ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 45-2
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 45-2 ยึดอำนาจคืน
พระชายาฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องถอยออกไปก่อนได้ไหมเพคะ ให้สาวใช้ใส่เสื้อคลุมให้หม่อมมฉันก่อนท่านค่อยถาม”
อ๋องฉีหน้าแดงเล็กน้อย แล้วก็ถอยไปอีกด้าน
หลิงหลงรีบเดินเข้ามา พยุงพระชายาอย่างระมัดระวัง สวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย จัดที่พิงให้นางนั่งพิงอยู่บนเตียง
อ๋องฉีนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว พระชายารองยังยืนอยู่ข้างๆ เช่นเดิม
พระชายาฉีส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้หลิงหลงออกไปเฝ้าหน้าประตู แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอ๋องจะเกรี้ยวกราดเช่นนี้ไปไยเพคะ หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดไปหรือเพคะ”
อ๋องฉีถามขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมว่า “ไม่ทราบว่าเหลียนอีทำสิ่งใดผิดไปหรือ เจ้าถึงได้ให้องครักษ์ประจำจวนลงโทษกดให้นางคุกเข่าอยู่เช่นนั้น”
พระชายาฉียิ้มบางๆ ถามพระชายารองขึ้นว่า “น้องสาว เจ้าจะบอกเองหรือให้ข้าเป็นคนบอกท่านอ๋องหรือ”
พระชายารองกะพริบตาเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับอ๋องฉีอย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่อมฉันได้ยินข่าวว่าพี่สาวอาการดีขึ้นแล้ว ก็รู้สึกดีใจ จึงเข้ามาถามข่าวคราวกับนาง ทว่าใจร้อนไปบ้าง ไม่รอให้สาวใช้ได้รายงานก็เดินเข้าห้องเลย ท่านพี่เห็นว่าหม่อมฉันไม่รู้จักกฎเกณฑ์ จึงลงโทษให้หม่อมฉันไปคุกเข่าที่กลางเรือนเพคะ”
พระชายาฉีหันหน้ามาถามอ๋องฉีด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า “ท่านอ๋องได้ยินชัดแล้วใช่ไหมเพคะ”
อ๋องฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแก้ต่างแทนพระชายารองว่า “หลายวันมานี้เหลียนอีคอยแต่วุ่นวายจะดูแลเจ้า จนลืมกฎไป ก็เป็นเรื่องที่สามารถให้อภัยได้”
ชายาอ๋องฉียังยิ้มละไม ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องกำหนดกฎขึ้นมาเช่นนี้หรือเพคะ ไม่ว่าน้องสาวจะเข้ามาในเรือนของหม่อมฉันด้วยเหตุอันใดก็ตาม ไม่จำเป็นต้องรายงาน สามารถเข้ามาได้เลยเช่นนั้นหรือเพคะ”
อ๋องฉีเติบโตขึ้นมาจากในวัง กฎเกณฑ์การสั่งสอนนั้นเข้มงวด ไม่ยอมให้มีการผิดกฎเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่งพระชายารองเข้าไปในจวนของพระชายาโดยไม่รายงานยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด เช่นนี้จึงถูกถามจนอึ้ง นานหลายอึดใจจึงกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อยว่า “ปกติมิใช่เช่นนี้หรือ ทำไมวันนี้เจ้าถึงใส่ใจเล่า”
