ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 67-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 67-1 เจตนาหาเรื่องทะเลาะ
ทุกคนกล่าวอำลาชายชรา หลังจากที่ขึ้นรถม้าเสร็จแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งให้สารถีขับวนไปรอบๆ ทีนาหนึ่งรอบ พบว่าที่นาเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่รกร้าง คิดไว้ว่าหลังจากที่พรุ่งนี้ซื้อมาแล้วจะจะหาคนมาบุกเบิกพื้นที่รกร้างเหล่านี้ก่อน รอช่วงอากาศอบอุ่นในปีหน้าก็จะปลูกมันฝรั่งได้
ในตอนที่พวกเขาไปชายชราก็ลงกลอนปิดประตูของหมู่บ้านไว้ แล้วก็ขึ้นรถม้าเดินทางเข้าไปในเมืองอย่างช้าๆ
วันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีก็มาที่โรงหัตถกรรม
จากการที่ได้พักผ่อนเป็นเวลาสามวัน ส่วนหลังคาก็ซ่อมแซมไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงสั่งคนงานทั้งหลายว่า “หลังจากที่พวกเจ้าซ่อมแซมเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดโรงหัตถกรรมรวมถึงภายในเรือนด้วย ทั้งจัดการดายหญ้าให้เรียบร้อย ตอนที่เราเปิดกิจการจะต้องมั่นใจได้ว่าเรือนทุกเรือนจะสะอาดสะอ้าน”
งานที่ทำนั้นเป็นงานง่ายๆ สบายๆ ยามเที่ยงยังได้กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เต็มหม้ออย่างอิ่มหนำสำราญอีกด้วย คนงานทั้งหลายเห็นว่าซ่อมแซมหลังคาเสร็จแล้วก็ยังรู้สึกร้อนใจอยู่ พอได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมด ต่างก็รับปากเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “วางใจเถอะขอรับนายหญิง พวกเราทุกคนรับรองว่าจะทำให้สะอาดหมดจด แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียวท่านก็จะไม่ได้เห็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแล้วถามขึ้นอีกว่า “ถ้าคนในครอบครัวของใครมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็จะเอาเงินค่าแรงให้พวกเจ้าเอากลับไปใช้ก่อนหนึ่งร้อยอีแปะ ส่วนที่เหลือจะคิดเงินให้พวกเจ้าอีกครั้งก่อนที่จะเริ่มทำงาน”
คนงานทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมา ต่างก็มองเห็นความประหลาดใจในแววตาของอีกฝ่าย โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาที่มีหน้าที่ทำอาหาร รู้สึกซาบซึ้งใจจนดวงตามีน้ำตาเอ่อล้นออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของพวกเขาก็เข้าใจความคิดของพวกเขาจึงไม่ได้ถามอะไรอีก กำชับเสี่ยวซือและคนอื่นว่าเย็นนี้เมื่อเลิกงานให้เอาเงินค่าแรงให้พวกเขาคนละหนึ่งร้อยอีแปะ
คนงานทุกคนต่างก็กล่าวขอบคุณขึ้นอีกครั้ง
พอสั่งงานทางด้านนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีก็เดินทางมาถึงที่ศาลาว่าการ
ที่ศาลาว่าการเงียบสงัด เปาชิงเหอกำลังสนทนาอยู่กับเจ้าหน้าที่สารบรรณ พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รู้สึกแปลกใจถามขึ้นว่า “แม่นางเมิ่ง มาหาข้าด้วยธุระอันใดหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับเล่าเรื่องที่ซื้อที่ดินห้าร้อยไร่กับเรื่องที่ซื้อหมู่บ้านให้เขาฟัง
เปาชิงเหออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ทะลึ่งพรวดลุกยืนขึ้นแล้วถามขึ้นทันควันว่า “แม่นางเมิ่งซื้อที่ดินมากมายเช่นนี้ ต้องการคนงานเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ก็คิดไว้เช่นนั้น แต่ว่าต้องรอหลังจากที่โรงหัตถกรรมเปิดเสียก่อนเจ้าค่ะ”
