ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 369 โวยวายไร้สาระ
ฝีเท้าของหวงฝู่อวี้หยุดลง สีหน้าแปลกไป แล้วมองไปที่หงเอ๋อร์
หงเอ๋อร์ตื่นกลัวจนก้มหน้าลง
“ออกไป!” หวงฝู่อวี้ตะเบ็งเสียงใส่
หงเอ๋อร์ตัวสั่นไปทั้งตัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า แล้วหันหลังเดินออกไป
หวงฝู่อวี้เดินหน้าไปหนึ่งก้าว อยากที่จะโอบกอดหลินหันเยียนไว้ในอ้อมอกแล้วอธิบายให้นางฟังอย่างช้าๆ
หลินหันเยียนถอยหลังออกไป หลบท่าทางที่จะเข้ามาของเขา แล้วถามว่า “ท่านบอกข้ามาสิ ว่าท่านรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว”
มือที่หวงฝู่อวี้ยื่นออกมาจับลมเปล่า จึงบีบมือ แล้วเก็บมือกลับไป แล้วตอบอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อน วันนั้น… …”
“เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า” หลินหันเยียนถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น แล้วพูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “เหตุใดท่านจึงไม่บอกข้า เพราะเหตุใดกัน!”
หวงฝู่อวี้อยากจะอธิบาย “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าก่อน…”
“ข้าไม่ฟัง! ข้าไม่ฟัง!” หลินหันเยียนอุดหูของตน แล้วถอยหลังร้องไห้กลับไป พูดออกมาไม่เป็นภาษา “ข้าคิดมาตลอดว่าท่านพี่อวี้เป็นคนที่ดีกับข้าที่สุดในโลก จะรักข้า และดูแลข้าเป็นอย่างดี และจะบอกข้าทุกเรื่อง ข้าผิดเอง แต่ท่าน! ท่านไม่ใช่!”
“เยียนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ก้าวขึ้นมา แล้วรีบอธิบาย “เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด หลายวันมานี้ข้าอยากจะบอกเจ้า แต่ข้าไม่รู้จะบอกเจ้าอย่างไร ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
หึๆ! หลินหันเยียนหัวเราะแกมร้องไห้ออกมา ในน้ำเสียงมีความโกรธแค้นซ่อนอยู่ “กลัวว่าข้าจะรับไม่ได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นงั้นรึ ตอนที่พี่กับพี่ชายแสนดีวางแผนจะขังพ่อของข้า เหตุใดจึงไม่คิดถึงว่าข้าจะรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้กันล่ะ ตอนนี้มาเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วตะคอกใส่ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะ ข้าไปวางแผนกันพี่ใหญ่ของข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าก็เพิ่งรู้ตอนที่กลับไปจวนหลินกับเจ้าเมื่อวันก่อนเช่นกัน”
หลินหันเยียนมองจ้องไปที่เขาด้วยความโกรธ ในดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาแทบจะทะลักออกมาเป็นไฟ เดินก้าวไปข้างหน้า แล้วหยุดตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ มองจ้องไปที่ดวงตาของเขา แล้วบีบเค้นถามว่า “ท่านคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ ในสายตาของท่าน พี่ใหญ่ของท่าน พี่สะใภ้ใหญ่ของท่านนั้นสำคัญที่สุดอยู่แล้ว ขนาดข้ายังต้องหลบให้ เขาทำ ‘เรื่องที่ดี’ แบบนี้จะไม่บอกท่านงั้นหรือ”
“เจ้า…” หวงฝู่อวี้โกรธเป็นอย่างมาก นิ่งอยู่นานจนพูดออกมาว่า “เจ้าช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย!”
