ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 329 ไปสำนักคุ้มภัย
มองสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหวินเปียวจึงวางใจลง หลังจากอำลาเสร็จก็กลับมาที่เรือนของบ่าวรับใช้ ยกพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนจดหมายจนเสร็จ อยากให้เหวินซงส่งกลับไปด้วยตัวเอง เรียกหลายรอบก็ไม่เห็น จนรู้จากปากของภรรยาตัวเองว่าเขาไปพบชิงหลวนแล้ว คิดได้ว่าชิง
หลวนนั้นอยู่ข้างเมิ่งเชี่ยนโยวทุกวัน กว่าลูกชายของตัวเองจะเจอนางสักครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป จึงไปหากัวเฟย อยากจะให้เขาช่วยหาองครักษ์ลับนายหนึ่งไปส่งให้ หาไปหามา ก็หาเขาไม่เจอ จึงคิดขึ้นได้ว่า วันนี้จูหลีก็มา กัวเฟยต้องไปหานางแน่นอน สุดท้ายไม่มีวิธีอื่น ถือจดหมายที่เขียนเสร็จแล้วกลับมาที่เรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว ยืนรายงานอยู่ในเรือนว่า “นายหญิง จดหมายเขียนเสร็จแล้วขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก สั่งโจวอันให้หาองครักษ์ลับสองคนขี่ม้าไปส่งอย่างรวดเร็ว
องครักษ์ลับเอาจดหมายไปแล้ว เหวินเปียวก็ยังคงยืนอยู่ในเรือนไม่ขยับ เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “มีอะไรอีกหรือ”
“นายหญิง ของหมั้นหมายทุกอย่างพวกข้าได้จัดเตรียมไว้หมดแล้วไม่รู้ว่าจะให้ซงเอ๋อร์และแม่นางชิงหลวนหมั้นหมายกันเมื่อไหร่ขอรับ”
“เรื่องนี้ไม่รีบ ไม่นานก็จะได้เก็บมันฝรั่งแล้ว รอหลังจากเก็บมันฝรั่งแล้วว่ากันอีกที วางใจเถิด ก่อนปีใหม่ ข้ารับประกันว่าเหวินเปียวต้องได้สะใภ้เข้าเรือนแน่นอน”
เหวินเปียวก็ยังไม่ไป ในน้ำเสียงก็ยังคงมีความร้อนใจเล็กน้อย “นายหญิง ท่านช่วยจัดหางานให้ครอบครัวข้าทีเถิด อยู่เฉยๆ ในจวนทั้งวันแบบนี้ จิตใจข้าไม่สงบเลยขอรับ”
“รออีกไม่กี่วันก่อน ข้ามีงานสำคัญให้พวกเจ้าทำ ช่วงนี้ก็พักผ่อนไปก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยี่ยงนี้แล้ว เหวินเปียวก็ไม่กล้าขอร้องอีกแน่นอน หันหลังกลับไปที่เรือนของตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในห้อง หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยสายตาแปลกๆ
“เป็นอะไร ข้ามีอะไรแปลกๆ หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
หวงฝู่อี้เซวียนจ้องไปที่ท้องของนาง ท่าทางคิดหนัก “ท่านแม่กล่าวแล้ว เจ้าตั้งท้องสี่เดือนควรท้องโตแล้ว แต่เจ้ายังหุ่นดีเยี่ยงนี้ หรือว่าลูกๆ จะเป็นอะไรจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างหน้าเขา ยิ้มแล้วตีเขาเบาๆ หนึ่งที “พูออะไรไร้สาระ ข้าเป็นหมอ ลูกอยู่ในท้องข้า ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นอะไรหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนกุมมือนางไว้ ขมวดคิ้ว สีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้พูดเล่นกับเจ้า ให้หมอหลวงเจียงมาดูเถิด”
คำพูดที่หมอหลวงเจียงพูดครั้งที่แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจำไว้ในใจตลอดเวลา หากไม่ให้หมอหลวงเจียงมาจับชีพจรให้ตน เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่เป็นอะไรจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ห้าม ยิ้มแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงดังว่า “โจวอัน ไปหิ้วตัวหมอหลวงเจียงมา”
โจวอันไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ภายใต้เสียงประท้วงของหมอหลวงเจียง โจวอันดึงปกคอเสื้อของเขาขึ้น แล้วหิ้วเขามาจริงๆ
แม้ว่าจะเป็นอย่างนี้หลายครั้งแล้ว หมอหลวงเจียงก็ยังไม่เคยชินกับการเดินทางแบบนี้ ขอร้องโจวอันให้ช้าลงด้วยความอกสั่นขวัญแขวนตลอดทาง
จนถึงในเรือน โจวอันจึงปล่อยเขาลง
หมอหลวงเจียงสะดุดขาสองครั้ง เอนไปมาแล้วจึงจะยืนตรงได้สะบัดหัวที่เริ่มมึนของตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ท่านจอมยุทธ์ ครั้งหน้ารบกวนท่านอย่าใช้วิธีแบบนี้อีกได้หรือไม่ แขนขาแก่ๆ นี้ของข้า รับไม่ไหวจริงๆ”
โจวอันสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดจา
เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังออกมาจากข้างใน “ยังไม่ไสหัวเข้ามาอีก ไม่อยากได้สูตรยาพวกนั้นแล้วใช่หรือไม่”
ทันทีที่สูตรยาสองคำนี้เข้ามาในหู ร่างกายของหมอหลวงเจียงก็ไม่เอนไปมาแล้ว หัวก็ไม่มึนแล้ว ก้าวขาไม่กี่ก้าวก็เข้ามาในห้องทันที “ซื่อจื่อ ข้าไสหัวเข้ามาแล้ว ท่านต้องพูดคำไหนคำนั้นนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดปากแล้วแอบหัวเราะ
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เจ้าช่วยจับชีพจรให้ซื่อจื่อเฟยก่อน ดูว่านางมีจุดไหนที่ไม่สบายหรือไม่ จับถูกแล้ว สูตรยาพวกนั้นเป็นของเจ้าทั้งหมด”
ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว หมอหลวงเจียงหยุดชะงักไปทันที รอยยิ้มที่ขึ้นบนใบหน้าก็หายไปในทันที คิดว่าตัวเองนั้นหงำเหงือกไปแล้วใช่หรือไม่ คำพูดประโยคนี้ของซื่อจื่อเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร สงบใจลง สร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเอง กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “ซื่อจื่อ ท่านต้องการให้ให้ซื่อจื่อเฟยไม่มีเรื่อง หรือว่ามีเรื่องหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวหัวเราะพรวดออกมา
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ดีขึ้นทันที
ใจของหมอหลวงเจียงสั่นทันที รู้สึกได้ว่าสูตรยาที่อยู่ตรงหน้าพวกนั้นได้ค่อยๆ ลอยหายไป ก้มศีรษะลงด้วยความตกใจ ไม่กล้ามองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
เสียงกัดฟันของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหูเขา “ดูเหมือนกับที่ดูปกติก็พอ”
หมอหลวงเจียงรีบรับคำสั่งทันที เดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว วางกระเป๋ายาลงบนพื้น ย่อตัวลงแล้วเปิดออก หยิบหมอนจับชีพจรวางลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองนั้นนั่งย่อตัว “ซื่อจื่อเฟย เชิญท่านวางมือลงบนนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้หมอหลวงเจียงนั่ง จึงคิดได้ว่าชิงหลวนและจูหลีนั้นตัวนางสั่งให้ออกไปแล้ว ไม่มีคนให้ใช้ ยิ้มแล้วมองหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนยกขาขึ้น เตะเก้าอี้หนึ่งตัวไปด้านหลังหมอหลวงเจียงอย่างแม่นยำทันที สั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นั่งลง”
หมอหลวงเจียงตกใจนั่งลงบนเก้าอี้ทันที เหงื่อเย็นผุกออกมาจากบนใบหน้า วันนี้ซื่อจื่ออารมณ์ไม่ดีมากๆ ตัวเองต้องระมัดระวังให้ดี จับชีพจรให้ซื่อจื่อเฟยดีๆ