เจ้าหน้าที่สารบรรณก็ดีใจไม่น้อย พูดขึ้นต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน มีงานให้ทำแล้ว ฤดูหนาวปีนี้หลายครอบครัวก็ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำลายความกระตือรือร้นของทั้งสองคนในเวลาที่ประจวบเหมาะ “ทั้งสองท่านอย่าดีใจมากเกินไปสิเจ้าคะ ที่ดินห้าร้อยไร่ก็มิได้มากมายอะไร ถ้าคนที่ว่างในเมืองเป่ยเฉิงไปทำงานกันทุกคนแล้วละก็คงจะทำงานกันได้คนละไม่เท่าไหร่”
น้ำเสียงตื่นเต้นของเปาชิงเหอดังขึ้นว่า “ทำได้หนึ่งวันก็ดีกว่าไม่ได้ทำเลยสักวัน ขอเพียงแค่มีเงินค่าแรงให้ก็ดีแล้ว ดีกว่าที่พวกเขาต้องว่างงานทุกวันเช่นนี้”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ชายชราเมื่อวานกับชายสวมเสื้อคลุมแพรไหมอายุสามสิบถึงสี่สิบปีที่มีใบหน้าเศร้าหมองก็เดินเข้าประตูศาลาว่าการเข้ามา พอมองเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีชายชราก็ชี้มาทางที่พวกเขายืนอยู่แล้วกล่าวว่า “นายท่านขอรับ แม่นางผู้นี้คือคนที่ต้องการจะซื้อหมู่บ้านกับที่ดินของเรา”
ชายคนนั้นพยักหน้าให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่พูดอะไรมาก ล้วงเอาโฉนดที่ดินกับโฉนดบ้านออกมาจากในอกแล้วก็ส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางตรวจดูก่อน นี่คือโฉนดบ้านของหมู่บ้านกับโฉนดที่ดินของที่ดินห้าร้อยไร่ที่นั่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมาแล้วก็ตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่งให้เมิ่งฉี
เมิ่งฉีเองก็ตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน ดูเสร็จแล้วจึงกล่าวว่า “ไม่ผิด” พูดจบก็เอาของสิ่งนั้นส่งให้กับเจ้าหน้าที่สารบรรณ
เจ้าหน้าที่สารบรรณเขียนเอกสารการซื้อขายที่ดินหนึ่งฉบับแล้วก็ให้พวกเขาทั้งสองคนประทับลายมือลงไป อีกทั้งยังดำเนินการตามขั้นตอนการโอนให้กับพวกเขา พอเสร็จสิ้นทุกกระบวนการเมิ่งฉีก็ล้วงเอาตั๋วเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วก็ส่งให้ชายคนนั้น “ท่านตรวจนับให้ละเอียดเสียก่อนว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้องหรือไม่”
ชายคนนั้นรับมาตรวจนับอย่างละเอียด แล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “ครบถ้วน” พูดจบก็ยัดตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากศาลาว่าการไป ชายชราเดินตามหลังเขาไปติดๆ
เมิ่งฉีเองก็เอาโฉนดที่กับโฉนดบ้านยัดเข้าไปในอกเสื้อ
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ใต้เท้าเปาเจ้าคะ หลายวันนี้ข้ากับพี่รองยังมีธุระอื่นต้องไปทำอีก เกรงว่าจะมาไม่ได้ทุกวัน ธุระในโรงหัตถกรรมต้องขอรบกวนท่านให้เข้าไปดูแลด้วยนะเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไม่ยาก” เปาชิงเหอรับปากอย่างง่ายดาย “ข้าจะเข้าไปดูให้ทุกวัน พวกเจ้าสบายใจได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินออกจากศาลาที่ว่าการ
เจ้าหน้าที่สารบรรณยังตกอยุ่ในภวังค์ ลองถามหยั่งเชิงดูว่า “ใต้เท้าขอรับ แม่นางผู้นี้เป็นญาติฝ่ายใดของท่านหรือ เหตุใดถึงมีความสามารถเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ซื้อโรงหัตถกรรมได้ อีกทั้งยังซื้อหมู่บ้านได้อีก”
