ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 43-2
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 43-2 พวกชอบหาเรื่องมาอีกแล้ว
พระชายาฉีแม้ภายนอกจะดูมีชีวิตชีวาและมีพละกำลังมากขึ้น แต่เนื่องจากนอนหลับมานานหลายวัน อาหารที่ตกถึงท้องก็มีเพียงของจำพวกน้ำแกงเพียงอย่างเดียว นางในตอนนี้จึงพยุงตัวไม่ค่อยจะไหวเท่าไร
เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นถึงความอ่อนล้าของนาง จึงพูดออกไปว่า “พระชายากลับไปนอนที่เตียงเถิดเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวสาวใช้ยกโจ๊กเข้ามา หลังจากท่านทานเสร็จแล้วก็นอนพักต่ออีกชั่วครู่ ประเดี๋ยวก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้นแล้ว”
พระชายาฉีรู้สึกอ่อนล้ามากจริงๆ แต่เดิมนางคิดว่านางซ่อนมันไว้อย่างดีแล้ว คิดไม่ถึงจะถูกเมิ่งเชี่ยนโยวมองออกในปราดเดียว ประกายความประหลาดใจผุดขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย กล่าวว่า “ฟังที่แม่นางเมิ่งว่า ข้าจะไปนอนพักที่เตียงเดี่ยวนี้ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป”
สาวใช้อีกคนเดินเข้ามาพยุงนางแล้วพาอีกฝ่ายไปที่เตียง
สาวใช้คนที่เหลือช่วยกันออกแรงยกอ่างอาบน้ำออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นว่าอ่างอาบน้ำถูกยกออกมาแล้ว เสียงถามของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ ข้าเข้าไปดูท่านแม่ได้หรือยัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปด้วยเสียงใส “เข้ามาเถอะ ในนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก้าวฉับๆ เข้าไปในห้องทันที
อ๋องฉีมองดูท่าทีรีบร้อนของเขาก็ให้ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าแล้วเดินตามเข้าไป
บรรดาหมอหลวงที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังตะโกนตามด้วยเสียงสั่นว่า “ท่าน ท่านอ๋อง”
ฝีเท้าของอ๋องฉีหยุดชะงัก เขาตวัดสายตากลับไปมองคนกลุ่มนั้นรอบหนึ่ง
หมอหลวงท่านนั้นที่เรียกหยุดเขาไว้หดคอกลับไปอย่างหวาดกลัว กระนั้นก็ยังคงหน้าหนาฝืนถามออกไปว่า “ไม่ทราบพวกข้าขอเข้าไปดูอาการของพระชายาด้วยได้ไหมขอรับ”
อ๋องฉีไม่ได้ตอบ แต่ประกายคมกริบในดวงตารุนแรงขึ้นอีกส่วน
หมอหลวงแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เหงื่อเย็นไหลชุ่มไปทั่วทั้งร่าง น้ำเสียงสั่นเทากล่าวต่อว่า “พวกข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น เพียงแค่อยากเห็นว่าอาการของพระชายายามนี้เป็นเช่นไรเท่านั้น”
“รอก่อน!” อ๋องฉีพูดออกมาเพียงแค่สองคำ จากนั้นก็สะบัดหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง
บรรดาหมอหลวงถอนหายใจพร้อมกันอย่างโล่งอก ปาดเหงื่อเม็ดเป้งที่ไหลออกมาจากหน้าผาก สายตาของหมอหลวงหลายคนมองตามแผ่นหลังอ๋องฉีเข้าไปในห้องอย่างรู้อยากเห็น
หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่ข้างเตียง เห็นว่าสีหน้าของมารดาตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อมีชีวิตชีวา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ความกังวลสุดท้ายในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยลง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและยินดีว่า “ท่านแม่ ท่านพื้นแล้ว”
พระชายาฉียิ้มและพยักหน้ารับ กล่าวว่า “แม่ไม่เป็นไร ทำให้เซวียนเอ๋อร์ต้องเป็นกังวลแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนครู่หนึ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เลย น้ำตาบางส่วนปรากฏขึ้นจากในดวงตาของเขา
พระชายาฉีเห็นเขามีท่าทางเช่นนี้ นางก็ชะงักไปชั่วขณะ กรอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำขึ้นตาม ดีจริงๆ ดียิ่งนัก ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ยอมรับนางแล้ว
อ๋องฉีเดินตามเข้ามาทีหลัง ทันทีที่เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงแล้วเห็นว่ากรอบตาของพระชายาฉีแดงก่ำ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนอีกแล้วเหรอ”
พระชายาฉีส่ายหน้า “ข้าน้อยสบายดีเจ้าค่ะ นี่เป็นเพราะข้าน้อยมีความสุขมาก”
ด้วยเพราะหวงฝู่อี้เซวียนหันหลังให้กับอ๋องฉี อ๋องฉีจึงไม่เห็นว่ายามนี้สีหน้าของเขาเป็นเช่นไร คิดว่าพระชายาฉีมีความสุขที่ตนเองได้ฟื้นขึ้นมา จึงได้พยักหน้าตามแล้วพูดออกไปว่า “ข้าเองก็มีความสุขที่ได้เห็นเจ้าฟื้นขึ้นมา”
พระชายาฉีรู้ว่าเขาคิดกันไปคนละเรื่องแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากเตือน เพียงแต่ตามน้ำไปว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่ทรงเป็นห่วง”
อ๋องฉีฟังออกถึงความสุขจากในน้ำเสียงของนาง ถ้อยคำที่เหมือนกับจะพาคนให้โบยบินขึ้นไปนี้ทำเอาใจเขาบังเกิดความสงสัยขึ้น จึงอดไม่ไหวมองนางซ้ำๆ ไปอีกหลายครั้ง
พระชายาฉียิ้มแล้วมองตอบเขาไป
อ๋องฉีหัวใจรู้สึกคันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกำลังจะหลอมละลายลงไป จึงได้กระแอมไอขึ้นเพื่อปกปิดอารมณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ถามออกไปว่า “เจ้าพวกหมอเถื่อนไม่ได้เรื่องพวกนั้นอยากเข้ามาดูอาการของเจ้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
พระชายาฉีมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
พระชายาฉีกล่าวว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
จากนั้นอ๋องฉีก็พยักหน้าแล้วตะโกนบอกคนที่อยู่ข้างนอก “พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกนั่น ไสหัวเข้ามาได้แล้ว”
หลังจากคำพูดนี้ของอ๋องฉีตกลงไป บรรดาหมอหลวงก็ทยอยกันเดินเข้ามาในห้อง ทันทีที่เห็นว่าพระชายาฉีกำลังนั่งพิงไปกับหัวเตียง พวกเขาก็ประหลาดใจกันมาก ไม่ทันคารวะอีกฝ่ายตามพิธีการ ก็รุดเข้าไปหยุดที่ข้างเตียงทันที
หวงฝู่อี้เซวียนเบี่ยงตัวหลบแล้วถอยออกไปยืนข้างๆ
อ๋องฉีขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจกับคนกลุ่มนี้มากขึ้นทุกที
ในสายตาของเหล่าหมอหลวงตอนนี้มีเพียงแค่ร่างกายของพระชายาฉีเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าสีหน้าของอ๋องฉีไม่น่ามองแค่ไหน หมอหลวงซึ่งอาวุโสที่สุดในกลุ่มเปิดปากขอออกไปเป็นคนแรก “เหนียงเหนียง ไม่ทราบข้าน้อยขอตรวจชีพจรให้ท่านได้ไหมขอรับ”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แม้พระชายาฉีแต่เดิมคิดว่าไม่สมควรอยากจะเพิกเฉยไปแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งคิดถึงว่าก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะฟื้นฟูร่างกายของนางให้กลับมา สุดท้ายจึงพยักหน้าอนุญาตให้เบาๆ
หมอหลวงที่อาวุโสที่สุดผู้นั้นดีใจมาก กระทั่งเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียงก็ไม่คิดจะลากเข้ามานั่งแล้ว ตรงไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียงโดยตรง
พระชายาฉียื่นมือออกไป สาวใช้ก็หยิบผ้าแพรบางผืนหนึ่งออกมาวางไว้บนข้อมือของนาง หมอหลวงวางนิ้วทับลงไปบนผ้าแพรบางผืนนั้น ลงมือจับชีพจรอย่างละเอียด
และทันทีที่นิ้วของเขาแตะสัมผัสโดนเส้นชีพจรของพระชายาฉี ดวงตาของหมอหลวงชราก็เป็นอันต้องเบิกกว้าง เขาเงยหน้าขึ้นมองพระชายาฉีอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่พอคิดได้ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้เป็นการหมิ่นเกียรติอีกฝ่าย ถือว่าเป็นโทษหนัก ก็ให้รีบก้มหน้าลงโดยไว นิ้วที่แตะเส้นชีพจรอยู่ยกขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความประหลาดใจยิ่งมายิ่งบังเกิด เพียงพริบตาเดียวสีหน้าของเขาก็มีแต่ความอัศจรรย์ใจ
หมอหลวงคนอื่นๆ เห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาในใจก็ให้ร้อนรุ่มนัก คิดอยากผลักอีกฝ่ายไปไว้ด้านข้างแล้วแทรกตัวเข้าไปจับชีพจรแทนให้รู้แล้วรู้รอด
ผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดเสียงสั่นของหมอหลวงท่านนั้นก็ดังขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร”
หมอหลวงอีกคนที่เยาว์วัยกว่าถามขึ้นด้วยเสียงเบา อย่างไรก็ตามความรีบร้อนในน้ำเสียงไม่อาจปกปิดไว้ได้เลย “ท่านหมอหลวงเจียง ชีพจรของพระชายาเป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ รีบบอกพวกเรามาเร็วเข้า”
หมอหลวงชราท่านนั้นยกมือออก ลุกขึ้นด้วยความเหนื่อยยาก ปากของเขาพึมพำออกมาอย่างต่อเนื่องว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”
หมอหลวงคนอื่นๆ ทนไม่ไหวแล้วในเวลานี้ ไม่คิดจะถามเขาอีก รุดเข้าไปคุกเข่าอยู่หน้าเตียงทยอยกันจับชีพจรให้พระชายาฉี
สภาพของหมอหลวงแต่ละคนหลังจากที่จับชีพจรแล้วไม่ต่างกันเลย ล้วนมีแต่ความไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนสีหน้า
อ๋องฉีคิ้วผูกกันจนเป็นปมแล้ว ตวาดด่าไปว่า “จับกันเสร็จหรือยัง จับเสร็จแล้วก็รีบไสหัวออกไปเสีย!”
เป็นเสียงสั่นของท่านหมอหลวงเจียงที่ดังตอบกลับมา “ท่านอ๋อง พวกข้าน้อยยังมีอีกหนึ่งคำถามต้องการจะถามแม่นางเมิ่ง ถามเสร็จแล้วจะรีบไสหัวไปทันทีขอรับ”
สีหน้าของอ๋องฉีไม่น่าดูอย่างเห็นได้ชัด
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นมาพูดแทนพวกเขา ถามพวกเขาไปพร้อมรอยยิ้มว่า “หลายท่านคงอยากถามเกี่ยวกับชีพจรของพระชายาว่าเหตุใดจึงแตกต่างจากแต่ก่อนยิ่งนัก เหตุใดตอนนี้จึงแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพละกำลังเหมือนกับคนปกติทั่วไป”
หลายคนพยักหน้าหงึกหงัก
“นั่นเป็นเพราะข้าขับเอาส่วนที่ตกค้างอยู่ของยาบำรุงในตัวพระชายาออกมา เมื่ออวัยวะภายในทั้งห้าไม่ต้องรับภาระหนักอีก เส้นชีพจรของนางจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น กลับมามีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพละกำลังเหมือนกับคนปกติ” เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย
พวกหมอหลวงยังฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร หันหน้าไปสบตากันคิดอยากจะถามต่อไปอีก
แต่แล้วเสียงตวาดของอ๋องฉีก็ดังขึ้นลั่น เขาไม่เต็มใจมาก “ไสหัวออกไป!”
