ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 47-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 47-1 จดหมายที่ส่งมาจากทางบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง “นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าไปส่งข้าที่จวนก็ต้องกลับมาที่นี่อีก จะให้มากความมากการไปไย อีกอย่างแม่ของเจ้าเพิ่งฟื้นตัวจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด รอแม่เจ้าสุขภาพดีขึ้นก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะไปหาข้าทุกวันข้าจะไม่ปริปากบ่นเลย”
สถานการณ์ทางฝั่งของพระชายาฉีหวงฝู่อี้เซวียนเองก็คงพูดได้เพียงแค่นี้ เมื่อเห็นว่านางไม่เห็นด้วยเขาจึงไม่ยืนกรานดื้อรั้นเอาแต่ใจ ได้แต่มองนางและกัวเฟยควบม้าออกไปด้วยแววตาตัดใจไม่ลง ก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องของพระชายาฉีอีกครั้ง
พอเมิ่งเชี่ยนโยวกับกัวเฟยกลับถึงจวน แม่ครัวก็ยกสำรับขึ้นตั้งรอเรียบร้อย หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนจดหมายถึงทางบ้านเป็นฉบับที่สอง เนื้อหาในจดหมายบรรยายไปว่าชีวิตในเมืองหลวงของนางทุกอย่างเรียบร้อยดี กิจการร้านบะหมี่มันฝรั่งยามนี้คึกคักและเฟื่องฟูยิ่งนัก ส่วนเรื่องแต่งงานใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วขอให้คนทางบ้านอย่าได้เป็นกังวล จากนั้นก็กำชับต่อว่าให้ทางนั้นรีบส่งแป้งมันฝรั่งมาให้โดยไวทางนี้ต้องการเพิ่มอย่างมาก
หลังจากเขียนเสร็จ นางก็ยื่นมันให้กับกัวเฟยแล้วบอกให้เขานำมันไปส่งที่จุดรับส่งสารในวันพรุ่งนี้
วันสบายๆ ผ่านพ้นไปอีกสองวัน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ยามเฝ้าประตูก็เข้ามารายงานว่า “นายหญิงขอรับ ขบวนรถม้าจากทางบ้านส่งของมาแล้วครับ”
“เร็วขนาดนั้นเชียว” เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกจวนอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้คนที่นำขบวนรถม้ามาก็คือเหวินเป้าและเหวินซง ทันทีที่พวกเขาเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา เหวินเป้าก็ประสานมือขึ้นโค้งคำนับกล่าวไปด้วยความเคารพว่า “แม่นาง คุณชายใหญ่ให้พวกเรามาส่งของให้ขอรับ”
“ข้าเพิ่งเขียนจดหมายส่งไปให้ทางบ้านเมื่อวันก่อนเอง วันนี้พวกเจ้าก็มาถึงแล้ว คิดว่ายังไม่น่าจะได้รับจดหมายที่ข้าเพิ่งส่งไป พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าของที่ข้าตุนไว้ใกล้หมดแล้ว”
เหวินเป้าหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อของเขา จากนั้นก็ส่งมันให้กับนาง “ฮูหยินน้อยรองคลอดแล้วขอรับ คุณชายใหญ่อยากให้ข้ามาส่งข่าวนี้ให้ท่านได้ทราบ ประจวบเหมาะเลยให้ข้ากับซงเอ๋อร์ส่งของมาให้ท่านด้วยเลย”
“พี่สะใภ้รองคลอดแล้ว เป็นเด็กชายหรือว่าเด็กหญิงกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความยินดียิ่ง
เหวินเป้าตอบ “เป็นเด็กผู้ชายขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก สั่งให้กัวเฟยพาขบวนรถม้าเข้าไปที่กลางลานบ้าน หลังจากจัดการสั่งให้คนขนของลงจากรถม้าเรียบร้อยแล้วหาห้องหับให้เหล่าคนงานได้พักผ่อน นางก็อดใจรอแทบไม่ไหวหยิบจดหมายฉบับนั้นกลับเข้าห้องไป เปิดจดหมายอ่านอย่างละเอียด