เปาชิงเหอมองหน้าเขาแวบหนึ่ง
เจ้าหน้าที่สารบรรณรู้ตัวว่าตัวเองถามล่วงเกินไป จึงรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ใต้เท้าอย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ผู้น้อยมิได้มีความนัยอื่นแอบแฝง เพียงแต่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามขึ้น”
เปาชิงเหอไม่ได้กล่าวโทษเขา แต่กลับกระซิบกระซาบที่ข้างหูเขาเบาๆ
เจ้าหน้าที่สารบรรณได้ยินแล้วก็เบิ่งตาโต ชี้ไปที่ประตูศาลาว่าการที่ไม่เห็นร่างของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว กล่าวอย่างตื่นตะลึงจนพูดติดอ่างว่า “นาง นาง นางคือ…”
เปาชิงเหอพยักหน้า
เจ้าหน้าที่สารบรรณมองไปที่ประตูศาลาว่าการ แล้วก็หันมามองหน้าเปาชิงเหอ แล้วก็หันไปมองที่ประตูศาลาว่าการอีกหน ทำเช่นนี้กลับไปกลับมาหลายต่อหลายครั้ง แล้วจู่ๆ ก็ตบเข่าฉาดใหญ่แล้วถามขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ใต้เท้าขอรับ ต่อหน้าของแม่นางเมิ่งข้าไม่ได้เสียมารยาทใช่ไหมขอรับ”
เปาชิงเหอตกใจจากท่าทางของเขา ขมวดคิ้วพร้อมกับตำหนิเขาว่า “ตกใจกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”
น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่สารบรรณก็เปลี่ยนไป “ไอ้หยา นายท่านขอรับ นี่เป็นถึงว่าที่พระชายาซื่อจื่อเลยนะขอรับ ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็อาจจะไม่ได้พบผู้ที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ท่านจะไม่ให้ข้าตื่นเต้นได้อย่างไร”
เปาชิงเหอขมวดคิ้วมากกว่าเดิม สีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย “ที่ข้าบอกฐานะของนางให้เจ้าทราบก็เพื่อว่าต่อไปถ้ามีอะไรเจ้าจะได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นาง ไม่ใช่ให้เจ้าร้องโหวกเหวกเช่นนี้”
เจ้าหน้าที่สารบรรณเอามือมาปิดปากตัวเอง กวาดตามองภายในศาลาที่ว่าการไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก็เอามือตัวเองลง ยิ้มแหยๆ อย่างโง่งม
เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งฉีไม่รู้เลยว่าหลังจากที่พวกเขาออกไปแล้วได้เกิดอะไรขึ้น แต่กลับตรงไปที่ร้านที่เห็นสาวใช้ของพระชายารองอยู่ที่ในวันนั้น แล้วก็ลงจากรถม้าเดินเข้าไปข้างใน
ร้านนั้นยังเปิดร้านอยู่เช่นเดิม เถ้าแก่ในร้านกับพนักงานต่างก็นั่งทอดถอนใจอย่างไร้ชีวิตชีวาและห่อเ**่ยวอยู่ที่โต๊ะคิดเงิน พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็คิดว่าเป็นลูกค้า กล่าวขึ้นว่า “ร้านของเราใกล้จะปิดกิจการแล้ว ของในร้านก็ไม่ขายแล้วขอรับ”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เถ้าแก่ยังนั่งถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มอยู่บนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กลับ ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เปิดร้านอยู่ดีๆ ทำไมปิดกิจการเสียล่ะ”
“เพราะว่าเจ้าของร้านคนเดิมของเราขายร้านไปแล้ว พวกเราก็ถูกเลิกจ้างเช่นกัน” เถ้าแก่ตอบโดยไม่เงยหน้า
