อวี้ กล่าวด้วยเสียงสะอื้น “คุณชายรอง ขอร้องท่านล่ะ ไปเจอคุณหนูเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ นาง นาง นางจะไม่ไหวแล้ว”
หวงฝู่อวี้ตกใจ เขาลืมมารยาทอันดีงามทั้งหมดไปจนสิ้น ถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เยียนเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าสบายดีตลอดงั้นหรือ”
หงเอ๋อร์สำลักครู่หนึ่ง “นายท่านและฮูหยินบังคับคุณหนูให้หมั้นหมาย แต่คุณหนูไม่ยอม อยากจะชนกำแพงฆ่าตัวตาย แม้ว่าบ่าวรับใช้จะดึงไว้แต่นางก็ยังคงชนกำแพงจนเลือดไหล ผ่านไปหลายวัน ถึงจะดีขึ้นมาบ้าง แต่หากวันนี้คุณชายรองไม่ไปพบนาง ถ้าคุณหนูของข้าเกิดคิดมากขึ้นอีก ไม่แน่อาจจะทำอะไรโง่ๆ ในวันนี้อีกก็ได้”
เรื่องที่หลินหันเยียนกระแทกหัวนั้นจวนราชเลขาปกปิดอย่างเข้มงวด นอกจากหมอและคู่สามีภรรยาเหวินซื่อรู้แล้ว คนนอกก็ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกเลย จึงไม่ได้มีข่าวอะไรถูกส่งออกมา หวงฝู่อวี้เองก็ไม่เคยได้ยิน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหงเอ๋อร์วันนี้ อะไรก็ไม่อาจหยุดเขาได้ เขาถามนางด้วยความร้อนใจ “คุณหนูของเจ้าอยู่จิ่วโหลวไหน รีบพาข้าไปเร็ว”
หงเอ๋อร์เช็ดน้ำตา และลุกขึ้นยืน นางพาหวงฝู่อวี้มายังจิ่วโหลวหรูหราที่ตงเฉิง พอถึงห้องส่วนตัวของชั้นสอง ก็เคาะประตูเบาๆ
ภายในห้องมีเสียงที่อ่อนแรงของหลินหันเยียนส่งออกมา “เข้ามา”
หงเอ๋อร์เปิดประตูออก หวงฝู่อวี้รีบก้าวเท้าเกินเข้าไป เห็นหลินหันเยียนที่ผอมจนเหลือแต่กระดูกก็อดสงสารไม่ได้
ใบหน้าหลินหันเยียนเต็มไปด้วยน้ำตา นางลุกขึ้นยืน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่อวี้ ในที่สุดท่านก็มาพบข้าแล้ว”
หงเอ๋อร์ค่อยๆ เปิดประตู แล้วไปยืนอยู่ด้านนอก
ขณะที่เปิดประตู เฮ่ออีรับรู้สถานการณ์ด้านในอย่างชัดเจนแล้ว มีเพียงหลินหันเยียนคนเดียวเท่านั้น จึงวางใจและยืนอยู่ด้านนอก
หวงฝู่อวี้ก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือออกไป อยากจะโอบกอดหลินหันเยียนไว้ในอ้อมแขน แต่ก็รู้สึกไม่เหมาะสม จึงเก็บมือกลับ น้ำเสียงสำลักเล็กน้อย “เยียนเอ๋อร์ เจ้าผอมลงไปเยอะมาก ผอมจนข้าแทบจะจำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว”
หลินหันเยียนลูบใบหน้าของตัวเอง ยิ้มอย่างเศร้าๆ และน้ำตาก็ไหลรินลงมา “ข้าในตอนนี้ดูไม่ต่างจากผีเลยใช่หรือไม่ อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ตอนที่ข้าส่องคันฉ่องเอง ข้าก็จำตัวเองไม่ได้ ไม่แปลกที่พี่อวี้จะตกใจกลัว”
หวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เมื่อก่อนนั้นช่างพูดช่างจา มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าเสมอ ไม่มีเรื่องให้กังวล และมีชีวิตชีวา แต่หลังจากถอนหมั้นแล้ว ก็เหมือนดอกไม้ที่เ**่ยวเฉา แย่ลงไปทุกวัน ครั้งก่อนที่ตนเห็นนางที่จวนแม่ทัพ แม้ว่าตอนนั้นรูปร่างนางจะดูผอม แต่ว่าถ้าเทียบกับตอนนี้ ก็ยังถือว่าอวบกว่านัก นางในตอนนี้ เหมือนมีเพียงผิวหนังที่ห่อหุ้มกระดูกเอาไว้ ถ้าปล่อยไว้อีกสักพัก นางก็คงถูกเผาผลาญเลือดเนื้อจนเหือดแห้งตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินหันเยียน ยืนนิ่ง มองเขาด้วยน้ำตา ไม่ส่งเสียงอะไร ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ความรู้สึกที่อัดอั้นขมขื่นของหวงฝู่อวี้ตลอดหลายปีมานี้ เมื่อเห็นสภาพของนางตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมา เขาลืมหลักคุณธรรมต่างๆ ทิ้งไป “เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้”
หลินหันเยียนส่งเสียงสะอื้น
เฮ่ออีรู้สึกตื่นตัว ฟังความเคลื่อนไหวในห้องตลอดเวลา ฟังจากคำพูดแล้วพอคาดเดาท่าทางของทั้งสองออก เขาขมวดคิ้วด้วยความลังเล ไม่รู้ว่าควรจะส่งเสียงเตือนดีไหม หรือจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป
หงเอ๋อร์เหมือนกับคาดเดาความคิดของเขาออก ไปยืนที่กลางประตูห้อง ต้องการบอกเขาว่าหากอยากจะเข้าไปด้านใน ต้องข้ามศพนางไปก่อน
ตอนแรกก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดี ตอนนี้สับสนยิ่งกว่าเดิม
หลินหันเยียนนำความน้อยใจ ความคิดถึง ความไม่พอใจ ความหวาดกลัวทั้งหมดตลอดเวลาที่ผ่านมา แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา ร้องไห้ออกมา นางร้องไห้จนเป็นลมหมดสติไป
หวงฝู่อวี้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก น้ำตาเขาไหลเต็มหน้า เขาปลอบโยนนางอย่างนุ่มนวล พูดแนะนำนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเกือบพลั้งปากสัญญากับนางว่าจะดูแลนางตลอดไป โชคดีที่ยังได้สติ นึกขึ้นได้ว่านางมีคู่หมั้นแล้ว จึงหยุดความคิดไว้ได้
หลินหันเยียนค่อยๆ หยุดร้องไห้ เงยหน้าพร้อมดวงตาที่แดงช้ำขึ้น มองไปที่เขา น้ำเสียงยังคงสะอึกสะอื้น “พี่อวี้ ข้าคิดว่าชีวิตนี้ท่านจะไม่สนใจข้าแล้วเสียอีก”
ริมฝีปากของหวงฝู่อี้ขยับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลินหันเยียนยิ้มออกมา หัวเราะทั้งน้ำตา ดั่งดอกไม้ในสายฝน หวงฝู่อวี้ที่มองอยู่ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอีกครั้ง เขากล่าวเสียงเบาๆ “เยียนเอ๋อร์ ข้า……”
หลินหันเยียนส่ายหน้าให้เขา “พี่อวี้ ข้ารู้ดีว่าเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้ท่านเสียใจ ข้าไม่โทษท่าน ข้าเพียงโทษตัวข้าที่ไม่รู้ใจตัวเองเร็วกว่านี้”
หวงฝู่อวี้รู้สึกผิด ที่จริงเขาคิดมากไป เลยคอยหลบซ่อนนาง จึงทำให้ทั้งสองต้องเจอบทสรุปเช่นนี้
หลินหันเยียนดึงเขามานั่งบนโต๊ะ และชี้ไปที่อาหารโอชาที่วางอยู่เต็มโต๊ะ กล่าวว่า “นี่ล้วนเป็นอาหารที่พี่อวี้ชอบ หากวันนี้พี่อวี้ไม่มาหาข้า ข้าคิดไว้ว่า หลังจากที่ข้าทานอาหารเหล่านี้แล้ว ก็จะตัดใจจากท่าน และจากนี้ไป ข้าจะไม่คิดถึงท่านอีก ข้าจะถอนท่านออกจากหัวใจ โชคดี โชคดี ที่ท่านมา ข้ามีความหวังในการมีชีวิตต่อไปแล้ว”
สีหน้าหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด “เยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่น่าทำเช่นนี้เลย บนโลกนี้ยังมีชายดีๆ อีกมาก เจ้า…..”