“ท่านอ๋องกล่าวได้ดี” พระชายาฉีกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ในจวนมีเพียงหม่อมฉันกับน้องสาวเพียงสองคนที่ดูแลท่านอ๋องอยู่ และหม่อมฉันก็ร่างกายอ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ น้องสาวจึงต้องลำบากไปบ้าง ดังนั้นเรื่องที่น้องสาวทำเรื่องไม่สมควรหม่อมฉันจึงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่วันนี้หม่อมฉันกำลังสนทนาอยู่กับแม่นางเมิ่งอยู่ ที่น้องสาวเข้ามาโดยไม่รายงานก็ไม่ว่าสิ่งใดหรอกเพคะ แต่เข้ามาแล้วยังพูดจาไม่ดี บอกว่าแม่นางเมิ่งเป็นเพียงเด็กสาวบ้านป่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นนางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์ แค่เรื่องที่นางช่วยชีวิตของหม่อมฉันในวันนี้ก็ไม่อาจปล่อยน้องสาวไปได้ แต่เห็นแก่ที่น้องสาวลำบากในยามปกติหม่อมฉันก็มิได้ว่าสิ่งใดนาง เพียงแต่ให้นางออกไปคุกเข่าที่กลางเรือนเพียงเท่านั้น หรือว่าท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันทำไม่ถูกต้องหรือเพคะ”
พระชายาฉีพูดอย่างไม่รีบร้อน ไม่อ่อนไม่แข็ง มีเหตุมีผลทุกคำ ไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ท่านอ๋องถูกพูดเช่นนี้จนพูดไม่ออก
พระชายารองในยามปกติก็เป็นคนที่รู้จักว่าสิ่งใดควรมิควร รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทาง รู้จักเก็บกิริยาวาจา ไม่รู้ว่าวันนี้ถูกพระชายาอ๋องลงโทษจนตื่นตระหนกไปแล้วหรืออย่างไร ยังรู้สึกว่าตัวเองที่เป็นคนดูแลทุกอย่างในบ้านไม่ควรต้องน้อยหน้าแก่พระชายา หลังจากที่ฟังพระชายาพูดจบก็กล่าวด้วยถ้อยคำบาดลึกว่า “ที่หม่อมฉันบอกว่าเป็นเด็กสาวบ้านป่านั้นผิดหรือ นางอายุเพียงเท่านั้นก็สามารถดึงดูดใจซื่อจื่อได้แล้ว ทำให้ซื่อจื่อคิดถึงนางลืมนางไม่ลง อีกทั้งยังจัดการจนอวี้เอ๋อร์ต้องมีสภาพเช่นนั้น ที่หม่อมฉันบอกว่านางเป็นเด็กสาวบ้านป่านั้นยังถือว่าเกรงใจไปแล้ว หากท่านพี่ไม่อยู่หม่อมฉันคงจะลากนางออกไปโบยแล้ว”
“เหลียนอี หยุดพูดจาเหลวไหล” อ๋องฉีตำหนินาง
พระพระชายารองขอบตาแดงก่ำ แล้วคุกเข่าลงพื้นเสียงดังตึง แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “ท่าอ๋องเพคะ หม่อมฉันรับใช้ท่านมาหลายปี พยายามดูแลจวนอ๋องอย่างสุดความสามารถ หรือว่ายังไม่มีความสำคัญมากไปกว่าเด็กสาวบ้านป่าคนนั้นหรือ”
อ๋องฉีขมวดคิ้ว ตำหนินางขึ้นอีกครั้งว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร นางจะเทียบกับเจ้าได้อย่างไร”
“ท่านอ๋องกล่าวไม่ผิด แม่นางเมิ่งเป็นแม่นางในดวงใจของเซวียนเอ๋อร์ ต่อไปต้องเป็นชายาของเซวียนเอ๋อร์ น้องสาวจะเทียบกับนางได้อย่างไร” พระชายาฉีจงใจอธิบายคำพูดของทอ๋องหลิง กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ในปีนั้นพระชายารองกับอ๋องฉีมีใจรักใคร่กัน เดิมทีคิดว่าจะหญิงเพียงคนเดียวของอ๋องฉี แต่ทว่าไทเฮาทรงมีพระราชเสาวนีย์ลงมา นางจึงลดตัวลงเป็นพระชายารองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะอยู่ในจวนอย่างมีอิสระ แต่ไม่อาจเป็นชายาเอกได้ก็ยังเป็นความเจ็บปวดในใจของนางอยู่ ตอนนี้พอได้ฟังพระชายาฉีกล่าวลบหลู่นางเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ยิ่งร้องไห้เสียงดังขึ้น “ท่านอ๋องเพคะ ท่านดูสิว่าพี่สาวพูดจาอย่างไร ในสายตาของนางหม่อมฉันเทียบไม่ได้เลยกับเด็กสาวบ้านป่าคนนั้น”
