ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 68-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 68-1 เชือดไก่ให้ลิงดู
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เอามือทำท่าทางราวกับว่ากำลังแคะหูตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูหมิ่นและยั่วยุ “เป็นผู้ชายก็รีบลงมือสิ อย่าทำตัวเป็นเหมือนหมาบ้าที่เอาแต่เห่าโวยวาย”
คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียงดังเซ็งแซ่ ต่างก็มองนางด้วยที่ตาที่เหมือนกับว่ากำลังดูคนบ้าอยู่ก็มิปาน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินนางพูดประโยคนี้จบ ทุกคนต่างก็ถอยออกอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้
ชายฉกรรจ์ทั้งสองนายที่ยืนอึ้งอยู่ก็รู้สึกตัวขึ้น เขาก็ชูไม้พลองขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้วยใบหน้าดุร้าย โดยที่ไม่รอให้ชายผู้นั้นได้สั่ง ร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “ข้าจะฆ่าเจ้านางเด็กสมควรตาย”
กลุ่มคนส่งเสียงร้องตกใจโดยมิได้นัดหมาย
เถ้าแก่ร้านต่างๆ ยิ่งตกใจจนต้องถอยหลังออกมา
เมิ่งฉีเคลื่อนที่เอาตัวมาบังเมิ่งเชี่ยนโยวไว้อย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย บอกชิงหลวนกับจู๋หลีด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ต้องดูฝีมือพวกเจ้าแล้ว”
ชิงหลวนกับจู๋หลีได้รับการฝึกฝนเป็นองครักษ์เงามาตั้งแต่เด็ก ผ่านการคัดเลือกหลายต่อหลายครั้งจนกลายมาเป็นองครักษ์เงาของพระชายาฉี ฝีมือไม่ด้อย ออกไปรอรับมือโดยไม่รอให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองนายได้มาถึงตัวเมิ่งเชี่ยนโยว ถีบไปคนละที
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนลอยออกไปพร้อมกัน กระแทกลงบนพื้นอย่างแรงจนฝุ่นคละคลุ้งไปหมด ทำให้กลุ่มคนที่มาดูมุงดูต่างก็ไอแค่กๆ จากเศษฝุ่นผง
เถ้าแก่เหล่านั้นต่างก็ตกใจจนตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า นับตั้งแต่เมื่อกี้ปากยังไม่ได้หุบอย่างสนิทสักที
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนที่มามุงดู ตกใจจนแทบจะกัดลิ้นตัวเองทิ้ง
ชายฉกรรจ์ทั้งสองกระแทกลงพื้น แล้วก็หมดสติไปในทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวตีหน้าขรึม จงใจตำหนิสองคนนั้นว่า “บอกให้พวกเจ้าทั้งสองคนทำให้พวกเขาฟันร่วงมิใช่หรือ ทำไมถึงถึงทำให้คนหมดสติไปล่ะ”
ชิงหลวนกับจู๋หลีพอได้ยินนางตำหนิก็รีบกล่าวขออภัยทันทีว่า “แม่นาง พวกเราผิดไปแล้วเจ้าค่ะ รับรองว่าต่อไปจะไม่ลงมือหนักเช่นนี้อีก”
นี่ก็ไปตามรูปแบบทั่วไปที่เมื่อได้รับผลดีแต่ยังทำเป็นว่าไม่พอใจ ชายผู้นั้นโมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา ชี้หน้าด่าเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เจ้าเด็กสมควรตาย เจ้าอย่ากำแหงนัก เมื่อกี้นี้พวกเราประมาทเกินไปถึงเสียท่าสาวใช้สองคนได้ ข้าอยากจะดูว่าพวกนางจะจัดการกับพวกเราหลายคนได้อย่างไร”
พูดจบก็โบกมือให้กับชายฉกรรจ์ที่เหลือ “พวกเจ้าทั้งหมดเข้าไปพร้อมกันเลย”
เหล่าชายฉกรรจ์นั้นโอหังจนเคยชินแล้ว บัดนี้เสียท่าให้กับสาวใช้สองคนก็รูกสึกโมโหเป็นอย่างมาก คิดอย่างเดียวว่าจะเอาศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา ต่างก็ชูไม้พลองขึ้นร้องตะโกนแล้วก็พุ่งเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงเมิ่งฉีถอยหลังออกมาหลายก้าว สั่งชิงหลวนกับจู๋หลีสองคนว่า “จัดการให้จบภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ข้าอยากเห็นพวกเขาดิ้นพล่านก้มหาฟันไปทั่วพื้น”
องครักษ์เงาปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านาย ทั้งสองคนตอบรับโดยไม่ลังเล ออกไปรอรับการต่อสู้