น้ำเสียงของอ๋องฉีตอนนี้เต็มไปด้วยโทสะเด่นชัด ขืนยังไม่ออกไปอีกแล้วทำให้ท่านอ๋องโกรธขึ้นมาโดยสมบูรณ์ มีหวังได้ถูกอีกฝ่ายสั่งให้คนจับโยนออกไปแน่ ดังนั้นแล้วแม้คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปอีก ได้แต่โค้งตัวคารวะให้กับอ๋องฉีและพระชายาตามธรรมเนียม ถอยออกไปด้วยความรีบร้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็รู้ว่าพวกเขาหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางก็ไม่รู้จะอธิบายต่อไปอย่างไรแล้วเหมือนกัน พอเห็นว่าในที่สุดเขาก็ไปได้เสียที หญิงสาวก็แอบโล่งใจเล็กน้อย
พระชายาฉีมีเรื่องในใจต้องการจะคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเพียงลำพัง จึงยิ้มแล้วหันไปพูดกับอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋อง หลายวันมานี้ท่านคงเป็นกังวลแย่แล้ว บัดนี้ร่างกายของข้าน้อยรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ทรงกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
อ๋องฉีรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีเรื่องอีกมากมายต้องการจะคุยกับพระชายาฉี แต่ตอนนี้ในห้องยังมีคนอยู่มากมายจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา ประกอบกับสองสามวันมานี้เพราะเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของนาง อารมณ์เสียใส่บรรดาหมอหลวงไปก็ไม่น้อย เห็นว่านางตื่นขึ้นมาแล้ว ใจเขาก็ผ่อนคลายลง รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ จึงได้พยักหน้าให้แล้วตอบกลับไปว่า “ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักก่อน ตอนเย็นค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง”
พระชายาฉีพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม
อ๋องฉีหมุนตัวกลับไปแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าสัญญากับเซวียนเอ๋อร์ไว้ว่าหากเจ้ารักษาพระชายาได้จะให้รางวัลเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าอยากได้อะไร”
“ท่านอ๋อง” เสียงนุ่มนวลของพระชายาฉีดังขัดขึ้นเบาๆ “เรื่องของรางวัลรอท่านพักผ่อนเสร็จแล้วค่อยว่ากันดีไหมเจ้าคะ ตอนนี้ข้ายังอยากจะคุยกับแม่นางเมิ่งต่ออีกสักพัก”
ได้ยินพระชายาฉีใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลเช่นนี้พูดกับตนเอง อ๋องฉีก็หันหน้ากลับไปมองนางอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ ตอบตกลงไปด้วยเสียงเบาครั้งหนึ่งแล้วเดินออกไปจากห้อง
พระชายาฉีตบลงที่ตำแหน่งข้างเตียงเบาๆ กวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปหา “แม่นางเมิ่ง เข้ามานั่งข้างๆ ข้าสิ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าให้
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงอย่างใจกว้าง
พระชายารองส่งคนมาคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเรือนหลักอยู่ตลอด ทันทีที่ได้ยินรายงานจากบ่าวรับใช้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนไปเชิญเมิ่งเชี่ยนโยวให้มารักษาอาการป่วยให้กับพระชายาฉี นางก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ กล่าวว่า “อาการหนักจนไม่สนอะไรแล้วสินะ ขนาดบรรดาหมอหลวงในวังยังกุมขมับจนปัญญา เด็กบ้านนอกคอกนาอย่างนางจะไปทำอะไรได้” ถึงอย่างนั้นแล้วนางก็ยังแอบดีใจ แบบนี้ดีที่สุด หากว่าพระชายาฉีเป็นอะไรไปภายใต้การรักษาของนังเด็กบ้านนอกนั่น เด็กนั่นคงจบไม่สวยแน่ๆ ดีเลย นางจะใช้โอกาสนี้แหละแก้แค้นอีกฝ่ายที่มาดูถูกอวี้เอ๋อร์ของนาง
ขณะที่นางกำลังคิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลย บ่าวรับใช้ที่ถูกส่งไปก็วิ่งกลับมารายงานด้วยความลนลานว่า “พระชายารอง พระชายาฟื้นแล้วขอรับ”
พระชายารองชะงักไป นางผุดลุกขึ้นแล้วถามออกไปอีกครั้งด้วยเสียงแหลม “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
บ่าวรับใช้คนนั้นถูกเสียงของนางทำเอาตกใจจนถอยหลังกรูด รายงานไปด้วยเสียงสั่นว่า “พระ พระชายาฟื้นแล้วขอรับ”
พระชายารองกรีดร้องเสียงดังลั่น “เป็นไปได้อย่างไร”
บ่าวรับใช้ตกใจถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
พระชายารองโกรธมาก เดินออกจากห้องไป ในที่สุดก็กลั้นโทสะเอาไว้ไม่อยู่ หันไปสั่งสาวใช้คนสนิทว่า “ไปดูกัน”
สาวใช้ขานรับ พยุงนางมุ่งหน้าไปยังเรือนหลักในทันที และโดยไม่รอให้สาวใช้ของจวนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกขานชื่อ พระชายารองก็บุกเข้าไปในห้องเสียแล้ว เห็นเพียงแต่ว่าพระชายาบัดนี้กำลังนั่งพิงอยู่กับหัวเตียง จับมือพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนิทสนม ดวงตาของนางก็ประกายวาบ พูดออกไปพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่สาวช่างสนิทสนมกับคนได้ง่ายเหลือเกิน กระทั่งเด็กสาวบ้านนอกที่มาจากป่าเขาอย่างนางก็ยังปฏิบัติเช่นนี้ด้วยได้”