ตั้งแต่นั้น หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป มือของหมอหลวงเจียงก็ยังคงอยู่บนชีพจรของเมิ่งเชี่ยนโยว
สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ มีไอเย็นออกมารอบๆ ตัว
หมอหลวงเจียงหนาวจนตัวสั่นหนึ่งครั้ง จึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา รีบปล่อยมือของเมิ่งเชี่ยนโยวทันที คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น “ซื่อจื่อ ฝีมือการรักษาของข้าไม่เก่งกาจ ตรวจไม่ออกจริงๆ ว่าชีพจรจุดไหนของซื่อจื่อเฟยที่ไม่ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงดังออกมาทันที เสียงหัวเราะที่สดใสนั้นดังออกไปไกลมาก
แต่หมอหลวงเจียงกลับเห็นสีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นอ่อนลงอย่างมหัศจรรย์ ตัวเองก็ไม่รู้สึกถึงความกดดันที่มาจากเขาแล้ว ในขณะที่ตัวเองกำลังสงสัยอยู่ น้ำเสียงที่สบายของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมาอีกครั้ง “พรุ่งนี้ไปเอาสูตรยาที่จวนอ๋อง”
หมอหลวงหยุดชะงักไปสักพัก ไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา ดีใจมาก กล่าวขอบพระทัยหลายๆ ครั้งด้วยความตื่นเต้น “ขอบพระทัยซื่อจื่อ ขอบพระทัยซื่อจื่อ ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้ ข้าไปรอที่จวนเดี๋ยวนี้เลย ท่านกลับจวนเมื่อไหร่ ค่อยเอาให้ข้าก็พอ”
เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งหยุดลงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง บนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นมา แต่ประโยคถัดไปที่พูดออกมากลับทำให้หมอหลวงเจียงรีบลุกขึ้นมา แล้วเก็บกระเป๋ายาของตัวเองทันที ยังไม่ทันสะพาย ก็รีบยกของขึ้นมาแล้วก้าวขาออกไปทันที “หากเจ้ายังกล้าเรื่องมากอีก พรุ่งนี้เจ้าจะไม่ได้สูตรยาแม้แต่สูตรเดียว”
โจวอันมองหมอหลวงเจียงวิ่งออกมาด้วยความตกใจ วิ่งตรงมาอยู่ด้านหน้าตัวเองด้วยใบหน้าที่ไม่แดงลมหายใจปกติ “ท่านจอมยุทธ์ รบกวนเจ้าอีกครั้ง ช่วยส่งข้ากลับไปให้เร็วที่สุด”
โจวอันยังไม่ทันรู้สึกตัวขึ้นมา เสียงมีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากห้อง “หมอหลวงเจียง ใกล้เวลากลางวันแล้ว ท่านอยู่ทานอาหารกลางวันที่จวนก่อนแล้วค่อยกลับเถิด”
หมอหลวงเจียงกำลังจะปฏิเสธ ก็คิดขึ้นได้ว่าสองสามวันนี้ในวังมีโรคยากๆ หลายโรค ตนสามารถฉวยโอกาสนี้ปรึกษาหารือกับเมิ่งเชี่ยนโยว จึงตอบรับด้วยความดีใจว่า “ขอบพระทัยซื่อจื่อเฟย ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะทำตามคำสั่ง”
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หมอหลวงเจียงก็จากไปด้วยใบหน้าที่เต็มอิ่ม
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปพักในห้องชั่วครู่ แล้วเล่นเป็นเพื่อนเซิ่งเอ๋อร์กับเมิ่งซื่อครึ่งค่อนวัน รอจนท้องฟ้ามืดลง จึงจะกลับตำหนัก
สองสามวันนี้พระชายาฉีถูกเรื่องของหลินหันเยียนวุ่นวายจนปวดหัว วันนี้กลับไปที่จวนของท่านแม่ทัพ แล้วเพิ่งกลับมาถึงพอดี ลงจากรถม้า เห็นทั้งสองคน ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ไปไหนมาหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังแล้วเดินไปด้านหลังหลายก้าว ต้อนรับพระชายาฉี ควงแขนข้างหนึ่งของนาง ยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ได้พบท่านแม่ของข้าหลายวันแล้ว คิดถึงมาก จึงกลับจวนไปหานางมาเจ้าค่ะเสด็จแม่”