หลินหันเยียนหัวเราะออกมา น้ำตาไหลริน “นี่น่ะหรือคำพูดในใจของท่าน ช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่ท่านคอยจะยืดงานแต่งงานไปเรื่อยๆ แท้จริงแล้วในใจของท่านไม่ยินยอมตั้งนานแล้วล่ะสิ”
หวงฝู่อวี้ก็โกรธขึ้นมาเช่นกัน ก็ตะคอกออกมาว่า “ถ้าหากว่าข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้า แล้วยังจะกลับจวนตระกูลหลินไปหารือเรื่องงานแต่งงานของเรางั้นรึ! เจ้าอย่าตีโพยตีพายไปก่อนได้หรือไม่”
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านจะส่งข้ากลับจวนตระกูลหลินต่างหาก ให้ข้าโดนกุมตัวขังไว้กับท่านพ่อท่านแม่ของข้า!” หลินหันเยียนตะคอกเถียงใส่
“ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นเลย ข้าเพียงต้องการแค่ได้แต่งงานกับเจ้าก็เท่านั้น”
“อย่ามาหลอกข้าให้ดีใจหน่อยเลย ข้าจะบอกให้ ข้าไม่เชื่อ!”
หวงฝู่อวี้โกรธจนสะบัดแขนเสื้อ นั่งลงบนเก้าอี้ “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า!”
เมื่อเห็นเขาไม่ได้มาปลอบตนเอง ความโกรธของหลินหันเยียนก็ทวีขึ้นอีก หัวร้อนจนเอาแก้วชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาปาลงพื้น “หวงฝู่อวี้ เจ้าอย่าเกินไปหน่อยเลย!”
เสียง เพล้ง! ดังขึ้น แก้วชากระจายลงที่พื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ หงเอ๋อร์ตกใจจนตัวสั่น แล้วมองเข้าไปที่ด้านในด้วยความตื่นกลัว แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป
บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลอยู่ด้านในต่างก็มองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง ทุกคนต่างก็วางสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ลง แล้วถอยออกไป
คนที่พ่อบ้านส่งให้มาตรวจสอบดูก็ได้ยินเสียงที่ดังขึ้น จึงเหลือไว้หนึ่งคน ส่วนอีกหนึ่งคนก็รีบวิ่งไปรายงาน
ฮูหยินหลินที่กำลังหลับอยู่ก็ได้ยินเสียงนี้จนสะดุ้งตื่นขึ้น จึงลุกขึ้นนั่ง แล้วเกิดอาการเวียนศีรษะ จึงลงนอนลงไปอีกครั้ง พักอยู่ครู่ใหญ่ จึงจะลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ที่นอกประตูก็ได้ยินความเคลื่อนไหว จึงเดินเข้ามา ย่อเข่าคำนับ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านตื่นแล้วหรือ มีรับสั่งหรือไม่เจ้าคะ”
“เสียงเมื่อครู่นี้มันอะไรกัน” ฮูหยินหลินถามแล้วใช้มือจับไปที่หัวของตน
“ดูเหมือนว่าคุณหนูหลินกับคุณชายรองจะทะเลาะกันเจ้าค่ะ ไม่ทราบเลยว่าใครเป็นคนทำของแตก” สาวใช้รายงานตามความจริง
ฮูหยินหลินชะงักไป แล้วรีบสั่งว่า “เร็วเข้า รีบพยุงข้าไปดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ตอบรับ แล้วพยุงฮูหยินหลินเดินออกไปด้านนอก
