ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 44-2
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 44-2 แสดงอำนาจ
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว
พระชายาฉีสังเกตเห็นท่าทางของเขาก็รู้ว่าเขานั้นไม่พอใจ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไปเอาน้ำมาให้แม่ทีเถิด”
ในห้องมีสาวใช้ตั้งมากมาย แต่กลับต้องการให้เขาไปเอาน้ำ เห็นชัดว่าไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปากแล้วเดินไปโต๊ะข้างๆ เทน้ำใส่จอก แล้วเอามาวางไว้ตรงหน้าของพระชายาฉี
พระชายาฉีรับมา แล้วดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็สั่งหลิงหลงว่า “ไปตามองครักษ์ประจำจวนเข้ามา”
หลิงหลงขานรับคำสั่ง จากนั้นก็ร้องเรียกองครักษ์ประจำจวนเข้ามาหลายนาย
พระชายาฉีออกคำสั่งกับพวกเขาอย่างนุ่มนวลว่า “พวกเจ้าทั้งหลาย คุมตัวพระชายารองเข้าไปในเรือน หากไม่คุกเข่าเป็นเวลาสองก้านธูปไหม้ห้ามให้ลุกขึ้น”
“พวกเจ้ากล้า!” พระชายารองกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง
องครักษ์ประจำจวนต่างก็ยืนอึ้งอยู่ ไม่มีใครกล้าขยับ
พระชายาฉีขมวดคิ้วน้อยๆ น้ำเสียงไม่เกรี้ยวกราดแต่ทว่าดุดัน “ทำไม ไม่เข้าใจคำสั่งของข้าหรือ”
เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนมองพระชายาฉี แล้วก็หันไปมองพระชายารอง แต่ก็ไม่มีกล้าลงมือกระทำการอันใด
แล้วน้ำเสียงอันเยือกเย็นของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้นว่า “ดูท่าทางคงต้องถึงเวลาเปลี่ยนคนในจวนแล้ว แม้แต่คำสั่งของเจ้านายก็ยังไม่ยอมเชื่อฟัง”
บรรดาองครักษ์ประจำจวนต่างก็หนาวสะท้านกับน้ำเสียงอันเยือกเย็นนี้ จึงตระหนักได้ทันทีว่าอ๋องฉีกับซื่อจื่อนั้นเป็นเจ้านายที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา พอคิดได้ถึงตรงนี้องครักษ์ประจำจวนสองนายก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เดินขึ้นมาหมายจะลากตัวพระชายารองออกไป
มีหรือที่พระชายารองจะยอม นางเดินถอยหลังไปสองก้าวแล้วกรีดร้องเสียงดังว่า “หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า ข้าจะไปบอกท่านอ๋อง ให้ตัดมือของพวกเจ้า”
องครักษ์ประจำจวนลังเลครู่หนึ่ง
พระชายาฉีกล่าวว่า “พวกเจ้ารีบทำตามคำสั่ง ทางด้านอ๋องฉีข้าจะรับผิดชอบเอง”
พอเหล่าองครักษ์ประจำจวนได้รับการรับรองเช่นนี้แล้วก็ไม่ลังเลอีก เดินตรงเข้าไปหาพระชายารองที่กรีดร้องโวยวายอยู่ไม่หยุด จับนางกดลงบนพื้นอย่างแรง
สาวใช้ข้างกายของพระชายารองก็ไม่กล้าขัดขวาง เดินตามออกจากห้องไป เห็นองครักษ์ประจำจวนพากันกดพระชายารองลงพื้นอย่างแรงเช่นนั้น พริบตาเดียวก็คิดที่จะวิ่งออกไปส่งข่าวที่เรือนอ๋องหลิง
มีหรือที่หลิงหลงจะไม่รู้ถึงความคิดของนาง กล่าวยับยั้งนางว่า “การที่เจ้านายทำเรื่องไร้มารยาท เจ้าที่เป็นสาวใช้ข้างกายกลับไม่รู้จักตักเตือน ก็ลงโทษให้คุกเข่าด้วยกันเถอะ”
สาวใช้ถูกรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมก็นั่งคุกเข่าลงข้างหลังพระชายารองอย่างจนใจ
นับตั้งแต่พระชายารองเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องก็ได้รับการสรรเสริญเยินยอจากทุกคน ไหนเลยจะทนต่อการปฏิบัติเช่นนี้ได้ นางร้องโวยวายด่าทอสาปแช่งไม่หยุด
เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็กดตัวนางเอาไว้ ไม่กล้าปล่อยมือ
ทั้งสาวใช้กับคนรับใช้ในเรือนต่างก็มองทั้งหมดนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าเหตุใดพระชายาที่จิตใจดีมีเมตตาถึงได้ทำเรื่องที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นได้
หลังจากที่พ่อบ้านคุมการโบยหลานฮวาสิบไม้เสร็จเรียบร้อย ก็สั่งให้คนไปเรียกหยาผอ*มา พอทำการซื้อขายตัวหลานฮวาที่มีอาการหนักจวนสิ้นใจเสร็จแล้วก็กลับมารอรับคำสั่งอีก พอเห็นเหล่าองครักษ์ประจำจวนคุมตัวพระชายารองให้นางคุกเข่าลงที่พื้น ดวงตาเป็นประกาย เดินมาถึงหน้าประตูแล้วกล่าวกับคนที่อยู่ในเรือนอย่างนอบน้อมว่า “เหนียงเหนียงพ่ย่ะค่ะ หลานฮวาถูกขายตัวไปเรียบร้อยแล้ว ในจวนของท่านยังต้องการสาวใช้เพิ่มอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของพระชายาฉีดังออกมาจากในห้องว่า “ไม่ต้องแล้ว เจ้าสั่งการลงไป ตั้งแต่วันนี้หากมีคนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ของจวนก็ให้ใช้ไม้โบยให้ตาย”
หน้าผากของพ่อบ้านอยู่ๆ ก็มีเหงื่อไหลออกมาอีก ตอบรับด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวชราจะสั่งการลงไปประเดี๋ยวนี้”
ในห้อง พระชายาฉีตบหลังมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเบาๆ กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ข้าดูแลบ้านไม่เข้มงวดพอ ต้องอับอายเจ้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มให้น้อยๆ กล่าวว่า “วันนี้เหนียงเหนียงทรงทำดีมากแล้วเพคะ”
พระชายาฉียิ้มตามพร้อมกับกล่าวว่า “ในปีนั้นที่ตามหาเซวียนเอ๋อร์ไม่พบ ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะดูแลบ้าน ต่อมาพอเซวียนเอ๋อร์กลับมาแล้วก็มีความเหินห่างต่อข้า ในแต่ละวันข้าก็เอาแต่คิดว่าต้องทำอย่างไรถึงทำให้เขาใกล้ชิดกับข้าบ้าง ก็เลยมิได้ใส่ใจเรื่องไม่สำคัญเหล่านี้ พอมาถึงวันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์มีใจต่อกัน ข้าจึงต้องจัดการปัญหาภายในจวนนี้ไว้ให้พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
พระชายาฉีรู้ว่านางเป็นสตรีในห้องหอ หน้าบางขี้อาย จึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา กล่าวว่า “หลังจากที่เซวียนเอ๋อร์กลับมา ข้าก็เห็นว่าท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าสั่งสอนเลี้ยงดูเขาอย่างดีเช่นนี้ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง มีหลายครั้งที่คิดจะไปกล่าวคำขอบคุณถึงที่บ้าน แต่ก็จนใจเพราะสุขภาพร่างกายของข้าไม่ได้ดั่งใจเลย ถึงแม้ไม่มีอาการป่วยรุมเร้าตลอดทั้งปีเช่นเดิมแล้ว แต่ก็ออกจากประตูจวนไม่ไหว เรื่องนี้จึงต้องปล่อยให้ล่าช้าต่อไป แต่ว่าในใจของข้าก็คิดถึงแต่เรื่องนี้ตลอดเวลา เจ้าดูว่าหากยามใดพอจะมีเวลาก็ไปรับท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ามาอยู่ที่เมืองหลวงสักพัก ให้ข้าได้ขอบคุณพวกเขาต่อหน้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเติบโตที่ชนบท จึงคุ้นเคยกับชีวิตที่นึกอยากทำอะไรก็ทำแล้วเพคะ หากให้พวกท่านมาพักอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะ เกรงว่าจะต้องบอกจนเปลืองน้ำลายไปไม่น้อย อีกอย่างหม่อมฉันเพิ่งจะมาอยู่ที่เมืองหลวง ยังไม่มั่นคงพอ รอให้หม่อมฉันเตรียมการอะไรเรียบร้อยแล้วจะไปรับท่านพ่อท่านแม่มาด้วยตัวเองเพคะ”
