ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 80
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 80 ห้ามเข้าใกล้จวนในระยะสามเชียะ
หวงฝู่อี้เซวียนทำราวไม่ได้ยิน คลึงถ้วยชาในมือ ชักสีหน้าเข้ม ไม่พูดไม่จา
นายท่านฮั้วกลับรู้สึกถึงบารมีคร้ามเกรงกดดันลงมา โน้มอยู่ในท่าทำความเคารพนิ่ง เหงื่อผุดซึมออกมาจากจอนผม
ฮั้วเซียงหลิงก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว รีบย่อทำความเคารพ “ผู้น้อยฮั้วเซียงหลิงคำนับซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ยังคงไม่พูดอะไร
สองพ่อลูกยังคงอยู่ในท่าทำความเคารพ ไม่มีใครกล้าขยับ
ตอนที่นายท่านฮั้วไม่อาจทนรับความครั่นคร้ามนี้ กำลังจะเอ่ยปากพูด หวงฝู่อี้เซวียนถึงเอ่ยปากเรื่อยเฉื่อยออกมา “วันนี้พวกท่านมาหาโยวเอ๋อร์ด้วยเรื่องอันใด”
นายท่านฮั้วน้อมคำนับตอบ “เรียนซื่อจื่อ หลายวันก่อนคนในเรือนของผู้น้อยสูญหายไปสิบกว่าคน ผู้น้อยส่งคนออกสืบหา พบว่าพวกเขาปรากฏตัวอยู่ในเรือนที่เพิ่งซื้อใหม่ของแม่นางเมิ่ง วันนี้จึงตั้งใจเข้ามาสอบถามว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“เรื่องเป็นมาอย่างไร ทุกคนต่างรู้แก่ใจดี ไยต้องแสร้งฟั่นเฟือนด้วยเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดเสียดสีอย่างไม่ไว้หน้า
นายท่านฮั้วไม่คิดว่าเขาจะตรงมาตรงไปเช่นนี้ ชะงักอึ้ง ครู่หนึ่งถึงพูดเสียงอ่อน “แต่ข้าซื้อคนพวกนั้นมา แม่นางเมิ่งมาชิงตัวพวกเขาไปเช่นนี้ ควรมีคำตอบให้ข้าหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนวางถ้วยชาในมือลง มองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “อ้อ ไม่ทราบว่าท่านมีสัญญาทาสของพวกเขาหรือไม่”
ในตอนนั้นเพียงแลกเปลี่ยนพวกเขามา ด้วยกลัวจะสร้างความเดือดร้อน ถึงจัดเรือนนอกเมืองให้พวกเขาเข้าพัก ไฉนเลยจะมีสัญญาทาสได้ นายท่านฮั้วถึงกับสะอึก
หวงฝู่อี้เซวียนถามต่อ “เมื่อไม่มีสัญญาทาส พวกเขาก็เป็นอิสระ ท่านพูดได้อย่างไรว่าซื้อตัวพวกเขามา”
นายท่านฮั้วสะอึกกึกอีกครั้ง
ฮั้วเซียงหลิงกลับตอบว่า “ซื่อจื่อ ในตอนนั้นเพื่อแลกเปลี่ยนพวกเขามา บิดาข้าต้องออกแรงไปไม่น้อย ทั้งใช้เงินและเส้นสาย จู่ๆ แม่นางเมิ่งก็เข้ามาเอาตัวพวกเขาไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่เกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ”
หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มถาม “คุณหนูฮั้วพูดก็ถูก ไม่ทราบว่าตอนนั้นนายท่านฮั้วยอมเสี่ยงอันตรายแลกตัวพวกเขามาเพื่อจุดประสงค์ใดเล่า”
เพื่อจุดประสงค์ใด ก็เพื่อให้เหวินเปียวติดค้างหนี้บุญคุณ ให้ตนเองได้แต่งงานกับเหวินเปียวอย่างราบรื่น แน่นอนว่าฮั้วเซียงหลิงได้แต่พูดในใจ ไม่กล้าปริปากออกมาเด็ดขาด
พ้นประตูเข้ามา ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนกลั่นแกล้ง ต่อให้นายท่านฮั้วโง่แค่ไหนก็รู้ว่าต้องการจะก่อกวนเขา ซื่อจื่อระบายความแค้นมาที่เขา หากเป็นในอดีต เขาคงกล่าวลากลับไปอย่างรู้ความ ภายหน้าค่อยหาโอกาสเข้ามาใหม่ แต่จากการกระทำของเมิ่งเชี่ยนโยวในวันนี้ หากวันนี้เขาถอยออกไป ภายหน้าคงยากจะได้ก้าวพ้นประตูจวนเมิ่งนี้แล้ว คิดกัดฟันพูดว่า “ความเป็นมาเป็นไปของเรื่อง ผู้น้อยบอกแม่นางเมิ่งไปแล้ว ที่พวกเรามาในวันนี้มีเพียงข้อเรียกร้องเดียว เอาคนพวกนั้นมาแลกกับนายน้อยเหวิน จะเป็นหรือตายพวกเราก็ยินดี”
