ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 358 ยินดีปรีดา
อดทนมานานหลายเดือน ตั้งตารอจนวันนี้ มีหรือหวงฝู่อี้เซวียนจะปล่อยนางไปโดยง่าย
วันนี้ทั้งวัน เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกไปไหน เมิ่งซื่อและพระชายาเป็นกังวลใจ จึงได้มาหาด้วยตัวเอง ถูกโจวอันดักไว้ด้านนอก “ซื่อจื่อเฟยกำลังพักผ่อนขอรับ ซื่อจื่อไม่อนุญาตให้ใครรบกวนขอรับ”
ทั้งสองผงะไป ไม่ได้คิดไปไกลอื่น ตอนที่โยวเอ๋อร์คลอดลูกทรมานไม่น้อย ร่างกายอ่อนแอกว่าคนอื่น พักผ่อนอีกสักสองสามวันก็คงไม่เป็นไร จากนั้นก็หันหลังกลับมายังเรือนของพระชายาด้วยกัน
เมื่อถึงอีกวัน ก็ยังคงไม่ออกจากเรือน
แต่ไม่มีใครมาถามไถ่อีกแล้ว
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับร้อนใจ ฝืนดึงผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองออก ไม่ให้หวงฝู่อี้เซวียนได้ใจ “ไม่ได้เห็นหน้าลูกหลายวันแล้ว ข้าคิดถึงพวกนาง”
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางด้วยความเคือง พูดว่า “เจ้าเคยบอกแล้ว ว่าจากนี้จะอยู่กับข้าเท่านั้น จะไม่อยู่กับพวกนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป นางพูดเช่นนี้จริงตอนฟื้นขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่า…คิดถึงตรงนี้ นางตกใจมาก หวงฝู่อี้เซวียนอาศัยช่วงที่นางเผลอ ทำตามใจอีกครั้ง
รวมแล้วสามวันเต็ม ที่ไม่ได้ออกจากเรือน เมิ่งซื่อร้อนใจแล้ว ตามประเพณี หลังจากอยู่ไฟเสร็จแล้ว ลูกต้องกลับบ้านแม่ไปอยู่ไฟต่อ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ยอมออกจากเรือน แต่นางก็จนปัญญาจะพูดกับนาง
ที่จริงแล้วหากเป็นสถานการณ์ดังหลายวันก่อน เมิ่งซื่อเองก็ไม่ร้อนใจที่จะพาเมิ่งเชี่ยนโยวและลูกๆ กลับบ้าน ในจวนอ๋องมีคนมาก ดูแลเป็นอย่างดี นางเองก็อยู่ที่นี่จนชินเสียแล้ว นางยินดีที่จะมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ราวกับว่าท่านอ๋องฉีเป็นบ้าไปแล้ว วันทั้งวันเอาแต่เฝ้าอยู่ในห้องเด็กอ่อน กระทั่งตอนเด็กๆ หลับเขาก็ยังเฝ้าอยู่ข้างๆ พระชายายังดี สามารถไปมาหาสู่ได้ แต่นางทำเช่นนั้นไม่ได้ มองเห็นเด็กๆ อยู่ตรงหน้าแท้ แต่อุ้มไม่ได้ นางร้อนใจเหลือเกิน หลังจากที่ทนมาแล้วสามวันแล้ว ในที่สุด นางทนต่อไปไม่ไหวเสียแล้ว อาศัยช่วงที่พระชายาไปแย่งอุ้มเด็กกับอ๋องฉีนั้น รีบเดินไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ถามโจวอันว่า “โยวเอ๋อร์ดีขึ้นบ้างหรือไม่”
โจวอันไม่รู้จะตอบเช่นไร ขณะที่กำลังกระวนกระวายนั้น เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังออกมาจากด้านในว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
สามวันแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว จึงได้ปล่อยนางออกมา ยอมให้นางเรียกเมิ่งซื่อเข้ามาในเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงนอนหมดแรงอยู่บนเตียง เมิ่งซื่อตกใจ ถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ายังไม่สบายที่ใดอีกหรือ ให้แม่เรียกหมอหลวงมาหรือไม่”
ถูกรังแกมาหลายวันเช่นนี้ ไม่สบายไปทั้งตัว เมิ่งเชี่ยนโยวบ่นในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา ยิ้มพร้อมพูดว่า “ร่างกายข้ามิเป็นไรแล้วเจ้าค่ะ แต่อี้เซวียนเป็นกังวล จึงได้ให้ข้าพักผ่อนอีกสองสามวัน”