พระชายาฉีหยุดชะงักไป ตั้งใจถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “เฮ้อ มีลูกสาวนั้นดีจริงๆ ยังมีคนคิดถึง ไม่เหมือนข้าที่มีแค่ลูกชายสองคน นอกจากทำความเคารพแล้ว ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งควงแขนแน่นขึ้นไปอีก ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสด็จแม่พูดอะไรเยี่ยงนี้เจ้าคะ ท่านบอกว่าข้าก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านมิใช่หรือ ต่อไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านทุกวันเลย”
พระชายาฉีสบายใจขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้น “ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าทุกวัน คลอดหลานสาวที่เชื่อฟังและน่ารักเหมือนเจ้าให้ข้าก็พอแล้ว”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวข้าเองเสียหน่อย ท่านก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิดเจ้าค่ะ”
เห็นสีหน้าเขินอายของนางแล้ว พระชายาฉีก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ
ฉวยโอกาสที่นางไม่สังเกต เมิ่งเชี่ยนโยวแอบแลบลิ้นให้หวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวแล้วหลุดหัวเราะออกมา
แต่พระชายาฉีกลับหยุดเดิน มองดูนางทั้งตัวอย่างละเอียด “วันนี้เรื่องของอวี้เอ๋อร์และเยียนเอ๋อร์ทำข้ามึนหัวไปหมด จนข้าเกือบลืมไปว่าเจ้าใกล้จะสี่เดือนแล้วใช่หรือไม่ ท้องควรโตแล้ว”
มาอีกคนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวร่ำไห้อยู่ในใจ รีบขอความช่วยเหลือจากหวงฝู่อี้เซวียนทันที
“เสด็จแม่ ท่านจำผิดแล้วขอรับ ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะครบสี่เดือน”
“จริงหรือ” พระชายาฉีขมวดคิ้ว สงสัยเล็กน้อย “ข้าจำได้ว่าถึงแล้วนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน “ท่านแม่จำผิดแล้วขอรับ”
มองดูท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ดูแล้วข้าน่าจะจำผิดจริงๆ ข้าก็ว่า ลูกคนเดียว สี่เดือนก็ท้องโตแล้ว เจ้ามีตั้งสองคนเหตุใดจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย”
รอดจากการบ่นอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอกทันที ตอนนี้นางไม่ได้กลัวว่าหวงฝู่อี้เซวียนเฝ้าดูแลนางเคร่งครัดเพียงใด ไม่ให้นางทำโน่นทำนี่ ที่นางกลัวมากที่สุดคือการบ่นของพระชายาฉีและเมิ่งซื่อ นั่นแทบทำให้คนเสียสติ โดยเฉพาะเวลาที่ทั้งสองท่านอยู่ด้วยกัน นางรู้สึกว่าหูของนางใหญ่ขึ้นเพราะถูกบ่นจากทั้งสองท่าน แทบอยากแกล้งเสียชีวิตทุกครั้งที่เจอเลยจริงๆ
พอเลี้ยวผ่านทางเดิน ต่างก็แยกย้ายกันไปที่เรือนของตัวเอง
แน่นอนว่าเพื่อเป็นการตอบแทนที่หวงฝู่อี้เซวียนช่วยตัวเองจากมรสุม เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตอบแทนหวงฝู่อี้เซวียนตามที่ตัวเองสามารถตอบแทนได้อย่าง… ระมัดระวัง
ไม่นานก็ผ่านไปอีกหลายวัน อารมณ์ของหลินหันเยียนค่อยๆ คงที่ ไม่ร้องไห้ฟูมฟายอีก ทุกคนในจวนจึงโล่งอกทันที