เมิ่งเสียนคล้ายจะเข้าใจความคิดของนางเป็นอย่างดี จึงได้บรรยายสถานการณ์ทางนั้นมาให้ฟังอย่างละเอียด กระดาษหลายแผ่นเต็มไปด้วยตัวอักษรอัดแน่น เขาเล่าให้นางฟังว่าภรรยาของเมิ่งฉีได้ให้กำเนิดทารกชายตัวอ้วนใหญ่ ท่านพ่อมีความสุขมาก ตลอดทั้งวันเขาไม่สามารถหุบปากลงได้เลย ท่านแม่เองแม้ว่าจะมีความสุขมากเช่นกัน แต่เนื่องจากทุกวันหลังจากไปเยี่ยมเจ้าตัวเล็กที่บ้านของเมิ่งฉีกลับมาแล้วก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุดว่าเหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้หญิงกันนะ ทำเอาภรรยาของเขาลำบากไปด้วยเนื่องจากท่านแม่คล้ายจะเปลี่ยนเป้าหมายมาคาดหวังที่นางแทน วันทั้งวันเอาแต่ตามถามว่าเมื่อไหร่จะตั้งครรภ์อีกครั้ง ว่าเส้าเอ๋อร์ควรจะมีน้องชายหรือน้องสาวออกมาเป็นเพื่อนได้แล้ว ถึงขนาดที่ว่าสะใภ้ของตนวันทั้งวันเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในโรงงาน ทั้งที่เป็นเพียงงานชั่วคราวแต่ก็ไม่กล้ากลับบ้านเพราะทนการรบเร้าไม่ไหว สุดท้ายยังถามข้าอีกว่างานแต่งของเจ้ากับเซวียนเอ๋อร์คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะตกลงวันได้ ท่านพ่อกับท่านแม่บอกว่าหากตกลงกันได้เมื่อไหร่จะขนคนทั้งบ้านเดินทางไปเมืองหลวงทันที
หลังจากอ่านจดหมายจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ทั้งตลกแล้วก็เศร้าใจ ที่ตลกก็คือเรื่องที่เมิ่งชื่อเอาแต่ตามรบเร้าให้ซุนเชี่ยนตั้งครรภ์อีกรอบ ส่วนที่เศร้าก็คือเมิ่งชื่อจะต้องคิดถึงนางแล้วแน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตตนไม่เคยอยู่ห่างจากนางเลย ครั้งนี้จู่ๆ ก็เดินทางมาเมืองหลวงแถมยังรั้งอยู่ที่นี่หลายวัน ไม่รู้ว่าใจนางจะเป็นกังวลถึงขั้นไหน
กัวเฟยคอยกำชับให้เหล่าคนงานขนของลงจากรถม้า หลังจากเสร็จสิ้นแล้วก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปชำระร่างกายจากนั้นเขาก็เข้ามารายงานว่า “แม่นาง เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ ข้าสั่งให้แม่ครัวทำอาหารรับรองพวกเขาแล้ว รอพวกเขาอาบน้ำเสร็จหลังจากกินข้าวก็สามารถพักผ่อนได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับรู้ ตอบกลับไปว่า “เจ้าไปที่ร้านบอกเหวินเปียวกับเหวินหู่ว่าพวกเหวินเป้าอยู่ที่นี่ หากไม่ยุ่งนักก็ให้พวกเขากลับมาเจอครอบครัวสักหน่อย ได้อยู่กันพร้อมหน้าพูดคุยกันสักพักก็ยังดี”
“ข้าทราบแล้วแม่นาง จะไปเดี๋ยวนี้” กัวเฟยตอบก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บมันลงกล่องไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เนื่องจากว่าพ้นยามอู่มาแล้ว ที่ร้านถึงไม่ได้ยุ่งวุ่นวายมาก หลังจากฟังคำที่กัวเฟยนำมาบอก เหวินเปียวกับเหวินหู่ก็ขึ้นรถม้ารีบกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว
เหวินเป้าพอได้เห็นว่าพวกเขามาก็ให้ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “พี่ใหญ่ พี่รอง”
เหวินซงเองก็ตื่นเต้นมากตะโกนออกไปว่า “ท่านพ่อ ลุงรอง”
ทั้งสองคนพยักหน้าให้