ถึงแม้ทั้งสองคนนี้จะมีวรยุทธ์ไม่ด้อย แต่อีกฝ่ายก็คือชายตัวโตที่ถือไม้พลอง ในตอนแรกทั้งสองคนก็ไม่ได้เปรียบอะไรนัก
คนที่เข้ามามุงดูต่างก็กลัวว่าไม้พลองจะลอยเข้ามาทำร้ายตัวเองได้ จึงถอยออกไปหลายก้าว
ชายฉกรรจ์ทั้งหลายก็เป็นแค่ชั้นวางต้นไม้* ปกติอาศัยแค่มีคนมากกว่า ร่างกายสูงใหญ่ วันนี้ได้มาเจอเข้ากับผู้มีวรยุทธ์สูงส่งอย่างชิงหลวนและจู๋หลีก็ทำอะไรไม่ได้ หลังจากต่อสู้กันไปกันมาชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นก็ถูกชิงหลวนเตะจนกระเด็นออกไป จู๋หลีก็ไม่ยอมแพ้ฉวยโอกาสที่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งยืนอึ้งอยู่เตะเขาจนกระเด็กออกไปเช่นกัน
ชายฉกรรจ์ที่เหลือต่างก็ตื่นตะลึง สองคนแสดงฝีมือเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้พวกเขาล้มระเนระนาดลงไปกับพื้น
ชายคนที่ต่อว่าพอเห็นท่าไม่ดีก็คิดจะหันหลังแล้ววิ่งหนีออกไปจากฝูงคน
เมิ่งเชี่ยนพูดน้ำเสียงเย็นชา “ชิงหลวน ยังเหลืออีกคน”
ชิงหลวนกระโดดทีเดียวก็ตามหลังเขาไปได้ กระชากคอเสื้อแล้วโยนเขากลับมา
ชายผู้นั้นยืนไม่มั่นคง โงนเงนหลายครั้งแล้วก็นอนคว่ำหน้าลงต่อหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าทางเหมือนกับว่าตกใจ ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วจงใจพูดขึ้นว่า “เจ้าคำนับอะไรขนาดนี้ ข้ารับไม่ไหวหรอก”
กลุ่มคนที่มามุงดูต่างก็ส่งเสียงหัวเราะขบขัน
ชายผู้นั้นรู้แล้วว่าตัวเองเจอเข้ากับผู้ที่เหนือกว่าแล้ว พลันรีบร้อนขอความเมตตาโดยเร็ว “แม่นางไว้ชีวิตด้วย ข้ามีตาหามีแววไม่ที่ไปล่วงเกินแม่นางเข้า หวังว่าแม่นางจะปล่อยข้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยองๆ แล้วพิจารณาดวงตาของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน จงใจตีความหมายคำพูดของเขาผิดให้ไป “แววตาของเจ้ายังอยู่ข้างในนั้นอยู่มิใช่หรือ? เจ้าจะบอกว่าตัวเองมีไม่มีแววตาได้อย่างไร อยากให้ข้าช่วยเจ้าควักลูกตาออกมาหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสบายๆ ชายผู้นั้นได้ยินนางพูดด้วยท่าทางจริงจังก็ตกใจจนเกือบหมดสติ แล้วก้มหน้าโขกพื้นเสียงดัง “โป๊กโป๊ก” พร้อมกล่าวขึ้นว่า “แม่นางได้โปรดไว้ชีวิตด้วย แม่นางไว้ชีวิตข้าด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจ พูดเสียงดังว่า “ฆ่าคนผิดกฎหมายบ้านเมือง ข้าบอกตอนไหนว่าจะเอาชีวิตเจ้า เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้”
ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดว่าไว้ชีวิตด้วยอีกแล้ว ถามด้วยความเกรงกลัวว่า “ถ้าเช่นนั้นแม่นางจะทำเช่นไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน กวาดตามองชายฉกรรจ์ทุกคนแวบหนึ่ง ยิ้มตาหยีแล้วพูดเสียงใสว่า “เอาตามที่เจ้าว่า ทิ้งฟันของพวกเจ้าไว้ก็พอ”
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ต้องพูดถึงชายที่กำลังคุกเข่าอยู่เลย ขนาดกลุ่มคนที่มามุงดูอยู่พอได้ยินคำพูดของนางต่างก็รู้สึกขนลุกขนชันกันขึ้น
เมิ่งฉีรู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี รู้ว่านางทำได้ตามที่พูด แต่เกรงว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้มีเรื่องเดือดร้อนตามมา พูดจาหว่านล้อมนางเสียงต่ำว่า “น้องสาว พอได้แล้ว ปล่อยพวกเขาไปสักครั้งเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกริ่มหันไปมองหน้าเมิ่งฉีแล้วกล่าวว่า “พี่รองเจ้าคะ ท่านยังไม่รู้จักข้าอีกหรือ นิสัยของข้านั้นถ้ามีแค้นต้องชำระ วันนี้ถ้าไม่ได้ถอนฟันพวกนั้นออกมา ข้าจะนอนไม่หลับนะเจ้าคะ”
เมิ่งฉีอ้าปากหมายจะพูดจาเกลี้ยกล่อมอีก เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งชิงหลวนกับจู๋หลีทั้งสองคนทันทีว่า “ลงมือได้!”