พระชายาฉีตบหลังมือของนางเบาๆ กล่าวว่า “จักต้องเตรียมการสิ่งใดอีก จวนอ๋องก็คือบ้านของพวกเขา เซวียนเอ๋อร์ก็คือลูกของพวกเขา ให้พวกเขามาได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังดังนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้าหากหม่อมฉันกลับบ้านไปพูดเช่นนี้ ท่านพ่อคงจะตกใจจนแทบสิ้นสติเป็นแน่ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มาเมืองหลวงอีกแล้ว”
พระชายาฉีอึ้ง แล้วก็พอจะเข้าใจความหมายของนาง จึงยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “บอกท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าว่าไม่จำเป็นต้องเห็นพวกเราเป็นท่านอ๋องกับพระชายาอ๋องที่อยู่สูงส่งหรอก มองเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของอี้เซวียนก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้คงทำให้พวกเขาต้องลำบากใจแล้ว ท่านทราบไหมเพคะ ก่อนที่ท่านอ๋องยังไม่ได้ไปรับตัวอวี้เซวียน คนของทางการที่ท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉันเคยพบที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็คือผู้นำหมู่บ้าน ขนาดผู้นำของเมืองก็ยังไม่เคยได้พบ”
พระชายาฉีทำตาโต แสดงท่าทางราวกับไม่อยากเชื่อ สักพักจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ที่แท้การใช้ชีวิตในชนบทนั้นเรียบง่ายเช่นนี้ รอไว้มีเวลาว่างข้าก็อยากไปพักอยู่ที่ชนบทสักพักเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีสิเพคะ ชีวิตให้ชนบทแสนสุขสบาย ทำสิ่งใดได้ตามใจปรารถนา อีกทั้งยังดีต่ออาการป่วยของท่านอีก” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พระชายาฉียิ่งหวังว่าจะเป็นไปได้มากขึ้น กล่าวว่า “ถ้าเช่นนี้ก็ตกลงตามนี้ รอให้ข้าแข็งแรงดีก่อนก็จะตามไปเยี่ยมเยือนพวกเจ้าที่ชนบท”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มรีบ
พระชายาฉีมองนางอย่างคาดหวัง ถามว่า “เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าพวกเข้าอยู่กันอย่างไรตอนที่อยู่ชนบท”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจดีว่านางต้องการทราบชีวิตความเป็นอยู่ของอี้เซวียนก่อนหน้านี้ เหลือบมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง พอเห็นเข้าไม่ได้โต้แย้งก็เล่าเรื่องราวในอดีตให้นางฟังอย่างละเอียด
ภายในห้องมีเสียงพระชายาร้องอย่างตกใจและหัวเราะอย่างเบิกบานใจดังขึ้นไม่หยุด กลบเสียงกรีดร้องโวยวายของพระชายารองที่ดังอยู่นอกเรือนได้จนมิด
คนรับใช้ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนเมื่อเห็นพระชายารองถูกจับกดให้คุกเข่าก็ไม่กล้าขยับทำการสิ่งใด เกิดความหวาดผวาขึ้นในใจ จากนั้นรีบดึงสติคืนมาแล้วรีบลงไม้ลงมือทำงานของตัวเอง ด้วยเกรงว่าจะถูกพระชายากล่าวโทษที่เกียจคร้าน แล้วจะมีจุดจบเช่นเดียวกันกับหลานฮวา