หลังจากคนของสำนักคุ้มภัยได้รับจดหมายเดินทางมาแล้ว เหวินเปียวนำก็รีบมาจากจวนทันที ตรงมาที่จวนอ๋องฉี เพื่อพบเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินดังนั้น หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมานอกเรือนพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียน มองทุกคนที่มีฝุ่นเต็มศีรษะและใบหน้า แม้กระทั่งตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ดีๆ ที่หนึ่ง”
ในจดหมายของเหวินเปียวเขียนไว้ว่า เมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องสำคัญให้พวกเขาไปทำ สั่งให้พวกเขารีบเดินทางทั้งวันทั้งคืนมา แต่มองท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวตอนนี้แล้ว ไม่เหมือนว่ามีเรื่องด่วน ทุกคนต่างสงสัยในใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม รอให้หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าด้วยความเคารพ แล้วทุกคนจึงจะกระโดดขึ้นบนหลังม้า แล้วตามหลังไป
ทุกคนต่างเติบโตในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก ยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกว่าทางที่ไปนั้นคุ้นเคยมาก
นี่มันทางไปสำนักคุ้มภัยชัดๆ
ในใจก็เกิดความกังวล ใจสั่นระคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที เกือบสิบปีแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสกลับไปดูเสียที แม้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียวก็ยังดี
เหวินหู่และเหวินเป้าสองพี่น้องก็รู้สึกเช่นกัน ต่างมองไปทางเหวินเปียว แล้วใช้สายตากล่าวถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เหวินเปียวงุนงันกว่าพวกเขาอีก ส่ายหัวไปมา แสดงให้เห็นว่าตัวเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดจา ทุกคนก็ไม่กล้าถาม ค่อยๆ ตามหลังรถม้าช้าๆ
ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ จนสามารถมองเห็นรูปทรงของสำนักคุ้มภัย ในใจของทุกคนตื่นเต้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะพี่น้องในสำนักคุ้มภัยทั้งหลาย ตั้งแต่ตอนที่ถูกนำตัวออกจากสำนักคุ้มภัยแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกเลย แม้ว่าจะอาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงมากมานานหลายปี ก็ไม่กล้าแอบกลับมาดูแม้แต่แวบเดียว กลัวว่าจะถูกใครพบเห็บแล้วทำให้พี่น้องคนอื่นต้องเสียชีวิต
รถม้ายิ่งอยู่ยิ่งใกล้ ทุกคนก็ตื่นเต้นจนใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอแล้ว มีเพียงเหวินเปียวสามพี่น้องที่ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พวกเขาเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง รู้ว่าสำนักคุ้มภัยทรุดโทรมมากเพียงใด แต่ครั้งนี้ที่มองไป แม้ว่าสำนักคุ้มภัยจะไม่ถือว่าเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แต่ก็มีสภาพพอๆ กับตอนที่มีชื่อเสียง ดูท่าแล้วสำนักคุ้มภัยน่าจะถูกราชการฝ่ายขุนนางขายออกไปแล้ว ส่วนนายหญิงก็คงพาพวกเขามาดูเป็นครั้งสุดท้าย
เลี้ยวผ่านหนึ่งโค้ง สำนักคุ้มภัยก็เข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคน
ทุกคนทนไม่ไหวอีกแล้ว ทิ้งมารยาททั้งหมดไปจากสมอง ต่างควบม้าผ่านรถม้าที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ไปทันที แล้วตรงไปที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยอย่างรวดเร็ว