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมิ่งซื่อวางใจลง ถามอย่างรีบร้อนว่า “พวกเราจะกลับบ้านแม่ไปอยู่ไฟเมื่อไรกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป แต่ก็นึกถึงธรรมเนียมนี้ขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “ท่านแม่อยากกลับเมื่อใดก็เมื่อนั้นเจ้าค่ะ”
เมิ่งซื่อดีใจมาก “ดีเลย วันนี้ดึกแล้ว วันพรุ่งรอแดดร่มลมตกแล้วแม่จะให้พี่รองของเจ้าเอารถม้ามารับพวกเจ้ากลับบ้าน เจ้าเตรียมของใช้เอาไว้ให้พร้อม กลับไปอยู่บ้านสักพัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับปาก
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด
วันพรุ่งเด็กทั้งสองก็เป็นของนางผู้เดียวแล้ว เมิ่งซื่อดีใจเสียจนยิ้มไม่หุบ เดินจากไปด้วยความยินดี
ในที่สุด ตกดึกก็สามารถนอนได้อย่างสงบเสียที เมิ่งเชี่ยนโยวนอนหลับสบายจนถึงฟ้าสาง หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ก็เก็บของที่จะนำไปด้วย และมายังเรือนของพระชายาพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน มาพบกับลูกสาวของตน
เห็นนางปลอดภัยดี พระชายาวางใจไปไม่น้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่างไรเสียเจ้าก็เจ็บตัวไม่น้อย จะต้องพักผ่อนดูแลตัวเองอย่างดี เรื่องเด็กๆ เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย แม่รับรองว่าจะดูแลเป็นอย่างดี”
เด็กทั้งสองนอนหลับสนิทอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากปลุกพวกนาง จึงยืนมองนิ่งๆ อยู่ข้างเตียง ยิ้มพร้อมพูดว่า “เสด็จแม่ เดือนนี้ท่านดูแลเด็กๆ คงจะเหนื่อยแย่แล้ว วันนี้พี่รองของข้าจะมารับข้าและท่านแม่กลับบ้านไปพักสักช่วงหนึ่ง ท่านเองก็จะได้พักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ”
“แม่ไม่เหนื่อยหรอก แม่ไม่เหนื่อย เด็กสองคนนี้…” พระชายาพูดถึงตรงนี้ จึงได้นึกขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไรออกมา นางเบิกตาโต พูดเสียงดังว่า “เจ้าจะพาลูกๆ กลับบ้านแม่เจ้าหรือ”
อ๋องฉีที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งขมวดคิ้วลง หันมามอง พูดอย่างไม่พอใจว่า “เสียงเบาหน่อย เดี๋ยวเด็กๆ ตกใจ”
พระชายารู้ตัวว่าตนเสียงดังกว่าปกติ แต่นางอดไม่ได้ จึงจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยวไปด้านนอก ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าจึงจะต้องกลับบ้าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา “เสด็จแม่ นี่เป็นธรรมเนียมนะเจ้าคะ ลูกสาวทุกบ้านต่างก็ต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”
พระชายานึกขึ้นได้ทันที เมื่อก่อนตอนตนคลอดลูกเสร็จ แม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะหายตัวไป แต่ก็ยังคงถูกรับตัวกลับไปอยู่ที่จวนแม่ทัพ จึงได้หัวเราะออกมา พูดว่า “ดูความจำของแม่สิ ใช่จริงด้วยต้องกลับบ้านแม่ไปพักบ้าง เอาอย่างนี้ ให้อี้เซวียนไปเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนเด็กๆ เอาไว้ที่นี่เดี๋ยวแม่ดูแลให้เอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงะไป ไม่พาลูกกลับบ้านไปด้วย นางไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดเคยทำเช่นนี้มาก่อน
แต่พระชายากลับไม่สนใจ อย่างไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่สามารถให้นมลูกเองได้ ลูกจะอยู่กับนางหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เมื่อพูดจบ ก็ย่างเท้าเดินไปยังห้องเด็กอ่อน เมิ่งเชี่ยนโยวดึงนางไว้ “เสด็จแม่ ข้าว่าอย่างนี้ไม่สมควรนะเจ้าคะ ไม่เอาลูกไปด้วย แล้วข้าจะกลับบ้านได้อย่างไร ที่บ้านข้ามีคนรออยู่นะเจ้าคะ”