โดยไม่คำนึงถึงการคงอยู่ของคนอื่นๆ เหวินเป้ากระโดดเข้าไปหาทั้งคู่พูดคุยกับทั้งสองด้วยความตื่นเต้นทันที “ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้ของข้าจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง”
เหวินเปียวกับเหวินหู่คล้ายกับจะติดเชื้อความตื่นเต้นจากพวกเขามาด้วย พยักหน้าติดกันซ้ำๆ แล้วถามกลับไปว่า “ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดีไหม”
เหวินเป้าตอบไปว่า “ก็ยังเหมือนเดิม พี่สะใภ้พวกนางทั้งสามและเหลียนเอ๋อยังคงไปทำงานที่ร้านในเมืองทุกวัน จงเอ๋อกับคนอื่นๆ เองก็ไปสำนักศึกษา ร่ำเรียนไม่เคยขาดเรียนสักครั้งเดียว เพียงแต่ข้าได้ยินคุณชายใหญ่พูดว่าตอนที่อยู่สำนักศึกษาจงเอ๋อร์แสดงออกได้ไม่เลวเลย ปีหน้าเห็นว่าเขาจะได้ไปสอบถงเซิงกับคุณชายน้อยด้วย”
เหวินหู่รู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่เหวินเปียวกลับขมวดคิ้วมุ่นพูดขัดไปว่า “พวกเราเป็นเพียงทาส เด็กที่เกิดจากทาสจะเข้าสอบถงเซิงได้อย่างไร”
เห็นได้ชัดว่าเหวินหู่กับเหวินเป้าเพิ่งตระหนักถึงปัญหานี้เป็นครั้งแรก ทันทีที่ได้ยินแบบนี้รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายวับไปในพริบตา ความสุขของพวกเขาเองก็มลายหายไปเช่นกัน
เหวินเปียวยังกล่าวต่อว่า “สถานะทาสของพวกเราถูกตัดสินโดยทางการ หากไม่ใช่แม่นางซื้อตัวพวกเรามา วันนี้เวลานี้ กระดูกของพวกเราไม่แน่ว่าคงถูกกลบฝังลงดินที่ไหนสักแห่งแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นที่ถูกซื้อตัวมาโดยนาง ข้าก็ปฏิญาณสาบานแล้วว่าจะติดตามนางไปตลอดชีวิต ตระกูลเหวินจะคอยรับใช้นางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ อีกหน่อยพวกเจ้าอย่าได้มีความคิดเช่นนี้อีก”
เหวินหู่ เหวินเป้ารวมถึงเหวินจงต่างก็ขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
สามพี่น้องซุบซิบคุยกันเรื่องทั่วไปต่ออีกสักพัก เหวินจงนั่งเงียบๆ อยู่อีกด้านไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เหวินเป้าก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านแล้วหรือยัง”
เหวินเปียวกับเหวินหู่เงียบไป
เห็นการแสดงออกของพวกเขาเป็นแบบนี้ เหวินเป้าก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้กลับไป จึงได้ถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “มะรืนนี้ข้าก็จะกลับไปแล้ว ข้าอยากไปดูที่นั่นหน่อย พี่ใหญ่ พี่รอง ได้หรือเปล่า”
เหวินเปียวเงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้น “อย่างไรสถานะของพวกเราก็ไม่อาจฟื้นคืนได้อีก กลับไปรังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม ไม่สู้ไม่ต้องไปเลยแบบนี้จะดีกว่า”
เหวินเป้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย “แต่ว่าพี่ใหญ่ ข้าคิดถึงที่นั่นมาก นับตั้งแต่คุณชายใหญ่บอกให้ข้าอารักขาขบวนรถม้ามาที่เมืองหลวง ข้าก็ตื่นเต้นนอนไม่หลับอยู่ทุกวัน ห้าปีแล้ว ในที่สุดข้าก็จะได้กลับไปดูที่สำนักคุ้มภัยเสียที ต่อให้จะมองจากข้างนอกเพียงแวบๆ ก็ตาม”
เหวินเปียวไม่พูดอะไร
เหวินหู่เองก็อยากไปดูให้เห็นกับตาเหมือนกัน จึงได้ช่วยขอร้องไปอีกแรง “พี่ใหญ่ พวกเรากลับไปดูกันเถอะ”