หลายปีมานี้อ๋องฉีก็รู้สึกผิดต่อพระชายารองไม่น้อย พอได้ฟังพระชายาฉีกล่าวเช่นนั้นก็โมโห ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีนักว่า “ซู่อิง เจ้าว่าเหลียนอีเช่นนี้ได้อย่างไร หลายปีมานี้เจ้าร่างกายอ่อนแอ โชคดีที่มีเหลียนอีคอยดูแลจวนอ๋องอย่างดี จึงทำให้ข้าไม่เป็นกังวลเบื้องหลังไปทำงานในราชสำนักอย่างสบายใจ”
รอยยิ้มของพระชายาฉีเลือนหายไป กล่าวว่า “ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันไม่ดูแลจวนอ๋องอย่างดีหรือเพคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอำนาจการดูแลบ้านที่น้องสาวดูแลอยู่ก็มอบมาให้หม่อมฉันดูแลเถิด หม่อมฉันจะช่วยท่านอ๋องจัดการเรื่องราวภายในอย่างดีที่สุดด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายนี้”
พอนางพูดจบพระชายารองก็ตกใจจนลืมร้องไห้ จ้องมองนางอย่างไม่เชื่อสายตาจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
อ๋องฉีก็นึกไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องการดูแลบ้านออกมาได้ ตกตะลึงไปชั่วขณะ
“ทำไมหรือ หม่อมฉันพูดไม่ถูกหรือเพคะ” พระชายาฉีขมวดคิ้วมุ่น ทำเป็นถามขึ้นอย่างสงสัย
อ๋องฉีได้สติคืนมา ขยับร่างกายเล็กน้อย กระแอมไอขึ้นหลายครั้ง ส่งสายตามองไปยังพระชายารองที่ยืนอึ้งอยู่ แล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดไม่ผิด แต่ว่าสุขภาพของเจ้า…”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ พระชายาฉีก็ยิ้มแล้วพูดขัดเขาขึ้นว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ แต่ว่าแม่นางเมิ่งบอกแล้วว่าจะช่วยดูแลสุขภาพของหม่อมฉันด้วยตัวเอง สุขภาพร่างกายของหม่อมจะต้องดีขึ้นแน่นอนเพคะ”
เดิมที่ทุกอย่างภายในจวนต้องเป็นหน้าที่ของชายาเอกคอยดูแลจัดการ อ๋องฉีจึงไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร
พระชายารองอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าที่อ๋องฉีมามิเพียงแต่ไม่ได้มาหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง แล้วจัดระเบียบจวนอ๋องฉี แต่ยังให้พระชายาฉีฉวยโอกาสยึดอำนาจการดูแลบ้านกลับไป จึงร้องขึ้นเสียงหลงว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้” พระชายาฉีถามกลับ “ในเมื่อน้องสาวคิดว่าหลายปีมานี้ได้ทำเพื่อจวนอ๋องมามากพอแล้ว ก็ควรจะพักผ่อนเสียบ้าง”
พระชายารองโบกไม้โบกมือ “ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องพักผ่อน ท่านพี่ร่างกายอ่อนแอขอให้ท่านพักผ่อนมากๆ ดีกว่า ให้ดูแลจัดการภายในจวนเถอะ”