พระชายาหยุดฝีเท้าลง รู้สึกได้ว่าประโยคนี้แปลกไป หันมา จ้องเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกนางจ้องจนขนลุก ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เสด็จแม่ ข้าพูดอะไรผิดหรือเจ้าคะ”
พระชายาพยักหน้า “เจ้าพูดผิดแล้ว ไม่เอาลูกไปก็กลับบ้านได้ อีกอย่าง เจ้าจะอยู่กี่วันก็ตามแต่ใจเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปอีกครั้ง ฟังน้ำเสียงดูแล้ว พระชายาดูไม่มีท่าทีจะให้นางพาลูกไปจริงๆ
เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอึ้งไปอีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนจึงได้ยิ้มพร้อมส่ายหน้า เดินมาช่วยพูดอีกแรง “เสด็จแม่ หากโยวเอ๋อร์ไม่พาลูกๆ ไปด้วย คนภายนอกจะมองได้ว่านางคลอดลูกสาว ทำให้ท่านและเสด็จพ่อไม่ชอบใจ จึงถูกไล่ออกจากจวนไปนะขอรับ”
“หากใครกล้าพูดเช่นนี้ แม่จะส่งคนไปฉีกปากมันทิ้งเสีย” อยู่กับเมิ่งซื่อนานเสียแล้ว พระชายาติดคำพูดหยาบคายของชาวบ้านมา บัดนี้นางพูดออกมาได้โดยไม่ลังเล
ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “เสด็จแม่ คำคนน่ากลัวนัก หากข่าวลือแพร่ไปแล้ว ยากที่จะหยุดรั้งได้ ท่านจะฉีกปากของคนทั้งเมืองหลวงเลยหรือ”
พระชายาอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก
น้ำเสียงอ่อนโยนของหวงฝูอี้เซวียนพูดว่า “เสด็จแม่ขอรับ นี่เป็นธรรมเนียม พวกเราต้องทำตาม จะได้ไม่ถูกคนเขานินทาเอาได้และจะได้ไม่หาเรื่องเดือนร้อนให้จวนอ๋อง ท่านวางใจเถิด พวกเรากลับไปอยู่ที่หนานเฉิงไม่นานก็กลับมาแล้วขอรับ”
เมื่อคิดได้ว่ามีผู้คนมากมายคอยจับผิดจวนอ๋องอยู่ พระชายาก็ถอนใจออกมา ไม่ได้พูดอะไร
ท่านอ๋องฉีมองนางเล็กน้อย ในใจพึมพำด้วยความไม่พอใจ ตอนเถียงเขานั้นนางปากเก่งเหลือเกิน เหตุใดเมื่อพูดกับลูกชายแล้วนั้นจึงได้พูดไม่ออกเล่า อย่างนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังหลอกล่อนางอยู่
เมื่อไม่พอใจ สีหน้าก็ไม่สู้ดี แต่เขาก็ไม่อาจออกหน้าห้ามปรามได้ ลุกยืนขึ้นด้วยความโกรธ ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ สะบัดแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินจากไป
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนเข้าใจดี จึงได้แต่แอบยิ้มอยู่ผู้เดียว
เมิ่งฉีควบรถม้ามายังหน้าประตูจวนพร้อมด้วยเมิ่งซื่ออย่างตรงเวลา
แม่นมสองคนอุ้มเด็กๆ เดินเข้ามา พระชายาอยู่ด้านหลังอย่างอาลัยอาวรณ์ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเองก็เดินตามมาด้านหลัง เดินมายังหน้าประตู
ท่านอ๋องสีหน้าหม่นหมอง ยืนมองจากที่ไกลๆ อย่างไม่พอใจ แผ่เอาบรรยากาศแบบไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ไปโดยรอบ ทำให้คนในจวนกลัวจนต้องหลบหนีห่างเขา เดินอ้อมไปอีกด้าน
แต่เมิ่งซื่อกลับดีใจเสียแทบแย่ ไม่ได้สนใจกระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยว นางเดินตรงไปเปิดผ้าม่านรถ จากนั้นก็ให้แม่นมทั้งสองขึ้นรถเสียก่อน จากนั้นจึงได้พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “รถม้านี้คับแคบ ไม่พอพวกเจ้านั่งหรอก พวกเจ้านั่งรถม้าของจวนไปเถิด”
