ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 389 ตบไปหนึ่งฉาด
หวงฝู่อวี้ไม่รับ ยืนมองจดหมายที่อยู่ในมือของหงเอ๋อร์อย่างเฉยชา
หงเอ๋อร์ได้แต่ถอนหายใจในใจ ตอนที่คุณหนูมอบจดหมายให้กับนางก็บอกนางไว้ว่าคุณชายรองไม่ยอมรับจดหมายนี้ง่ายๆ แน่ แล้วสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ยังดีที่คุณหนูยังบอกกับอีกเรื่องกับนาง เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงก้มหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ “คุณชายรองเจ้าคะ คุณหนูบอกว่า นางไปชายแดนครั้งนี้ จะไม่กลับมาอีกเลยตลอดชีวิต ขอคุณชายรองอย่าได้คิดถึงนางอีกเลย”
เท่านี้ก็ชัดเจนแล้ว เนื้อความในจดหมายต้องไม่ใช่ข้อความบอกให้ไปรับนางกลับมาอย่างแน่นอน
หวงฝู่อวี้ถอนหายใจ นิ่งขรึม แต่มือที่รับจดหมายเข้ามาใส่ในแขนเสื้อนั้นสั่นไหวเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในเรือนโดยไม่หันกลับไปมองอีก
หงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก หันหลัง แล้วเดินไปหาผู้ชายที่อยู่อีกมุมหนึ่ง คุณหนูหลินไม่เพียงแต่ให้สัญญาซื้อตัวของนางกับซุนเต๋อมาเท่านั้น ยังให้เงินพวกนางอีกหนึ่งร้อยตำลึง แล้วยังให้พวกนางเข้าพักในบ้านที่คุณชายรองซื้อไว้ให้คุณหนูเป็นการชั่วคราวอีกด้วย
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปหาใคร ตรงดิ่งกลับมาที่เรือนของตนเองทันที หยิบจดหมายจากชายเสื้อออกมา วางไว้บนโต๊ะ เม้มปากจ้องจดหมายฉบับนั้น ราวกับต้องการจะมองเห็นเนื้อความด้านในผ่านซองกระดาษบางๆ นั่น
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ชัดเจน
เวลาผ่านไป หวงฝู่อวี้ถึงได้หยิบจดหมายขึ้นมา เปิดออก ลายมือที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า
‘ถึงพี่อวี้:
เมื่อพี่ได้เห็นจดหมายฉบับนี้ ข้าก็คงอยู่ที่ชายแดนอันแสนไกลนั่นแล้ว ข้ารู้ว่าพี่เกลียดข้า โทษข้า โกรธข้า ไม่อยากพบหน้าข้าอีก แม้จดหมายของข้าก็ไม่อยากเห็น ข้าจะทำตามที่พี่ต้องการ ข้าจะหายไปนับแต่นี้ ไม่กลับไปที่เมืองหลวงอีกตลอดชีวิต แต่ว่า พี่อวี้เจ้าคะ ในใจข้าไม่เคยลืมพี่เลย ก่อนหน้านี้ที่ข้าทำไปเป็นเพราะข้ารักพี่จากใจจริง รักเสียจนอยากเป็นภรรยาของพี่ ใช้ชีวิตร่วมกับพี่ไปตลอดชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด พวกเราถึงได้มาพบจุดจบเช่นนี้ ข้าไม่โทษพี่อวี้เลยเจ้าค่ะ ข้าเพียงโกรธตัวเองที่ทำให้พี่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจไปกับข้า ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าได้ทำสิ่งหนึ่งเพื่อพี่ ชดเชยความผิดที่ข้าเคยทำไว้ นั่นก็คือสั่งให้หงเอ๋อร์นำเรื่องพี่กับคุณหนูเจียงไปแพร่ คาดว่าตอนนี้คงลือกันไปทั่วเมืองหลวงแล้วเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นก็ดียิ่งนัก พี่อวี้จงถือโอกาสนี้ไปสู่ขอนางแต่งงาน ตัดขาดจากข้าเสีย ข้างกายพี่จะได้มีคนดูแล ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ นับแต่นี้ต่อไป ขอให้พี่อวี้มีแต่ความสุขนะเจ้าคะ’
เนื้อความในจดหมายมีเท่านี้ ส่วนด้านล่างมีก็แต่คราบน้ำตาเป็นทางยาว
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมา ลูบลงไปที่คราบน้ำตาเหล่านั้นอย่างช้าๆ ในดวงตาของเขาก็มีหยดน้ำตาไหลลงมาทับคราบน้ำตาเหล่านั้น จนเปียกชุ่มไปทั่วทั้งจดหมาย ข้อความในนั้นก็เลือนราง
คืนนี้ แสงไฟในเรือนของหวงฝู่อวี้ส่องสว่างทั้งคืน เฮ่ออีก็ได้แต่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกด้วยความเป็นห่วง
ยามเช้า หวงฝู่อวี้ก็สั่งให้เฮ่ออีไปเตรียมน้ำ หลังจากที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ ก็มาที่เรือนของพระชายาฉี “เสด็จแม่ ข้าคิดดีแล้วขอรับ ข้าจะแต่งงานกับคุณหนูเจียง”
พระชายาฉีไม่ได้สังเกตว่าเขาผิดปกติ ดีใจเป็นที่สุด “วันนี้แม่จะส่งคนไปสู่ขอให้ลูก”
หวงฝู่อวี้ขอบพระคุณ หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ ก็ออกจวนไปดูแลกิจการ
พระชายาฉีให้คนไปเชิญแม่สื่อมา แล้วให้ค่าจ้างนางมากกว่าปกติ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางต้องจัดการเรื่องงานแต่งมาให้ได้
เรื่องของหวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างคิดว่าพวกเขานั้นชอบพอกัน การแต่งงานแบบนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ค่าจ้างแม่สื่อกลับได้เยอะมากอย่างไม่คาดคิด แม่สื่อดีใจเป็นอย่างมาก จึงพูดรับประกันกับพระชายาฉีเอาไว้อย่างดิบดี แล้วนั่งรถม้าของจวนอ๋องมุ่งหน้าสู่จวนเจียงด้วยความปลื้มปีติ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็ร้อนรนกลับมาบอกว่า “พระชายาเจ้าคะ ประตูใหญ่ของจวนเจียงปิดสนิทเลยเจ้าค่ะ ข้างบ้านบอกว่าตระกูลเจียงออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิดไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเรียกให้คนไปตามพ่อบ้านมา สั่งเขาว่า “รีบไปตามคุณชายรองมา บอกว่าหมอหลวงเจียงออกเดินทางกลับบ้านเกิดไปแล้ว บอกให้เขาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตามให้ทัน แล้วห้ามพวกเขาเอาไว้ให้ได้”
พ่อบ้านตอบรับ ขึ้นรถม้าของจวนไปตามหาเขาด้วยตนเอง
ยังดีที่ก่อนหวงฝู่อวี้จะไป บอกไว้แล้วว่าวันนี้จะออกนอกเมือง คืนนี้ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร พ่อบ้านไม่เสียเวลา มุ่งไปที่กระโจมนอกเมืองก็เจอเขาทันที แล้วเอาคำพูดของพระชายาฉีบอกแก่เขา
หวงฝู่อวี้ฟังจบ ก็ไม่มากความ สั่งให้เฮ่ออีลงจากรถม้า แล้วควบม้าตามไปทันที
เฮ่ออีเห็นเช่นนั้น ก็ฉุดตัวพ่อบ้านลง ขึ้นหลังม้าอีกตัว แล้วควบตามไปทันที
มองดูรถม้าที่ไม่มีม้า พ่อบ้านถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน จำใจเดินกลับจวนไป
ทุกคนในตระกูลเจียงล้วนนั่งรถม้า คนเยอะ จึงเดินทางได้ล่าช้า พวกเขาออกเดินทางได้สองชั่วยามแล้ว แต่กลับโดนหวงฝู่อวี้ที่เดินทางแค่หนึ่งชั่วยามไล่ตามได้ทัน
เมื่อเห็นม้าสองตัว ตัวหนึ่งดักหน้า ตัวหนึ่งดักหลัง คนรถของจวนเจียงนั้นไม่รู้จักหวงฝู่อวี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหยุดรถม้าลง
หมอหลวงเจียงที่กำลังนอนพักสายตาอยู่บนรถม้า รู้สึกได้ว่ารถม้าหยุด จึงลืมตาขึ้น แล้วตะโกนถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“นายท่าน มีคนสองคนมาขวางรถม้าเอาไว้ขอรับ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาดีนะขอรับ” คนรถตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ทันใดนั้นหมอหลวงเจียงก็เปิดม่านออกไปดู เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นหวงฝู่อวี้ที่กำลังเคร่งขรึมอยู่ ก็ตกใจ ตนเองนั้นก็หลบจนจะไม่ใช่หมออยู่แล้ว หลบจนจะเป็นเต่าหัวหดอยู่แล้ว ก็ยังหลบไม่พ้น คุณชายรองตามมาคิดบัญชีได้ถึงที่นี่
หมอหลวงเจียงลงจากรถม้ามาอย่างกล้าๆ เกร็งๆ เดินไปหาหวงฝู่อวี้ โค้งตัวคำนับ “ขอคารวะคุณชายรอง”
“นี่หมอหลวงเจียงกำลังจะไปที่ใด” หวงฝู่อวี้ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งที่รู้แต่ก็ยังจะถาม
หน้าผากของหมอหลวงเจียงมีเหงื่อซึม ยังคงโค้งตัวคำนับแล้วตอบกลับไปว่า “คุณชายรองขอรับ ข้าได้เกษียณตัวเอง กำลังจะกลับบ้านเกิดแล้ว วันนี้ออกเดินทาง”
“อ่อ” หวงฝู่อวี้ลงจากม้า เดินไปถามหมอหลวงเจียงว่า “ตอนนี้ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แต่หมอหลวงเจียงกลับพาลูกหลานกลับบ้านเกิด อยากให้คนเข้าใจผิดว่าโดนจวนอ๋องบีบบังคับอย่างนั้นหรือ”
หมอหลวงเจียงก็โค้งตัวต่ำลงไปอีก ต่ำเสียจนศีรษะจะถึงเอวอยู่แล้ว ตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน “มิบังอาจ ข้าเกรงว่ามันจะทำให้คุณชายรองต้องเดือดร้อน จึงได้พาลูกหลานกลับบ้านเกิดอย่างเร็วที่สุด”
“กลัวว่าจะทำให้ข้าต้องเดือดร้อนงั้นรึ” หวงฝู่อวี้ถามกลับ
หมอหลวงเจียงพยักหน้า
“งั้นเจ้าว่ามาสิ ว่าทำให้ข้าเดือดร้อนอย่างไร”
“เอ่อ… …”
หมอหลวงเจียงตอบมาได้
“เจียงจิ่นล่ะ ให้นางออกมาพบข้า” หวงฝู่อวี้ไม่สนใจเขา แล้วออกคำสั่งทันที
หมอหลวงเจียงตกใจเป็นอย่างมาก จึงอ้อนวอน “คุณชายรองขอรับ ไม่ได้เด็ดขาด หลานสาวของข้าแม้ไม่ได้เป็นผู้สูงส่ง แต่ก็จะออกมาพบหน้ากับชายแปลกหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ ขอคุณชายรองโปรดอภัยด้วย”
“หึ” หวงฝู่อวี้ถามต่อ “แล้วตอนที่นางกอดคอของข้าตอนนั้น เหตุใดท่านจึงไม่พูดเช่นนี้ มันทำให้เกียรติของข้าต้องป่นปี้ เจ้าว่าใครควรรับผิดชอบ”
หน้าผากของหมอหลวงเจียงมีเหงื่อไหลออกมายิ่งกว่าเดิม ยังไม่ทันได้พูดอะไร ม่านของรถม้าคันหนึ่งก็เปิดขึ้น เจียงจิ่นกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วเดินมาที่ตรงหน้าหวงฝู่อวี้ ยกมือขึ้น แล้วตบลงไปที่หน้าของหวงฝู่อวี้ดัง เพียะ!
หวงฝู่อวี้หน้าสั่น
หมอหลวงเจียงแทบจะล้มทั้งยืน
คนบนรถต่างก็ตกใจจนแทบจะหล่นลงมาจากรถม้า เหงื่อไหลท่วมตัว จบสิ้นแล้วๆ จิ่นเอ๋อร์เป็นบ้าไปแล้ว กล้าตบคุณชายรอง อย่าหวังเลยว่าตระกูลเจียงของพวกเขาจะมีจุดจบที่สวยงาม
ตบไปหนึ่งฉาด เสียงอันไพเราะของจิ่นเอ๋อร์ก็ดังขึ้น “คุณชายรอง ตอนนั้นข้าตกใจ ไม่ได้มีเจตนาทำเช่นนั้นเลยสักนิด ท่านปู่ของข้าลาออกจากตำแหน่งก็เพราะเรื่องนี้ ท่านยังกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่”
หวงฝู่อวี้ได้สติ ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของเขานั้นทำให้คนที่ดูอยู่นั้นมองเห็นภาพเจียงจิ่นโดนฉีกหน้าออกเป็นเสี่ยงๆ
แม่ของเจียงจิ่นทนไม่ไหว เลยเป็นลมหงายหลังสลบไปในรถม้า
หมอหลวงเจียงรีบเข้าไปยืนบังเจียงจิ่นเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณชายรองขอรับ หลานสาวของข้า…”
หวงฝู่อวี้ดึงเขาออกไป แล้วประชิดตัวมองหน้าเจียงจิ่น
เจียงจิ่นมองกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
หวงฝู่อวี้ก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง โค้งตัวลง แล้วอุ้มเจียงจิ่นขึ้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน เขาอุ้มเจียงจิ่นไปที่ม้าของตน หลังจากนั้นตนเองก็กระโดดขึ้นไป แล้วพูดกับตระกูลเจียงที่กำลังอ้ำอึ้งอยู่ว่า “วันนี้ตอนเย็น เสด็จแม่ของข้าจะส่งคนไปที่จวนเจียงเพื่อสู่ขอนาง ทางที่ดีพวกเจ้าควรมีคนคอยต้อนรับอยู่ที่จวน มิเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าทั้งตระกูลเจอดีแน่”
พูดจบ ก็กอดเจียงจิ่นไว้แน่น หันหัวม้าแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหลวง
หมอหลวงเจียงล้มลงนั่งกับพื้น
ส่วนคนที่เหลือก็มองหน้ากันไปมา ครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา
เจียงเยี่ยนรีบลงจากรถม้า พยุงหมอหลวงเจียง แล้วพูดด้วยความดีอกดีใจ “ท่านพ่อ พวกเรายังต้องไปอีกหรือไม่”
“ไปกับผีน่ะสิ!” หมอหลวงเจียงผู้ที่คลุกคลีอยู่กับการแพทย์มาตลอดชีวิต ไม่เคยมีอารมณ์โกรธเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาก็ระเบิดออกมาว่า “เจ้าดูท่าทีของคุณชายรองสิ เห็นชัดว่ามาเพื่อชิงตัวไป พวกเราไม่ต้องกังวลว่าจะผิดใจกับจวนอ๋องอีกต่อไป แล้วจะต้องหนีไปไหนล่ะ กลับ กลับจวนให้หมด”
เฮ! ทั้งตระกูลเจียงก็ร้องเฮกันออกมา เสียงดังกึกก้องไปไกลเลยทีเดียว
ส่วนเจียงจิ่นที่โดนลมกระแทกหน้าจนเจ็บ ถึงได้เข้าใจว่า เมื่อครู่นี้หวงฝู่อวี้พูดว่าอะไร ในขณะที่กำลังเขินอยู่นั้น ก็เริ่มดิ้น “เจ้าปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ถ้าใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวก็มีข่าวลือใหม่ออกมาอีกหรอก”
หวงฝู่อวี้ผู้อบอุ่น พูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวอะไรเล่า ผู้คนในเมืองต่างก็มัดเจ้ากับข้าไว้ด้วยกันอยู่แล้วมิใช่รึ จะมีอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป”
เจียงจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรอีก แต่อย่างไรเสียก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ดี จึงก้มหน้าลง
หวงฝู่อวี้ก็ยื่นมือออกมากอดนางเอาไว้
ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขาแล้ว ก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เขาช่วยนางเอาไว้ ใจของเจียงจิ่นก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ขี่ม้ากลับมาถึงจวนอ๋อง
หวงฝู่อวี้ลงจากม้าก่อน แล้วก็รับเจียงจิ่นที่สีหน้าซีดเซียวลงมา
เมื่อเท้าถึงพื้น เจียงจิ่นถึงได้รู้สึกปลอดภัย หลังจากที่ยืนนิ่งแล้ว ก็เห็นว่านี่คือประตูจวนอ๋องฉี จากหน้าซีดเซียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที ขอร้องอ้อนวอนเบาๆ ว่า “คุณชายรองเจ้าคะ ท่านส่งข้ากลับไปที่จวนเถิด ไว้วันหลังข้ากับท่านแม่จะมาเยี่ยมเยียนพระชายาฉีเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น ในเมื่อมาถึงหน้าประตูแล้วก็เข้าไปพบเสด็จแม่กับข้าก่อน เจ้าเป็นถึงคนที่ท่านแม่ของข้าถูกใจที่สุดเชียวนะ”
คำพูดของเขา ทำให้สีหน้าของเจียงจิ่นกลับกลายเป็นซีดเซียวอีกครั้ง ยืนตรง เก็บท่าทางไม่พอใจเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณชายรอง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ พ่อแม่ต้องเป็นคนจัดการนั้นข้าไม่เถียง แต่ว่าข้าไม่หวังให้คุณชายรองรับข้าเป็นภรรยาเพราะพระชายาชอบข้ากับข่าวลือในเมืองหลวงนั่นหรอกนะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านจะไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอย่างที่หวังไว้ได้ ดังนั้น คุณชายรอง เรื่องไปสู่ขอแต่งงานก็ขอให้ท่านไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนเถิด”
พูดจบ ก็หันหลังเดินกลับทันที
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็โซซัดโซเซ สุดท้ายก็ถูกหวงฝู่อวี้อุ้มขึ้นพาดไว้บนบ่า “ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจเข้าไป ข้าก็จะช่วยเจ้าเอง ข้าเชื่อว่าเสด็จแม่จะต้องชอบที่เห็นเช่นนี้”
เจียงจิ่นทำอะไรไม่ถูก อีกนิดก็จะร้องตะโกนออกมาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าดิ้นขัดขืน ได้เพียงขอร้องว่า “คุณชายรอง ปล่อยข้าลงเถิดเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ทำเป็นไม่ได้ยิน อุ้มนางเดินเข้าไปในจวนอย่างรวดเร็ว
บ่าวรับใช้ในจวนเมื่อเห็นหวงฝู่อวี้อุ้มเด็กสาวเข้ามา ต่างก็ตกใจ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบหัวเราะคิกคักด้วยเช่นกัน
เจียงจิ่นได้ยินเสียงหัวเราะก็หน้าแดงแจ๋ หลับตาปี๋ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่บนบ่าของหวงฝู่อวี้
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างของนางถึงพื้น ลืมตาขึ้น กลับพบว่านั่นไม่ใช่เรือนของพระชายาฉี แต่เป็นสถานที่ไม่คุ้นเคย ก็เกิดร้อนใจ เดินถอยห่างจากหวงฝู่อวี้ แล้วถามด้วยความร้อนรนว่า “คุณชายรอง ที่นี่ที่ไหน พระชายาล่ะ”
หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้าไปตรงหน้านาง จ้องตาของนางแล้วพูดว่า “อะไรกัน กลัวงั้นรึ ตอนที่ตบข้าตอนนั้นเหตุใดจึงไม่กลัวล่ะ”
มือของเจียงจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณชายรอง ข้า เมื่อกี้ข้า… …”
แล้วคนร่างใหญ่ก็โน้มตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งประกบลงที่ริมฝีปากเรียวเล็กของนาง
เจียงจิ่นเบิกตาโพลง สองมือที่อยู่ข้างกายก็ขยับไปมา