ฮูหยินหลินเดินไป ก็ก่นด่าไปในใจว่า ช่างไม่รู้อะไรเลยเสียจริงๆ เมื่อช่วงนั้นเอ็นดูนางเกินไปจริงๆ จึงตามใจนางจนเป็นคนไม่มีสมองเช่นนี้ จวนก็กลับไม่ได้ ทุกวันนี้ที่พึ่งพาได้ก็เหลือแค่หวงฝู่อวี้นี่แหละ นางไม่เพียงแต่ไม่เอาใจแล้วยังหาเรื่องทะเลาะอีก ถ้าหากว่าไปยั่วโมโหเขามากๆ ในจวนแห่งนี้ก็จะไม่เหลือที่ให้พวกเราแม่ลูกได้อยู่ต่ออีกเป็นแน่
คิดเช่นนี้ ก็เดินมาถึงที่เรือนของหวงฝู่อวี้ ยังไม่ทันได้เข้าไป หวงฝู่อวี้ก็เดินออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นฮูหยินหลินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเข้าใจได้ว่านางรู้เรื่องหลินฉงเหวินโดนกักตัวได้อย่างไร
หวงฝู่อวี้ข่มความโกรธเอาไว้ แล้วคำนับฮูหยินหลิน “ท่านแม่ยายมาตั้งแต่เมื่อใดขอรับ”
ฮูหยินหลินยังไม่ทันตอบกลับ หลินหันเยียนก็รีบเดินมาที่ประตู เปิดม่านออกแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกัน ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกว่าแม่ยาย”
ฮูหยินหลินอยากเอามีดมาแล้วผ่าสมองของหลินหันเยียนออกมาดู ว่าข้างในนั้นมีแต่แป้งเปียกหรืออย่างไร เวลานี้ที่หวงฝู่อวี้เรียกแม่ยาย เป็นเพราะว่าเขาเห็นว่าหลินหันเยียนเป็นภรรยาของตนแล้ว ยัยโง่เอ้ย ยังจะกล้าพูดเช่นนี้อีก คิดได้เช่นนี้แล้วก็ข่มความคิดของตนเอาไว้ แล้วยิ้มเจื่อนพูดว่า “คุณชายรอง เยียนเอ๋อร์ถูกตามใจจนเสียนิสัย ไม่ว่าเรื่องอะไร ท่านก็อย่าถือสาไปเลย”
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้ ก็เห็นอยู่ว่าเขา…” หลินหันเยียนพูดด้วยความโกรธ
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินหลินตะคอกใส่นาง
หลินหันเยียนชะงักไป
ฮูหยินหลินมองไปที่หวงฝู่อวี้แล้วยิ้มให้ “คุณชายรอง ท่าน…”
“เยียนเอ๋อร์กำลังโกรธ ท่านแม่ยายพูดกับนางหน่อยเถิด ข้าจะออกไปก่อน”
“ได้ๆ” ฮูหยินหลินพยักหน้า แล้วพูดว่า “คุณชายรองวางใจเถิด ข้าจะสั่งสอนนางอย่างแน่นอน”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า แล้วเดินออกไปจากจวนอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินหลินชักมือออกจากมือของสาวใช้ แล้วสั่งว่า “เจ้าก็ออกไปก่อน ถ้าไม่มีคำสั่งห้ามเข้ามา”
สาวใช้อยากให้เป็นเช่นนี้ใจจะขาด ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบรับ แล้วเดินออกไป
ฮูหยินหลินก็ส่งสายตาให้กับหงเอ๋อร์ หงเอ๋อร์รับทราบ จึงไปยืนที่นอกเรือน คอยกันไม่ให้คนมาเข้าใกล้เรือนเพื่อแอบฟัง
ฮูหยินหลินเดินเข้าไปด้านในเรือน
หลินหันเยียนหลบทางให้ รอนางเดินเข้าไปก่อน แล้วเรียก “ท่านแม่” ด้วยเสียงที่เศร้าสลดน่าสงสาร
ฮูหยินหลินหยุดเดิน หันหลังกลับ ง้างมือ แล้วประทับลงไปบนหน้าของหลินหันเยียน “นังเด็กโง่!”
หลินหันเยียนงุนงง จนลืมร้องไห้ไปเสียสิ้น ชะงักมองไปที่ฮูหยินหลิน ไม่เชื่อสายตาว่านางจะตบตนอีก เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ฮูหยินหลินไม่เคยทำร้ายนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว
“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินหลินตะคอกใส่อย่างไม่สนท่าทีตอบสนองของนางทั้งสิ้น
หลินหันเยียนก็คุกเข่าลงโดยทันที
ฮูหยินหลินใช้นิ้วจิ้มขยี้ไปที่หัวของนางแล้วพูดว่า “นังเด็กโง่ ใครใช้ให้เจ้าไปทะเลาะกับคุณชายรอง”
“ท่านแม่” หลินหันเยียนถึงได้สติกลับมา แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สับสนว่า “เขากับหวงฝู่อี้เซวียนบังคับพี่ใหญ่ของข้าให้กักตัวท่านพ่อกับท่านเอาไว้ ข้าไม่ควรทะเลาะกับเขาหรือ”
“เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูจวนราชเลขาอยู่อย่างนั้นหรือ ถึงได้ใช้อารมณ์ทำตัวคุณหนูที่นี่” ฮูหยินหลินจิ้มลงไปแรงกว่าเดิม แล้วด่าทอว่า “พ่อของเจ้าโดนกักตัวอยู่ในจวน ส่วนพี่ใหญ่ของเจ้าก็เป็นแค่หัวหน้าเล็กๆ ที่กรมทหารเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเจ้าไม่คิดเสียตัวให้กับคุณชายรอง ฐานะของเจ้าตอนนี้ขนาดคุณสมบัติความเป็นเมียของเขายังไม่มี เจ้ายังกล้าจะหาเรื่อง อยากโดนไล่ออกจากจวนหรืออย่างไร”
หลินหันเยียนชะงักไป ตาทั้งสองได้แต่จ้องมองเขม็ง นางไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย นางแค่รู้สึกว่า นางกับหวงฝู่อวี้เป็นกิ่งทองใบหยก รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีปัญหาพวกนี้อยู่เลย ขอเพียงแค่นางยินยอม หวงฝู่อวี้จะรักนางแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไร ฮูหยินหลินก็ยิ่งโกรธ ตอกย้ำตนเองว่า เมื่อหลายปีนั้นไม่ควรคิดว่านางจะแต่งเข้าจวนอ๋องแล้วได้เป็นซื่อจื่อเฟยเลย คิดแต่ให้นางใช้ความน่ารักสดใสเย้ายวนใจไปทำดีกับซู่อิง เลยไม่ได้สอนสั่งนาง ห่างเหินกันไป จึงทำให้นางทำเรื่องโง่ๆ อย่างนี้ขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว ฮูหยินหลินนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนแรง ขนาดแรงจะพูดยังไม่มี
หลินหันเยียนกำลังครุ่งคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป จึงไม่ได้พูดอะไร
ในห้องเงียบสงัด
หงเอ๋อร์เห็นว่าในห้องนั้นเงียบสงัด รู้สึกหัวใจจึงเต้นแรง จึงชะเง้อเข้ามาดูภายในห้องเป็นระยะ
หวงฝู่อวี้เดินออกมาจากเรือนด้วยความโกรธ มุ่งหน้าไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรวดเร็ว เพิ่งเดินได้ครึ่งทาง จึงรู้สึกว่าตนเองอารมณ์ไม่ดี จึงเดินช้าลง แล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ หลายเฮือก แล้วเดินไปจวนอย่างช้าๆ
ฟ้ามืดลง ในเรือนมีแสงไฟส่องสว่างจนเห็นเงาของทั้งสองคน
ชิงหลวนกับจูหลีมีคนรักก็คือเหวินซงและกัวเฟยมารับไปแล้ว ในจวนมีก็แต่หวงฝู่อี้และโจวอันเป็นคนดูแล เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้เดินเข้ามา แล้วได้แต่มองเข้าไปที่ด้านในโดยไม่พูดอะไร จึงเกิดความสงสัย
หวงฝู่อี้เดินมาตรงหน้าเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “คุณชายรองขอรับ ท่านมีเรื่องอันใดงั้นรึ”
หวงฝู่อวี้ได้สติ แล้วถามว่า “พี่ใหญ่กลับมาแล้วงั้นรึ”
“ซื่อจื่อเพิ่งจะกลับมาขอรับ”
หวงฝู่อวี้ อืม เบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตะโกนเข้าไปว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
มีเงาหนึ่งมองออกมาทางด้านนอก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า “เข้ามาเถอะ ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี”
หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปด้านใน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่สองฝั่งซ้ายขวา
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” หวงฝู่อวี้เรียก
“ข้าได้ยินว่าเจ้ากับคุณหนูหลินทะเลาะกันงั้นรึ เป็นเพราะเจ้าไม่ได้บอกนางเรื่องที่หลินฉงเหวินโดนกักตัวใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วถาม
หวงฝู่อวี้อิดโรย แล้วถอยหายใจหนึ่งเฮือก นั่งลงบนเก้าอี้ พยักหน้า
“ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นแล้วว่าคุณชายรองของเราโตขึ้นมากแล้ว” เห็นท่าทางอิดโรยของเขาแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มเยาะ
“พี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ ท่านเลิกล้อข้าได้แล้ว ตอนนี้ข้าผิดหวังจะตายอยู่แล้ว ถ้าหากรู้ว่าเรื่องมันจะบานปลายเช่นนี้ วันที่รู้วันแรกก็บอกนางไปแล้ว มัวแต่คิดอยู่ตั้งนาน สุดท้ายนางก็เข้าใจผิดอยู่ดี” หวงฝู่อวี้กลับมาโกรธอีกครั้ง แล้วบ่นออกมา
“สมควร!” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
หวงฝู่อวี้อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าเถียง
“แล้วนี่เจ้าออกมา แล้วทิ้งให้คุณหนูหลินอยู่ในจวนคนเดียวงั้นรึ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า “แม่ของนางก็อยู่ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วถามว่า “เหตุใดนางถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น เสียงร้องโวยวายลั่นจวนอ๋องจนใครๆ เขาก็ได้ยิน”
หวงฝู่อวี้ตอบอย่างไม่ได้คิดว่า “นั่นเป็นเพราะนางคิดว่าข้ากับพี่ใหญ่…” ดูเหมือนว่าประโยคหลังจะคิดได้พอดีจึงไม่ได้พูดออกไป แล้วเปลี่ยนเป็น “ก็เป็นเพราะโทษว่าข้าไม่ได้บอกนางแหละ”
“นางคงสงสัยว่าเรื่องที่กักตัวตัวหลินฉงเหวินเอาไว้ เป็นเรื่องที่เจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าร่วมมือกันล่ะสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงยิ้มอยู่
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร
“คุณหนูหลินไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น น่าจะเป็นฮูหยินหลินเป็นคนบอกนางเป็นแน่ นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของเจ้า จริงๆ แล้วข้าไม่อยากยุ่ง แต่นางดันก่อเรื่องเสียจนอยู่กันดีๆ ไม่ได้ คนๆ นี้ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้หลินหันเยียนจะมีนิสัยลูกคุณหนู แต่ก็ไม่ได้หาเรื่องแบบไร้เหตุผลเช่นนั้น ถ้าหากว่าฮูหยินหลินไม่ได้คาดเดาแล้วพูดซี้ซั้วกับนาง วันนี้นางคงไม่มาร้องไห้โวยวายเช่นนี้
เห็นว่าหวงฝู่อวี้เงียบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียก “โจวอัน!”
โจวอันตอบรับ แล้วเดินเข้ามา “นายหญิงขอรับ”
“เจ้าไปที่จวนหลินบอกกับหลินจ้งว่าฮูหยินหลินอยู่ที่จวนของพวกเรา บอกให้เขามารับกลับไปโดยเร็ว”
โจวอันตอบรับ หันหลังแล้วเดินออกไป
ฮูหยินหลินสั่งสอนนางอยู่นานสองนาน นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ วันนี้เยียนเอ๋อร์ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คนในจวนควรจะต้องรู้กันทั่ว แต่ไม่มีใครมาดูเลยสักคน ก็แสดงว่าซู่อิงและนังเมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะสนใจเรื่องของครอบครัวพวกนาง นั่นไม่ได้สิ ไม่ง่ายเลยที่นางจะเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องได้ จะต้องไม่สูญเปล่าเช่นนี้ ดังนั้นจึงลุกขึ้น แล้วสั่งหลินหันเยียนว่า “เจ้าลุกขึ้น ไปกับข้า ไปหาแม่สามีของเจ้า”