ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 40-2
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 40-2 สละตำแหน่งซื่อจื่อ
พอคิดมาถึงตรงนี้ ไทเฮาก็มีน้ำเสียงอ่อนลง ตรัสว่า “เมื่อสักครู่นี้แม่เพียงแต่โมโหเกินไป จนพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด เจ้าอย่าใส่ใจเลย เพียงแต่การแต่งงานของเซวียนเอ๋อร์ไม่อาจยกเลิกได้ ต่อไปเขาต้องเป็นเสาหลักของจวนอ๋อง หากเบื้องหลังไม่มีอำนาจที่เข้มแข็งคอยช่วยเหลือจะได้หรือ”
“ท่านแม่…” พระชายาอ๋องฉียังต่องการขอร้องอีก
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ขัดจังหวะนาง ท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อ “ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็รับปากพวกเจ้าได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ได้เด็ดขาด”
“เสด็จย่าเพียงเพราะว่าข้าเป็นผู้สืบทอดจวนอ๋องเท่านั้นหรือ ถึงต้องการให้ข้ายอมรับการแต่งงานนี้ให้ได้” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถาม
ไทเฮาพยักหน้า “ใช่ เจ้าเป็นชื่อจื่อ การดูแลจวนอ๋องเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเพียงแต่ต้องละทิ้งอัตตาของเจ้า แต่เจ้าวางใจได้ ย่าพูดได้ทำได้ ข้าจะเขียนพระราชเสาวนีย์แต่งตั้งให้หญิงบ้านป่าคนนั้นเป็นชายารอง”
หวงฝู่อี้เซวียนเผชิญหน้ากับไทเฮา กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลานก็จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”
ฮูหยินราชเลขาล้มกองลงไปกับพื้น
“เซวียนเอ๋อร์!” พระชายาอ๋องฉีกรีดร้องขึ้นอย่างเสียกิริยา
ไทเฮากระโดดลุกขึ้นยืน ถามขึ้นอย่างตกใจว่า “เจ้าว่าอะไร เจ้าลองว่ามาอีกครั้ง”
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งตัวตรง เอ่ยคำเดิมขึ้นมาทีละคำอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า “หลานบอกว่า จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”
“เผียะ” ดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง ไทเฮากริ้วจนไม่ได้สนใจฐานะ ตบหน้าเขาหนึ่งที “เจ้าว่ามาอีกครั้ง”
หวงฝู่อี้เซวียนถูกตบจนหน้าหัน ใบหน้าที่ขาวนวลเนียนปรากฏรอยนิ้วมือห้านิ้วขึ้นทันที
ภายในห้องเงียบสงัด
ฮูหยินราชเลขากับพระชายาอ๋องฉีหันไปมองไทเฮาอย่างไม่น่าเชื่อ
ไทเฮาเองก็มองมือของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ท่าทางและอารมณ์ของหวงฝู่อี้เซวียนไม่เปลี่ยนแปลง แล้วหันหน้ากลับมา กล่าวด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวขึ้นอีกครั้ง “หลานบอกว่า จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ”
พอเขาพูดจบพระชายาอ๋องฉีก็รีบเอาร่างมาขวางหน้าเขาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านแม่โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ เซวียนเอ๋อร์พูดไปด้วยความโมโห ขอท่านอย่ากล่าวโทษเขาเลย”
“ท่านแม่” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ข้างหลังของนางดังขึ้นมา “สิ่งที่ลูกพูดเป็นความจริง ถ้าหากคนที่เป็นผู้สืบทอดจวนอ๋องต้องแต่งงานกับคุณหนูหลิน ถ้าเช่นนั้นลูกก็จะลาออกจากตำแหน่งซื่อจื่อ ต่อไปจะได้โบยบินไปด้วยกันกับโยวเอ๋อร์อย่างอิสระ”
ไทเฮารู้สึกตัว กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “สตรีบ้านป่าคนนั้นเอายาเสน่ห์อันใดให้เจ้ากินกันแน่ ถึงทำให้เจ้าไม่เอาแม้แต่ตำแหน่งซื่อจื่อ”
“เสด็จย่ากล่าวผิดไปแล้ว แต่แรกโยวเอ๋อร์ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเราทั้งสอง จนถึงขั้นเอ่ยปากกับข้าว่าจะยกเลิกการแต่งงานในปีที่ข้ากลับมา เป็นหลานเองที่ออกอุบายทำลายชื่อเสียงของนาง หลานยังให้สัญญากับนางเองว่าจะแต่งงานกับนางเพียงผู้เดียว หลายปีมานี้นางถึงได้รับปากว่าจะรอหลาน”
“เจ้า…” ไทเฮาโกรธจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวต่อว่า “โยวเอ๋อร์เป็นคนที่หลานบังคับมาเอง ดังนั้นหลานจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจ ส่วนตำแหน่งซื่อจื่อนี้ก็มอบให้อวี้เอ๋อร์เถิด เขาเติบโตมาด้วยกันกับคุณหนูหลิน ทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นกันมา หากได้แต่งงานด้วยกัน พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปจนชั่วชีวิต”
ฮูหยินราชเลขาที่นั่งอยู่บนพื้นเหลือบมองไปทางไทเฮา
ไทเฮากล่าวด้วยความโมโหว่า “พูดจาเหลวไหลทั้งสิ้น ซื่อจื่อเป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง มีแต่ต้องมาจากลูกของชายาเอกมิใช่ลูกที่มาจากคนอื่น มิเช่นนั้นในตอนที่ยังตามหาเจ้ากลับมาไม่ได้หลายปีที่ผ่านมา เหตุใดพ่อของเจ้าถึงไม่ได้แต่งตั้งซื่อจื่อเล่า ถ้าหากให้อวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ จวนอ๋องฉีจะกลายเป็นเรื่องขบขันของคนทั่วหล้า”
ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะคิดคำแก้ต่างได้แล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นเสด็จย่าก็ให้เสด็จลุงฮ่องเต้มีพระราชโองการ ว่าข้าทำความผิดร้ายแรงจนถูกขับออกจากจวนอ๋อง ท่านพ่อจนปัญญาจึงต้องแต่งตั้งอวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อ”
“ดี ดี ดี” ไทเฮาฟังที่เขาพูดจนจบ โมโหจนพูดอย่างต่อเนื่อง “เจ้าทำเพื่อสตรีบ้านป่าคนหนึ่ง จนไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของตัวเอง ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าช่างสั่งสอนลูกได้ดีเหลือเกิน”
หวงฝู่อี้เซวียนแก้ต่าง “เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่รู้อะไรเลย ขอให้เสด็จย่าอย่ากล่าวโทษพวกท่านเลย”
ไทเฮาตอบรับ “ได้ ข้าจะไม่กล่าวโทษพวกเขา ข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าทราบไหมว่าถ้าหากแต่งตั้งเซวียนเอ๋อร์เป็นชื่อจื่อ ท่านแม่ของเข้าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง”
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากไม่เอ่ยอะไร
ไทเฮากล่าวต่ออีกว่า “ท่านแม่ของเจ้าต้องสูญเสียตำแหน่งพระชายาเอก หลังจากนั้นชีวิตในจวนของนางอาจจะต้องทุกข์ยากลำบากราวกับตกนรกทั้งเป็น หรือว่าแม้แต่เรื่องเหล่านี้เจ้าก็ไม่สนใจหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนนิ่งเงียบต่อไป
ไทเฮาคิดว่าพูดจาหว่านล้อมเขาได้แล้ว น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น กล่าวด้วยความจริงจังหนักแน่นว่า “ย่ารู้ดีว่าเจ้าเป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณคน ลืมบุญคุณที่ครอบครัวนั้นช่วยเหลือไม่ได้ ต้องการจะแต่งงานกับบุตรสาวเพื่อตอบแทนพวกเขา ย่าสัญญาว่าถึงแม้เด็กคนนั้นจะเป็นชายารอง แต่คุณหนูหลินก็จะไม่ทำให้นางต้องลำบากใจ พวกเจ้าสามารถอยู่ร่วมกันได้เช่นเดิม”
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับพระชายาอ๋องฉีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ ท่านยอมไปใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับลูกที่ชนบทไหม”
พระชายาอ๋องฉีตัวสั่นสะท้าน หันหน้าไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วถามด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “เซวียนเอ๋อร์ ความหมายของเจ้าคือ…”
หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดจังหวะนางขึ้นว่า “ถึงแม้ชีวิตในชนบทจะแร้นแค้นไปบ้าง แต่ชาวบ้านที่นั่นมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผู้คนมีน้ำใจไมตรี ถ้าหากท่านแม่ยอมตามลูกไปด้วย ลูกรับรองว่าจะทำให้ท่านใช้ชีวิตอยู่กับลูกหลานอย่างมีความสุข มีชีวิตสุขสบาย”
นี่คือการยอมรับนางอย่างแท้จริงแล้ว น้ำตาของพระชายาอ๋องฉีไหลพรากออกมาทันใด พยักหน้าหงึกหงัก พร่ำพูดไม่หยุดว่า “แม่ยอมจ้ะ แม่ยอม”
ไทเฮาไม่คาดคิดว่าพระชายาอ๋องฉีจะตัดสินใจเช่นนี้ รู้สึกราวกับว่าตัวเองโง่งม
หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับไทเฮาที่กำลังมองมาที่พวกเขาสองคนอม่ลูกอย่างเหม่อลอยอยู่ว่า “เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ยินยอมแล้ว จะใช้ชีวิตในชนบทกับข้า ขอให้ท่านบอกให้ท่านพ่อประกาศว่าท่านแม่ป่วยจนสิ้นชีวิตแล้วเถิด”
ไทเฮาพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
ฮูหยินราชเลขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะบานปลายกลายเป็นเช่นนี้ นางก็ตกตะลึงอยู่กับที่ คิดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนฉลาดรอบรู้ มีวรยุทธ์สูงส่ง เรียนรู้ได้เร็ว เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการสืบทอดจวนอ๋อง ส่วนหวงฝู่อวี้นั้นมีความประพฤติเช่นไร ไทเฮาก็ทราบดีอยู่แก่ใจ ถ้าหากแต่งตั้งเขาเป็นซื่อจื่อจริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่นานจวนอ๋องฉีก็จะเสื่อมโทรมลงไป ไม่เสียแรงที่เป็นไทเฮาผู้มีอำนาจในวังหลวงมานานหลายปี ที่ถึงแม้จะตกตะลึงแต่ไม่นานก็แยกแยะผลดีผลเสียได้ แสดงท่าทางจนปัญญาพร้อมกับถอดถอนหายใจ แล้วก็กลับขึ้นไปนั่งบนที่นั่งของตน แล้วกล่าวว่า”ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ย่าก็บังคับสิ่งใดไม่ได้อีก ส่วนพระราชเสาวนีย์การแต่งงานนี้ข้าเก็บคืนมาก่อน แต่ว่าเวลานี้พวกเจ้าก็ห้ามป่าวประกาศออกไปว่าจะยกเลิกการแต่งงาน จนไปทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของคุณหนูหลิน รอให้ข้าไตร่ตรองดูก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้ง”
หวงฝู่อี้เซวียนบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ
พระชายาอ๋องฉีเมื่อเห็นว่าเรื่องไปในทิศทางที่ดีก็รู้สึกยินดี เช็ดคราบน้ำตาออก แล้วโค้งศีรษะให้กับไทเฮา กล่าวว่า “ขอบพระทัยท่านแม่ที่ทำให้เซวียนเอ๋อร์สมปรารถนาเพคะ”
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ “อย่าเพิ่งขอบใจข้าก่อนเลย เรื่องนี้ข้าจำต้องปรึกษากับฮ่องเต่ก่อน ถึงจะตัดสินใจได้”
ฮูหยินราชเลขานั่งกองอยู่บนพื้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรต่อดี และก็ไม่ได้กล่าวโต้แย้งขึ้นมาสักคำ
ไทเฮากวาดตามองทั้งสามคนแวบหนึ่ง แล้วโบกพระหัตถ์ขึ้นทันที “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว จะพักผ่อนสักพัก”
พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนตอบรับแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
ไทเฮาเห็นฮูหยินราชเลขาที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับอยู่บนพื้น จึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็เห็นแล้ว มิใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า เซวียนเอ๋อร์เจ้าเด็กคนนี้ช่างดื้อดึงเหลือเกิน ถึงแม้ข้าจะฝืนมีพระราชเสาวนีย์ออกไปให้คุณหนูหลินแต่งงาน ชั่วชีวิตของนางก็จะไม่มีความสุขเป็นแน่ อย่างไรมองหาการแต่งงานที่ให้นางดีกว่า ให้นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป พวกเจ้าที่เป็นพ่อแม่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลทุกวัน”
ฮูหยินราชเลขาพยักหน้าอย่างไร้จิตวิญญาณ
ไทเฮารู้ว่านางยังไม่ได้สติจากการสะเทือนอารมณ์ จึงเรียกคนที่อยู่ข้างนอกมา “มีใครไหม”
กูกูผู้ดูแลเดินเข้ามา “เพคะไทเฮา”
ไทเฮาสั่งนางว่า “ประคองฮูหยินราชเลขาขึ้น แล้วส่งกลับจวน”
กูกูผู้ดูแลรับคำสั่ง แล้วพยุงฮูหยินราชเลขาขึ้นมาจากพื้น แล้วพานางเดินออกไปข้างนอก
ฮูหยินราชเลขาเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้แต่การทำความเคารพไทเฮายังลืม
ไทเฮาก็มิได้กล่าวโทษนาง หลังจากที่มองดูกูกูผู้ดูแลประคองนางเดินออกประตูไป ก็สั่งให้นางกำนัลที่อยู่หน้าประตูเข้ามาจัดเตียงไว้ให้ตน แล้วนอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
พระชายาอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกประตูไป มองเห็นเกี้ยวของจวนอ๋องฉีอยู่ไม่ไกล
ทั้งสองคนก็เดินตรงไปยังเกี้ยว
เดินไปไม่กี่ก้าวพระชายาอ๋องฉีก็รู้สึกว่าทางข้างหน้ามืดมิดลงไป ร่างกายอ่อนแรงแล้วล้มลงไปทันที
หวงฝู่อี้เซวียนร้องอย่างตื่นตระหนกว่า “ท่านแม่!”
—————————-