“ถ้าเช่นนั้นที่น้องสาวร้องไห้บอกกับท่านอ๋องว่าหลายปีมานี้ดูแลจวนอ๋องอย่างยากลำบากนั้นหมายความว่าอย่างไร หรือว่าต้องการให้ท่านอ๋องเวทนาสงสารเท่านั้น ให้เขาจัดการลงโทษข้าใช่ไหม” พระชายาอ๋ฮงฉีถามอย่างกดดัน
พระชายารองเห็นว่าอ๋องฉีไม่โต้แย้งเกี่ยวกับการดูแลบ้านของพระชายาฉีก็รู้สึกกระวนกระวายใจ มีหรือจะกล้าพูดเช่นนั้น แล้วจึงรีบตอบกลับว่า “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันใจร้อนจนพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้นเพคะ ท่านพี่อย่าใส่ใจเลย”
ในตอนที่พระชายารองถูกองครักษ์ประจำจวนกดตัวให้ลงโทษคุกเข่าอยู่นั้น ได้พยายามขัดขืนจนผมเผ้ายุ่งเหยิงหมด ปอยผมตกลงมากระจายเต็มใบหน้า อีกทั้งตอนนี้ยังต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา ส่งสายตาขอร้องอ้อนวอนต่ออ๋องฉี อ๋องฉีก็มีใจเอนเอียงไปทางนางอยู่แล้ว จึงกล่าวกับพระชายาฉีว่า “เหลียนอีไม่ได้หมายความเช่นนั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจไปเสียทุกอย่าง สุขภาพของเจ้าก็ยังไม่แข็งแรงดี เรื่องการดูแลบ้านก็ให้เหลียนอีดูแลไปก่อน ทุกอย่างรอให้เจ้าแข็งแรงขึ้นก่อนค่อยว่ากันอีกที”
หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ท่านอ๋องกล่าวออกมาเช่นนี้ พระชายาฉีก็คงเห็นชอบตามนั้น ถึงอย่างไรตัวเองก็ไม่อยากไปแย่งชิงสิ่งใด ปล่อยพวกเขาไปเถอะ แต่ตอนนี้มิได้แล้ว ท่าทีที่พระชายารองปฏิบัติต่อเมิ่งเชี่ยนโยวนั้นทำให้นางไม่พอใจ อีกทั้งเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าต่อไปจะมาช่วยรักษาร่างกายให้นางที่จวนบ่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะดูสีหน้าของพระชายารองก่อนทำสิ่งใดได้ทุกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ยอม แล้วจึงพูดอย่างไม่อ่อนไม่แข็งว่า “ท่านอ๋องคิดแทนหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาทุกอย่างในจวนก็เป็นน้องสาวที่คอยดูแล จนทำให้กลายเป็นเรื่องขบขันไปไม่น้อย ตอนนี้หม่อมฉันดีขึ้นแล้ว ถือว่าเห็นแก่หน้าของท่านอ๋อง จะให้น้องสาวดูแลบ้านไม่ได้อีกแล้วนะเพคะ”
หลายปีมานี้พรชายาอ๋องฉีไม่เคยกล่าวเช่นนี้กับอ๋องฉีมาก่อน ท่าทีก็ไม่เคยแข็งกระด้างเช่นนี้ อ๋องฉีอึ้งไม่ได้ตอบในทันที
พระชายารองพยายามคลานมาเกาะที่ตรงหน้าของอ๋องฉี จับเสื้อของอ๋องฉีแล้วส่ายหน้าไม่หยุด “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันดูแลบ้านจะไม่บ่นเลย ต่อไปจะยิ่งพยายามมากขึ้นกว่าเดิม ท่านอ๋องอย่ารับตามคำขอของท่านพี่นะเพคะ”
อ๋องฉีอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
น้ำเสียงเย็นชาของพระชายาก็ดังขึ้นอีก “น้องสาว ที่เจ้าไม่ยอมคืนอำนาจการดูแลบ้านเป็นเพราะทำเรื่องที่ไม่ได้ไว้ ทำเรื่องที่บอกผู้คนไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
—————————-