ขณะที่มองดูรถม้าที่เหลือที่พอให้คนนั่งได้อีกสิบชีวิต เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่านางกำลังถูกทิ้งแล้ว หากมิใช่เพราะตนเป็นแม่ของเด็กๆ น่ากลัวว่าประโยคครู่นี้เมิ่งซื่อก็คงคร้านจะพูดกับนาง และคงให้เมิ่งฉีควบรถม้าออกไปเลย
หลังจากที่ทำความเคารพพระชายาเรียบร้อยแล้ว เมิ่งฉีก็ควบรถม้ากลับไป
พระชายายืนอยู่ที่หน้าประตู ราวกับว่าดวงใจถูกขโมยไปชิ้นหนึ่งอย่างนั้น เจ็บปวดเหลือเกิน อดไม่ได้ที่จะวิ่งไปแย่งเด็กๆ กลับมา
ในรถม้า เด็กๆ นอนหลับสบาย เมิ่งซื่อมองคนนั้นที คนนี้ที มีความสุขเหลือเกิน
รถม้าที่เมิ่งฉีควบค่อนข้างช้า ช้าเสียยิ่งกว่าคนเดินถนน เพราะว่าแม่ที่ทะนุถนอมพวกเขาแต่เล็กกำลังข่มขู่เขาอยู่ว่า “หากเจ้ากล้าควบม้าเร็ว กระทบถึงเด็กสองคนนี้ล่ะก็ กลับไปข้าจะไล่เจ้าออกจากบ้าน”
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนถูกไล่ออกจากบ้าน กลายเป็นคนไร้บ้าน เมิ่งฉีจึงได้ควบรถม้าอย่างช้าและระวัง จนทำเมิ่งเชี่ยนโยวบนรถม้าที่ตามหลังมาร้อนใจ เปิดม่านออกจะโกนถามว่า “พี่รอง ช้าอยู่ใยกัน หากช้าเช่นนี้ค่ำมืดเราก็ไม่ถึงบ้านหรอกเจ้าค่ะ”
จวนอ๋องห่างจากหนานเฉิงหากควบม้าเร็วก็เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่หากตามความเร็วของเมิ่งฉีแล้วล่ะก็ ฟ้ามืดแล้วก็คงยังกลับไม่ถึงบ้าน
เมิ่งฉีร้อนใจยิ่งกว่านางเสียอีก ไม่เพียงร้อนใจเท่านั้น แต่ยังเหนื่อยมากอีกด้วย รถม้าควบให้เร็วไม่ยาก แต่ควบให้ช้านั้นเหนื่อยทั้งคนและเหนื่อยทั้งม้า
หากเป็นแต่ก่อน เมิ่งซื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ จะต้องให้เมิ่งฉีควบม้าให้เร็วขึ้นเป็นแน่ แต่วันนี้ราวกับนางไม่ได้ยินคำนางอย่างไรอย่างนั้น ไม่สนใจแม้แต่น้อย ยิ้มและมองเด็กๆ เช่นเดิม
เมื่อแม่ของตนไม่พูดอะไร เมิ่งฉีก็ไม่กล้าเพิ่มความเร็ว รถม้ายังคงช้าดังเดิม
คนบนถนนต่างมองมายังรถม้าสองคันนี้อย่างประหลาดใจ ถึงขนาดมีคนชี้นิ้วชี้ไม้มาหา
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวแล้ว จึงได้สั่งโจวอันว่า “เจ้าไปเปลี่ยนตำแหน่งกับคุณชายรอง”
โจวอันตอบรับ มอบเชือกในมือให้หวงฝู่อี้ จากนั้นจึงวิ่งไปหาเมิ่งฉี “คุณชายขอรับ ให้ข้าควบแทนเถิด”
เมิ่งฉีรีบส่งมอบเชือกให้เขาและสะบัดแขนด้วยความเมื่อยหล้า โล่งใจ ตนไม่ได้ควบรถม้าแล้ว หากวิ่งเร็วไป แม่ก็คงไม่ไล่เขาออกจากบ้านใช่ไหม
เมิ่งซื่อรู้สึกได้ว่าความเร็วของรถม้าเพิ่มขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป เปิดม่านออก กำลังจะเตรียมเอ็ดตะคอกเมิ่งฉี แต่เมื่อเห็นว่าคนควบม้าเป็นโจวอัน จึงได้กลืนคำพูดลงไป ถลึงตาใส่เมิ่งฉีเล็กน้อย และกลับมานั่งในรถม้าดังเดิม
เมิ่งฉีแทบจะร้องไห้ออกมา นั่นแม่แท้ๆ ของเขาเชียวนะ แล้วสายตาน่ากลัวเมื่อครู่คืออะไรกัน
รถม้าใกล้ถึงหนานเฉิงแล้ว หวังเยียนพาเซิ่งเอ๋อร์มารอที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นรถม้าแล่นมาก็ยิ้มต้อนรับ แต่ต้อนรับเมิ่งซื่อและเด็กๆ ไม่ได้สนใจเมิ่งเชี่ยนโยว
“ท่านแม่ แล้วเด็กๆ เล่า เอามาให้ข้าอุ้มที”
“ยังไม่ตื่นเลย ให้แม่นมอุ้มไปก่อนเถิด พวกเรารีบเข้าบ้านกันก่อน แดดแรง เดี๋ยวเด็กจะถูกแดดเผาเอา”
หวังเยียนตอบรับ พาเซิ่งเอ๋อร์และเมิ่งซื่อพร้อมทั้งแม่นมเข้าบ้าน
มองแสงอาทิตย์อ่อนๆ บนหัว และมองกลุ่มคนที่เดินเข้าบ้านไป เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง เดินไปหาหวงฝู่อี้เซวียนพร้อมพูดว่า “ครานี้ข้ากลายเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงจริงๆ เสียแล้ว”