ชุ่ยเซียงสาวใช้ข้างกายอีกคนที่ไปสั่งการให้คนปรุงข้าวต้ม พอถือกลับมาเห็นพระชายารองถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้นก็ยืนอึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็รีบถือข้าวต้มเดินเข้ามาในห้องอย่างยินดี แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เหนียงเหนียงเพคะ ข้าวต้มทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงหยุดเรื่องที่คุยค้างอยู่ กล่าวว่า “พระชายาเสวยข้าวต้มก่อนเถิดเพคะ หากท่านอยากฟังเรื่องราวในชนบทอีก หากยามใดที่เรามีเวลาหม่อมฉันจะมาเล่าให้ท่านฟังอีกเพคะ”
พระชายาฉีไม่ได้กินอะไรมานานหลายวัน วันนี้ยังอาเจียนออกมาอีก ก็รู้สึกหัวขึ้นมาจริงๆ จึงพยักหน้าแล้วนั่งตัวตรง สั่งให้ชุ่ยเซียงเอาข้าวต้มมาข้างหน้า ไม่ยอมให้นางคอยตักป้อน แล้วตักขึ้นมากินเอง
หลังจากกินเสร็จแล้วก็รู้สึกว่ายังไม่อิ่มจึงสั่งชุ่ยเซียงว่า “เอามาให้ข้าอีกชามหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนางเอาไว้ “ท่านไม่ได้เสวยอะไรมาหลายวันแล้ว หากเสวยมากเกินไปในครั้งเดียวจะไม่เป็นผลดีนะเพคะ หากท่านยังอยากเสวยอีกก็รออีกสักหนึ่งชั่วยามก่อนเถิด แล้วค่อยให้สาวใช้ตักมาให้ใหม่”
พระชายาฉีพอได้ยินดังนั้นก็วางชามที่อยู่ในมือ
ชุ่ยเซียงรีบสั่งให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ไปอุ่นข้าวต้มเอาไว้อีก
หลังจากที่กินข้าวต้มเสร็จ พระชายาฉีก็มีง่วงซึม
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางรู้สึกง่วงก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “พระชายาท่านพักผ่อนสักครู่เถิดเพคะ พอได้หลับแล้วตื่นขึ้นมาจะรู้สึกดีขึ้น”
พระชายาฉีก็รู้ตัวว่าตัวเองฝืนต่อไม่ไหวแล้ว พยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ โดยมาสาวใช้มาดูแลพาขึ้นไปนอนบนเตียง กล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าดูแลแม่นางเมิ่งดีๆ รอแม่ตื่นแล้วค่อยพูดคุยกับนางอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า
ไม่นานพระชายาฉีก็หลับไป
พอเห็นพระชายาฉีหลับไปแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็โบกมือ สาวใช้ที่อยู่ในห้องก็ค่อยๆ ถอยออกไปเสรยงเบา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกับเขา
พระชายารองคุกเข่าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปไหม้แล้ว ร้องตะโกนจนคอแห้งพระชายาอ๋องฉีก็ไม่ยอมให้คนปล่อยนางไป ในใจยิ่งบังเกิดความไม่พอใจ พอเห็นหวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาก็มองออกไปด้วยสายตาเกลียดแค้นชิงชัง แล้วกล่าวยั่วยุด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “พวกเจ้าสองคนแม่ลูกจะรังแกกันเกินไปแล้ว คอยดูเมื่อท่านอ๋องทราบเรื่องนี้แล้วจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองนางอยู่ในสภาพจนตรอก แล้วกล่าวขึ้นอย่างเ**้ยมเกรียมว่า “พระชายารองส่งเสียงรบกวนการพักผ่อนของท่านแม่ ลงโทษให้คุกเข่าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
—————————-
* หยาผอ(牙婆)คือหญิงอาชีพค้ามนุษย์ จัดหามนุษย์ไม่ว่าหญิงหรือชายมาฝึกอบรมให้เหมาะแก่ลูกค้าที่ต้องการแรงงานทาส หรือใช้เป็นเมียน้อย ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ต้องการหญิงไปเป็นเมียน้อย