“พี่อวี้ในใจท่านลืมข้าได้หรือ” เขายังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนก็ขัดจังหวะถามเขากลับ
หวงฝู่อวี้พูดไม่ออกชั่วขณะ
หลินหันเยียนหัวเราะด้วยความสดใส ในเสียงนั้นเต็มไปด้วยความดีใจ “ข้าเองก็ยังไม่ลืมพี่อวี้เช่นกัน ต่อให้บนโลกนี้จะมีชายดีๆ มากมายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า”
หวงฝู่อวี้สั่นไหวในใจ เขาขยับหัวไหล่แล้วห้อยลงไปด้วยความอ่อนแรง
หลินหันเยียนสังเกตท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ของเขาไว้หมด ความขมขื่นแผ่ซ่านอยู่ในใจ นางเม้มริมฝีปาก เงียบลงชั่วขณะ ยิ้มออกมาเล็กน้อย ยื่นมือไปหยิบขวดสุรา และเทสุราเต็มจอกให้กับหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็เทให้ตนเองเต็มจอก นางยกจอกสุราขึ้น “พี่อวี้ ยังจำเหตุการณ์ที่เราดื่มสุราด้วยกันครั้งแรกได้หรือไม่”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จำได้แน่นอน ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก เจ้าเห็นพ่อเจ้าดื่มสุราที่จวน แล้วรู้สึกแปลกใจ พอมาถึงที่จวนอ๋องชักชวนให้ข้าไปขโมยสุราดีๆ ในห้องเก็บสุราของเสด็จพ่อออกมา ซ่อนตัวอยู่ในมุมลับตาคนของจวนอ๋องเพื่อไปดื่มสุรา สุดท้ายเราทั้งสองเมา เลยนอนหลับไปในที่ตรงนั้น ผู้คนตามหาพวกเราไม่เจอ พากันตกใจยกใหญ่ แทบจะพลิกจวนอ๋องตามหาพวกเรากันทีเดียว”
หลินหันเยียนหัวเราะอย่างสดใส “ใช่แล้ว จากนั้นท่านก็รับความผิดคนเดียวทั้งหมด ถูกอ๋องฉีทุบตีอย่างรุนแรง และข้า กลับกลัวจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากกลับบ้านกับท่านแม่อย่างเชื่อฟัง ถูกสั่งไม่ให้ไปจวนอ๋องเป็นเวลาสองเดือน”
พูดจบ ก็กล่าวต่อ “ในชั่วพริบตาเรื่องนี้ก็ผ่านไปหลายปี แต่กลับเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วันนี้เป็นการดื่มอีกครั้งของเรา นับจากนี้อาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว มาเถอะ พี่อวี้ ดื่มเป็นเพื่อนข้า”
ใบหน้าของหวงฝู่อวี้มัวหมองลง หยิบจอกขึ้นมาเงียบๆ เงยหน้าขึ้น เขาดื่มสุราทั้งหมดในครั้งเดียว จากนั้นก็กระแทกจอกเปล่าลงบนโต๊ะ
หลินหันเยียนก็เงยหน้าดื่มสุรา และหยิบขวดสุราขึ้นมาอีกครั้ง รินสุราให้เต็มจอกแล้วยกขึ้น “พี่อวี้ จอกที่สองนี้ ข้าขอขอบคุณสำหรับความอดทนอดกลั้นและการดูแลตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
พูดจบ ไม่รอหวงฝู่อวี้ห้าม ก็เงยหน้าดื่มต่อ
หวงฝู่อวี้ก็ดื่มหมดในคราเดียว
หลินหันเยียนจะไปหยิบขวดสุราอีก แต่หวงฝู่อวี้ก็รีบคว้าสุราจากมือนาง “เยียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว”
หลินหันเยียนไม่พูดอะไร ตาโตกะพริบด้วยความเมาเล็กน้อย และมองไปที่เขา
หวงฝู่อวี้พ่ายแพ้ เติมสุราให้นางอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นเทเต็มจอกให้ตนเอง และนำขวดสุราวางไว้ที่ไกลมือ “นี่เป็นจอกสุดท้ายแล้ว ถ้าขืนดื่มต่อ เจ้าได้เมาจริงแน่ๆ”
หลินหันเยียนยกจอกสุราไปที่จอกของเขา ชนแรงๆ หนึ่งที หงายคอขึ้นกระดกดื่มจนหมดเกลี้ยงอีกครา
หวงฝู่อวี้เองก็ดื่มรวดเดียวจนหมด
หลินหันเยียนเองก็เชื่อฟัง ไม่ได้จะขอดื่มอีก แต่กลับหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบอาหารบางอย่างมาไว้ในจานที่วางอยู่ตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ “พี่อวี้ ท่านลองชิมดู นี่เป็นอาหารที่ท่านชอบที่สุด”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้หยุดนาง เขากินอาหารที่นางคีบให้จนหมดอย่างเงียบๆ ผ่านไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราที่ดื่ม หรืออาหารที่ทานมากเกินไป ร่างกายของเขาจู่ๆ ก็ร้อนขึ้น พอมองไปที่หลินหันเยียน อาจเป็นเพราะเมาเล็กน้อย นางแก้มแดง ตาปรือเล็กน้อย ส่ายหัวตัวเองอยู่ตลอด ดูเหมือนจะขับไล่ความรู้สึกร้อนออกไป
แล้วหวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกไปหานางอย่างไม่รู้ตัว