ทั้งสองคนตอบรับ ชิงหลวนก้มลงดึงตัวชายผู้นั้นที่ยังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วชกไปที่ปากของเขาอย่างแรง
ชายผู้นั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เอามือปิดปากตัวเองครึ่งนั่งครึ่งนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
ชายฉกรรจ์คนที่เหลือต่างก็ตกใจ ต่างก็แทรกตัวเขาไปกลางฝูงคน
จู๋หลีก็ทำตาม
ถนนทั้งสายก็มีเสียงร้องโอดครวญดังระงม
ในกลุ่มคนที่มามุงดูนั้นบางคนก็รู้สึกทนไม่ได้ บางคนก็รู้สึกสะใจไม่น้อย ยังมีบางคนที่รู้สึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจิตใจโหดเ**้ยมกล้าสั่งให้คนทำร้ายคนจนฟันร่วงจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน ยิ้มละไมถามชายผู้นั้นที่เจ็บปวดจนพูดไม่ได้ว่า “ถูกคนตีจนฟันร่วงหมดปากรสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชายผู้นั้นเอามือกุทปาก เลือดสดๆ ทะลักออกมาไหลหยดลงบนพื้น จ้องมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหวาดผวาพูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม กล่าวเสียงเ**้ยมว่า “ไสหัวไป ต่อไปอย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอยู่ที่ถนนเส้นนี้อีก”
ทุกคนไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บปวดนี้แล้ว ต่างก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไป
ฝูงชนที่มามุงดูพอเห็นพวกเขามีสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ก็หัวเราะเสียงดัง
เก้าแก่ทั้งหลายกลัลบเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผาก มองหน้ากันอย่างตกใจ
ได้สั่งสอนคนพวกนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกสบายอกสบายใจ แม้แต่น้ำเสียงในยามพูดที่เปล่งออกมายังสนุกสนานรื่นเริง “ไปกันเถอะ มีเรื่องอะไรพวกเรากลับห้องก่อนค่อยคุยกัน”
พูดจบก็เดินเข้าร้านนำไปก่อน
พนักงานที่มุงดูที่หน้าประตูตลอดเวลาต่างก็ถอยห่างอย่างตกอกตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเหมือนว่าไม่เห็นท่าทางหวาดกลัวของพวกเขา กลับนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมนแล้วก็ค่อยๆ ดื่ม แล้วขมวดคิ้วมุ่น
พนักงานคนหนึ่งที่มีความกล้าถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “แม่นางขอรับ น้ำชาเย็นแล้วใช่หรือไม่? ต้องการให้พวกเราไปเหลี่ยนให้ไหมขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาฝาปิดถ้วยน้ำชาแล้วส่งถ้วยน้ำชาให้เขา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ขอบใจ”
พนักงานยื่นมืออันสั่นเทามารับไป แม้แต่ถ้วยน้ำชาของเมิ่งฉีที่วางอยู่ก็นำไปด้วย ไม่ทันไรก็เปลี่ยนถ้วยน้ำชาถ้วยใหม่เข้ามา เอาวางไว้ข้างหน้าของทั้งสองคนอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยน้ำชาขึ้น เม้มปากจิบชาร้อนๆ ในนั้น
เถ้าแก่ผู้หนึ่งกล่าวกับเมิ่งฉีด้วยความเคารพว่า “คุณชายขอรับ พวกเราตกลงกันแล้วว่าค่าเช่าพวกเราจะเริ่มคิดตั้งแต่เดือนนี้ดีกว่า”
เมิ่งฉีรู้ว่าพวกเขาตกใจจากความโหดเ**้ยมของเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวกับทุกคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องหรอก หลายเดือนนี้พวกเจ้าก็เช่าใช้ร้านอย่างสบายใจเถิด ถึงตอนสิ้นปีถ้าพวกเจ้าตัดสินใจเช่าต่อพวกเราค่อยมาทำสัญญาเช่ากันใหม่”
ทุกคนหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่สบายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังมองตัวเองอยู่ ตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำชาไป