ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 356 ท่าทางมีพิรุธของอ๋องฉี
รับสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำสำหรับอาบชำระร่างกาย เมื่ออาบน้ำจนสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อย อ๋องฉีที่คิดได้แล้วก็สาวเท้ายาวเดินมายังเรือนของพระชายาด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจะมาสานความสัมพันธ์กับหลานสาวตัวน้อยทั้งสองของตน
แต่น่าเสียดาย ความหวังนั้นสวยงาม แต่ความจริงช่างโหดร้าย
เด็กน้อยทั้งสองหลับไปเสียแล้ว พระชายาจึงอาศัยเวลาช่วงนี้ เอนร่างลงบนเสื่อนิ่ม ชื่นชมบรรยากาศในบริเวณเรือน พลางอาบแดดไปด้วย
เมื่ออ๋องฉีย่ำเท้าเข้ามาในเรือนพระชายา ก็ถูกจับได้เสียแล้ว
พระชายารีบยืดตัวขึ้น รีบเดินไปยังหน้าประตู อ๋องฉียังไม่ทันเดินมาถึงหน้าประตู นางก็เปิดม่านกั้นประตูออกไป ‘ต้อนรับ’ ก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง วันนี้ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่เรือนของหม่อมฉันหรือเพคะ” พระชายาถามด้วยความแปลกใจ
หลายปีมานี้ พระชายาไม่เคยใช้คำพูดเช่นนี้กับเขา แม้จะเป็นตอนที่พระชายารองเฮ่อยังมีชีวิตอยู่ นานทีปีหนเขาจะมาเยือนเรือนของพระชายาเสียที นางก็มิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อ๋องฉีขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าลง มองนางด้วยความสงสัย
ในใจของพระชายาฉุกคิดขึ้นมา ตอนที่เด็กทั้งสองคลอด เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นลมหมดสติไป นางเองก็ยุ่งอยู่กับการดูแลเด็กๆ จึงไม่ได้สังเกตท่าทีของอ๋องฉี แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ตามหลักแล้ว หากเด็กๆ อยู่ในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่านอ๋องคงไม่สะดวกไปเยี่ยม ก็ยังสมเหตุสมผล แต่บัดนี้เด็กๆ อยู่ที่เรือนของนาง เขาจะมาเยี่ยมหาเมื่อใดก็ย่อมได้ หากแต่เขากลับไม่เคยปรากฎตัวมาเลย เช่นนี้จึงทำให้รู้สึกผิดแปลกไป เมื่อคิดย้อนไปถึงท่าทางของอ๋องฉีตอนที่ทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกสาวออกมานั้น พระชายาจึงได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
ดูทีคงจะมีคนไม่พอใจเมิ่งเชี่ยนโยวคลอดลูกสาวออกมากระมัง เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไฟโกรธในใจของพระชายาจึงสุมขึ้นมา เขาไม่รัก แต่นางรักหลานของนาง ดังนั้น บัดนี้เมื่อเห็นอ๋องฉี พระชายาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก
“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เจ้าคะ หรือว่ามิได้พบกันหลายวัน ท่านลืมหน้าหม่อมฉันไปเสียแล้ว” พระชายากะพริบตาเล็กน้อย เลียนแบบท่าทางงุนงงของอ๋องฉี
อ๋องฉีนำมือมาบังไว้ที่ปาก จากนั้นก็กระแอมเบาๆ ปกปิดความเขินอายของตน จากนั้นก็พูดช้าๆ ว่า “เอ่อ… ข้ามาถามหาเด็กสองคนนั้น”
“เด็กๆ สบายดีเจ้าค่ะ ไม่ร้องไห้งอแง ท่านอ๋องมิต้องเป็นกังวลเลยเจ้าค่ะ ท่านกลับไปยุ่งเรื่องงานราชการของท่านเถิด”
เมื่อพระชายาพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง ปิดม่านลง ปิดประตู ลงกลอนอย่างดีในคราวเดียว เรียกได้ว่าทำการอย่างเด็ดขาด ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
อ๋องฉียืนมองประตูที่ถูกปิดสนิทอย่างงุนงง ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘งง’ ครู่ใหญ่จึงได้สติกลับคืนมา เขาถูกปฏิเสธไว้ด้านนอกและยังถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยด้วย
เหล่าบรรดาสาวใช้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถอยหลังออกมาทันที คิดในใจว่าท่านอ๋องกำลังโกรธอยู่ คงจะไม่เห็นว่าพวกนางขัดหูขัดตา แล้วเอาพวกนางไปขายใช่หรือไม่
ในใจคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งก้มหัวให้ต่ำลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง กลัวแต่ว่าตนจะกลายเป็นคนที่โชคร้ายผู้นั้น
ในเรือนเงียบสงัด เงียบเสียจนอ๋องฉีได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นด้วยความโกรธของตน
เขาเป็นถึงท่านอ๋อง ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ มีแต่ผู้คนมาประจบ แต่กลับต้องมาเสียหน้าเพราะพระชายาของตน ความรู้สึกในใจนั้นราวกับมีลมพายุโถมเข้าใส่ พัดพาเขาลอยขึ้น จากนั้นก็ทิ้งร่างเขาลง จนร่างเขาแหลกสลาย ถึงจะดับไฟโกรธในใจของเขาได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเริ่มขยับตัว เดินหน้าไป หวังจะผลักประตูด้านหน้าออก จากนั้นพังเข้าไปสั่งสอนพระชายาของเขาเสียหน่อย
หลิงหลงและสาวใช้อีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู รับรู้ได้ถึงแรงโกรธของท่านอ๋อง กลัวเสียจนขาสั่น ใจเต้นรัว ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะใช้ขานเรียกพระชายา
ขณะเดียวกันกับที่ไฟโกรธของอ๋องฉีกำลังปะทุ กำลังจะผลักประตูออกไปนั้น เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ดังขึ้นมา น่าแปลก ท่าทางของท่านอ๋องฉีหยุดชะงักลง ยืนอยู่ที่หน้าประตูในท่าที่มือจับประตูเอาไว้ ไฟโกรธได้มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสียงอันอ่อนโยนราวกับสายน้ำของพระชายาดังขึ้น “โอ๋ๆ แก้วตาดวงใจของย่า ไม่ร้องนะลูกนะ ย่าเห็นแล้วสงสารหนูเหลือเกิน”
เสียงร้องของทารกดังขึ้นกว่าเดิม
อ๋องฉียืนอยู่น่าประตู ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กตัวน้อยคนนี้กำลังร้องไห้ให้ตนอยู่ ริมฝีปากจึงได้ฉีกรอยยิ้มออกมา พูดพึมพัมด้วยความพึงพอใจว่า “เจ้าตัวน้อยนี่ช่างใส่ใจคนเก่งเสียจริง รู้จักเห็นใจปู่ตั้งแต่ยังตัวเท่านี้”
บัดนี้เขาลืมไปแล้วว่าตนเองเคยผิดหวังเพราะพวกเด็กๆ เกิดมาเป็นผู้หญิง จนเสียสติไปหลายวัน
หากพระชายาได้ยินคำนี้จากปากของเขา คงจะถอดโขนของผู้ดีผู้สูงศักดิ์ แล้วมาเยาะเย้ยเขาให้สมใจ
บัดนี้ไฟโกรธในใจของอ๋องฉีได้มลายหายไปแล้ว บรรยากาศกดดันคนรอบตัวก็หายไปด้วย บ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้อยู่ในจวนก็ค่อยๆ วางใจลง ขณะเดียวกันก็เช็ดเหงื่อบนหัวตนออกด้วย ในที่สุดก็ไม่ต้องกลัวจะถูกเอาไปขายแล้ว
เสียงร้องงอแงของทารกน้อยเงียบลงแล้ว ดูทีแม่นมคงจะป้อนนมอยู่ หากตนเข้าไปตอนนี้ก็คงไม่เหมาะสม อ๋องฉีคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงได้หันหลังเดินออกไป
เห็นแม่นมป้อนนมหลานตัวน้อย กล่อมพวกเขานอนหลับแล้ว พระชายาจึงได้คิดถึงอ๋องฉีที่อยู่ด้านนอกประตูขึ้นมา เมื่อมองไปด้านนอกไม่เห็นผู้ใด จึงเข้าใจว่าเขารับท่าทางของนางไม่ได้ จึงได้กลับไปแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจเขา
อ๋องฉีกลับมาที่ห้องหนังสือ นั่งลงบนเก้าอี้ หลับตาลง ในหัวเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งรู้สึกว่าไพเราะยิ่งนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะรีบไปพบหน้าพวกเขา ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงมากเสียจนอ๋องฉีผุดลุกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “รีบไปเรียกพ่อบ้านมาเร็ว”
เมื่อพ่อบ้านได้รับคำสั่งดังนั้น ก็รีบวิ่งเข้ามา คารวะด้วยความนอบน้อม “ท่านอ๋อง เรียกพบข้าน้อยมีอะไรหรือขอรับ”
“หาทางให้พระชายาออกจากเรือนของตัวเองสักครึ่งชั่วยาม หากทำไม่ได้ เจ้าก็ออกจากตำแหน่งพ่อบ้านไปเสีย” อ๋องฉีสั่งอย่างเด็ดขาด
พ่อบ้านตกใจยิ่งนัก ตั้งแต่ท่านอ๋องฉีย้ายเข้ามาในจวนอ๋อง เขาก็ทำหน้าที่พ่อบ้านมาตลอด แล้วบัดนี้เกิดเรื่องใดขึ้น เขาพิจารณาในใจ แต่ก็ไม่รีรอ รีบตอบรับทันที จากนั้นก็รีบออกไปหาทางออก
“เจ้าตามไปด้วย หากพระชายาออกมาแล้ว รีบมารายงานข้า” อ๋องฉีรับสั่งกับอากาศ
ในอากาศมีเสียงตอบรับขึ้นมา จากนั้นก็มีเงาของคนตามหลังพ่อบ้านไป
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปผ่านไป ก็ได้กลับมารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาออกไปแล้วขอรับ”
อ๋องฉีรีบเดินออกจากห้องหนังสือไป ตรงไปยังเรือนพระชายาด้วยฝีเท้า เร่งรีบ
เมื่อเห็นว่าเขากลับมาอีกครั้ง บ่าวรับใช้ในจวนต่างตกใจกันหมด มองมาทางเขาพร้อมกัน
อ๋องฉีไม่สนใจ เดินตรงเข้าไปด้านใน ตรงไปยังห้องเด็กอ่อนทันที
แม่นมทั้งสองนั่งเฝ้าเด็กน้อยอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีเดินเข้ามา จึงได้ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็คุกเข่าทำความเคารพ “หม่อมชั้นคารวะท่านอ๋อง”
สายตาของอ๋องฉีจับจ้องไปยังเด็กน้อยทั้งสอง ไม่ชายตามองแม่นมเลยแม้แต่น้อย โบกมือ สั่งว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด”
แม่นมทั้งสองมองตากัน มองเห็นแววตาเกรงกลัวของกันและกัน เพราะตั้งแต่พวกนางเข้ามาในจวนอ๋อง ก็ยังไม่เคยเห็นอ๋องฉี ในใจของพวกนางพอจะเดาได้ว่าท่านอ๋องไม่ค่อยชอบใจเด็กน้อยทั้งสองเท่าใด แต่บัดนี้เข้ามาในช่วงที่พระชายาไม่อยู่ ทั้งยังไล่นางทั้งสองออกไป หรือว่า…ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดก็ยิ่งตกใจ จนเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก
แม่นมผู้หนึ่งพูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านอ๋อง นี่…” นี่อะไร นางยังคิดไม่ออก จึงไม่ได้พูดออกมา ร้อนใจจนปากสั่นไปหมด
แม่นมอีกคนฉลาดกว่า รีบเปิดปากพูดว่า “เด็กน้อยหิวแล้วเจ้าค่ะ พวกหม่อมชั้นกำลังจะป้อนนมพอดี”
คิดว่านี่คงจะเป็นข้ออ้างที่ดีพอแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อครู่อ๋องฉียืนอยู่หน้าประตู รู้ดีว่าเด็กๆ กินนมไปแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น จึงหันมา มองทั้งสอง ราวกับว่าต้องการฉีกทั้งสองออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไรอย่างนั้น “ไสหัวออกไป อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีก”
อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตอีกแล้ว แม่นมทั้งสองไม่สนใจอะไรอีก รีบตะเกียกตะกายวิ่งออกไป
เมื่อบ่าวรับใช้ในจนเห็นท่าทีของแม่นมเป็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีด
ในห้อง
คงเพราะว่ากินอิ่มแล้ว ทารกทั้งสองนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงน้อยๆ มิได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย
อ๋องฉีย่างเท้าช้าๆ ไปยังเด็กน้อยทั้งสอง มองลงมายังเด็กน้อย มองพวกนางด้วยความแปลกใจ ในใจมีความรู้สึกประหลาดใจปะทุเข้ามา ความรู้สึกนี้ช่างอบอุ่น และอิ่มเอมในใจ เอ่อล้นนักแต่ก็ทำให้ไม่อยากปฏิเสธ
เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง มองเด็กน้อยทั้งสองไม่ละสายตา พิจารณาหน้าตาของเด็กน้อยทั้งสอง ปากนิด จมูกหน่อย ตาน้อยๆ ช่างไร้ที่ติ ไม่มีที่ใดที่ไม่งดงามเลย
มือของเขายกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ลูบไปบนใบหน้าของเด็กน้อยคนหนึ่ง ทั้งนุ่มและนิ่มยิ่งนัก นุ่มลื่นเสียยิ่งกว่าใยไหมเสียอีก ดวงตาของอ๋องฉีราวกับว่ามีเพชรกำลังสะท้อนแสงอยู่
ครานั้นเมื่อตอนที่หวงฝู่อี้เซวียนคลอดออกมา ก็หายตัวไป เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นหน้าลูกสักครั้ง หลังจากนั้นหวงฝู่อี้ก็คลอดออกมา แต่เขากลับต้องช่วยงานฮ่องเต้ในวัง อาศัยอยู่ในวังไม่ได้กลับจวน เมื่อรู้ว่าพระชายารองเฮ่อคลอดลูกชายออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีใจ แต่ว่าทำได้เพียงแค่รีบกลับจวนมาดูเล็กน้อย จากนั้นก็ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ เป็นเช่นนี้อยู่หลายปี กว่าเรื่องในวังจะสงบลง ก็เพียงไม่กี่ปีให้หลังมาเท่านั้น หากพูดจริงๆ แล้ว เขาได้พลาดโอกาสเห็นลูกชายทั้งสองของตอนยังเล็กที่สุดไป เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่ม น่ารักเพียงใด
อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมาสัมผัสตัว หรืออาจเป็นเพราะนอนอิ่มแล้ว เด็กน้อยคนหนึ่งลืมตาขึ้นมา และยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
บัดนั้น ใจของอ๋องฉีละลายลงทันที เขามองดวงตาสดใสไร้เดียงสาของเด็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ข้าเป็นปู่ของเจ้า เร็วเรียกปู่สิ เรียกให้ปู่ได้ยิน”
เด็กน้อยตอบรับเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม
อ๋องฉีทนไม่ไหวแล้ว เขาโน้มตัวลง หวังจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาเล่น แต่เมื่อสัมผัสร่างนุ่มๆ ของเด็กน้อยนั้น เขาก็เก็บมือลง รู้สึกใจหายขึ้นมา เขามองมือหยาบหนาของตน จากนั้นก็มองเด็กน้อยที่ตัวโตเท่าแขนของตนเท่านั้น มือที่ยื่นออกไปก็หดกลับมา พวกนางตัวเล็กเกินไป เขาไม่กล้า
อ๋องฉีจึงได้แต่ยืนมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยความรู้สึกอยากอุ้มแต่ก็ไม่กล้า ปู่หลานมองตากันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่ง ด้านนอกมีเสียงกล่าวโทษของพระชายาดังเข้ามา “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วเด็กๆ เล่า”
“ท่าน…ท่านอ๋องอยู่…อยู่ด้านในเจ้าค่ะ” เมื่อคิดถึงอารมณ์ตอนที่อ๋องฉีจะดึงทึ้งพวกนางนั้น แม่นมตอบกลับอย่างไรสติ
พระชายาตกใจมาก รีบก้าวเท้าเดินไปด้านใน
อ๋องฉีเองก็นึกขึ้นได้ จึงได้รีบลุกขึ้น จากนั้นสายตาเย่อหยิ่งสูงส่งก็กลับมาดังเดิม เอามือไพล่หลังไว้ ยืนอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
พระชายาเดินเข้ามาในห้อง เห็นภาพตรงหน้าทั้งหมด ขณะนั้นทั้งโกรธและเอ็นดู จากนั้นก็เดินเข้ามาอย่างใจเย็น ไม่ลืมที่จะเย้ยอ๋องฉี “ท่านอ๋อง เด็กน้อยยังไม่รู้ประสาอะไร ท่านทำท่าทางเช่นนี้ให้ใครดูหรือ”
อ๋องฉีหันไปมองนาง จากนั้นก็หันมามองเด็กน้อย กล่าวด้วยสายตาเย็นชา “เด็กน้อยยังเล็กอยู่ ควรจะมีคนดูแลใกล้ชิด นับแต่บัดนี้ไป ข้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่กับเจ้า”
ต่อให้เป็นเมื่อตอนที่ทั้งสองยังรักกันหวานชื่นนั้น อ๋องฉีก็มิเคยพูดเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่จะมาค้างคืนที่เรือนของนางเป็นครั้งคราวเท่านั้น บัดนี้กลับอ้างว่าเป็นเพราะเด็กน้อยต้องการคนดูแล ต้องการย้ายเข้ามาอยู่ด้วย จะไม่ให้พระชายาตกใจได้อย่างไร
แต่อ๋องฉีกลับไม่ไม่รู้ตัวว่าตนพูดอะไรออกมา หันหลังมามองเด็กน้อยทั้งสองอย่างใจเย็น จากนั้นก็เดินออกจากเรือนไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พระชายากำลังตกใจอยู่ จึงไม่ได้มีความเห็นใด หากนางสังเกตดีๆ จะพบว่ามือที่อ๋องฉีแอบไว้ด้านหลังนั้น กำลังสั่นอยู่
เมื่อพูดจบ อ๋องฉีก็จากไป
แต่พระชายากลับอยู่ไม่สงบ ขวมดคิ้วคิดทบทวน อ๋องฉีไปโดนลมอะไรมา จึงได้คิดว่าจะมาดูแลเด็กๆ เขามิชอบหลานสาวมิใช่หรือ