พนักทั้งหลายต่างก็เอาคางเกยบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ถ้าเช่นนั้นสินค้าในร้านจะจัดการอย่างไรหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เถ้าถูกถามจนเกิดความรำคาญ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ดีว่า “ของในร้านก็ต้องขายไปพร้อมกันอยู่แล้วสิ หรือว่าจะให้เอากลับไปเผาที่บ้าน”
ไม่นึกว่าในเมืองหลวงจะมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ ซื้อร้านก็ได้ของในร้านทั้งหมดด้วย แอบคิดว่าตัวเองจะได้กำไรอีกแล้ว ส่งเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นเบาๆ แล้วจึงลูบไล้ผ้าแพรไหมอันเกลี้ยงเกลาเป็นมันวาวเหล่านั้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “สิ่งทอที่ดีเช่นนี้หากเผาทิ้งก็น่าเสียดายแย่”
เถ้าแก่ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “ข้าว่าพวกเจ้าเป็นอะไรกัน ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ขายของในร้าน…” จนกระทั่งมองเห็นเมิ่งฉีที่อยู่ด้านหลังเมิ่งเชี่ยนโยว ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมาแม้แต่คำเดียว
พนักงานได้ยินน้ำเสียงเขาแปลกไปก็เงยหน้าขึ้นมองตามๆ กัน
เถ้าแก่จำเมิ่งฉีได้ว่าเป็นคนที่ซื้อร้านไปจากสาวใช้ของพระชายารอง ลนลานจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “เถ้าแก่ ไม่สิ ไม่ คุณชาย ข้าน้อยไม่ทราบว่าท่านจะมา เมื่อครู่นี้ได้ล่วงเกินแม่นางผู้นี้ไปแล้ว ท่านอย่าได้กล่าวโทษเลยนะขอรับ”
เมิ่งฉีขมวดคิ้วแล้วก็เดินเข้าไปหา
เถ้าแก่เห็นสีหน้าท่าทางของเขาดูไม่ค่อยดีจึงพูดเสียงเบาไม่ชัดเจนเท่าไหร่นักว่า “หลังจากที่ท่านซื้อร้านนี้ไปก็ไม่ได้มาหลายวัน พวกเราไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไรจึงไม่กล้าไปไหน ได้แต่รออยู่ที่ร้านเท่านั้น”
“ข้าเป็นคนจากเมืองอื่น ไม่รู้กฎเกณฑ์ของคนที่นี่ว่าซื้อร้านก็ได้สินค้าจากในร้านด้วย ตอนนั้นเราตกลงกันว่าหลังจากนี้อีกห้าวันถึงจะส่งมอบ วันนี้ข้าผ่านมาทางนี้พอดีจึงได้แวะเข้ามาดู” เมิ่งฉีกล่าว
เถ้าแก่รีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าหลายวันนี้ถึงไม่เห็นท่านมา ส่วนเถ้าแก่ร้านอีกสี่ร้านก็รอท่านจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“ทำไมหรือ” เมิ่งฉีถาม
“ร้านของพวกเขาเป็นร้านที่เช่าไว้ วันนั้นหลังจากที่พวกท่านเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนแล้ว เถ้าแก่คนเดิมของพวกเราได้ส่งคนไปบอกพวกเขาเอาไว้ว่าให้พวกเขาย้ายออกภายในห้าวัน แต่ว่าทุกร้านต่างก็มีกิจการที่มั่นคงแล้ว มีหรือที่พวกเขาจะยอมย้ายออกไป อีกอย่างเวลาแค่ห้าวันนั้นมันฉุกละหุกเกินไป พวกเขาหาสถานที่ที่เหมาะสมไม่ได้ ตอนนี้กำลังรอให้ท่านมาปรึกษาหารือเรื่องการทำสัญญาเช่าร้านอยู่ขอรับ” เถ้าแก่พูดจบก็พูดอย่างตะกุกตะกักขึ้นอีกว่า “เอาอย่างนี้ดีไหมขอรับ ให้ข้าน้อยไปตามเถ้าแก่ร้านมาตอนนี้เลย ให้พวกเขามาคุยกันต่อหน้าท่าน”
เมิ่งฉีพยักหน้า “ไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่”
เถ้าแก่ขานรับ แล้วตำหนิพนักงานที่กำลังยืนเหม่อลอยอยู่ว่า “ยังยืนเฉยอยู่ได้ ต่อไปท่านนี้ก็คือเถ้าแก่คนใหม่ของเรา ยังไม่รีบไปชงชามาให้เถ้าแก่อีก”
พวกพนักงานราวกับได้ตื่นจากฝัน ต่างก็ยื้อแย่งกันไปข้างหลังเพื่อไปต้มน้ำร้อนมาชงชา
เถ้าแก่ก็รีบเดินออกไปตามคน
พริบตาเดียวภายในร้านก็ไม่มีคนอยู่