“เมื่อนายท่านฮั้วสืบรู้ว่าคนอยู่ที่เรือนข้า เช่นนั้นก็ต้องรู้ว่าเหวินเปียวสุขสบายดี คำว่าเป็นตายของท่านนี้หมายความว่ากะไร อีกอย่างคนพวกนั้นก็วิ่งโร่มาเรือนของข้าเอง หาใช่ข้าส่งคนไปชิงพวกเขามาจากเรือนของท่าน เหตุใดข้าต้องนำตัวเหวินเปียวมาแลกกับท่านด้วย”
นายท่านฮั้วเองก็เป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง เพียงแต่หวงฝู่อี้เซวียนมีสถานะสูงศักดิ์ จึงยอมก้มหัวโอนอ่อนให้เขา ตอนนี้เห็นเขาและเมิ่งเชี่ยนโยวแสดงออกว่าจะเอาตัวคนพวกนั้นไปแน่แล้ว ทำให้ตัวเองไร้หมากต่อรอง ต่อไปก็จะบีบบังคับเหวินเปียวไม่ได้ ไฟโทสะปะทุ น้ำเสียงเจือแววแข็งกร้าว “ตอนข้ามาครั้งก่อน นายน้อยเหวินเหมือนจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ ไม่เจอไม่กี่วันกลับแข็งแรงสดใส สาเหตุมาจากอะไรนั้น คิดว่าแม่นางเมิ่งน่าจะรู้แก่ใจดี คงต้องการจะให้พวกเราตัดใจ จึงจงใจวางแผนเช่นนี้ บัดนี้พวกท่านเอาตัวคนของสำนักคุ้มภัยไปแล้ว จะไม่ให้พวกเราเข้ามาตอแย ใช้พวกเราแลกตัวเหวินเปียวได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเราก็ไม่สนใจแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้อีกด้าน มองสองพ่อลูกอย่างงุนงง ใบหน้ากังขา “การกระทำของนายท่านฮั้วช่างพิลึกพิลั่นนัก คุณหนูฮั้วต้องการแต่งงานเป็นภรรยาเหวินเปียว หากเขาตาย พวกท่านจะแบกศพกลับไปทำอะไร”
“ข้าสาบานเอาไว้ ชาตินี้จะแต่งงานกับเหวินเปียวเท่านั้น หากตอนเขามีชีวิตไม่ยินยอมแต่งกับข้า เขาตายข้าก็จะกอดป้ายหลุมศพแต่งงานกับเขา” ฮั้วเซียงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องจิ๊ๆ “คุณหนูฮั้วช่างรักเดียวใจเดียวยิ่งนัก เสียดายที่บุปผาร่วงมีใจ สายธารไหลไร้รัก คุณหนูฮั้วไม่ได้ดั่งใจครอบครอง ความรักเปลี่ยนเป็นแค้น คิดจะทำลายเหวินเปียว ให้ตกนรกหมกไหม้ไปพร้อมกันเช่นนั้นหรือ”
ฮั้วเซียงหลิงเงยหน้า พูดอย่างไม่ถ่อมตนแต่ก็ไม่แข็งกร้าว “แม่นางเมิ่งเข้าใจผิดแล้ว หากนายน้อยเหวินไม่กลับเมืองหลวง เซียงหลิงคิดว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน ถือครองพรหมจรรย์ไปทั้งชีวิต แต่เขากลับมาแล้ว ทำให้เซียงหลิงเกิดความคิดนี้ บัดนี้เขากลับรั้นไม่ตบแต่งข้าเป็นภรรยารอง เช่นนั้นข้ายินดีอยู่กับป้ายหลุมศพเขาไปทั้งชีวิตก็ได้”
ฟังนางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวเด๊าะลิ้น มองคุณหนูฮั้วผู้มีชาติตระกูลการศึกษา กิริยาเรียบร้อยอ่อนโยน ไม่คิดว่าจะทำเรื่องสุดโต่งเช่นนี้ เมื่อไม่ได้ก็ขอทำลายเขาให้ย่อยยับ
หวงฝู่อี้เซวียนกลับชักสีหน้าถมึงทึง “นายท่านฮั้วช่างสอนสั่งได้ดีนัก ยอมโอนอ่อนบุตรสาวให้มีความคิดทำลายผู้อื่นและตัวเองเช่นนี้”
นายท่านฮั้วหน้าแดงก่ำ บุตรสาวมีนิสัยดื้อรั้น เพราะเรื่องนี้ทำให้เข้าต้องกลัดกลุ้มใจแทนนางมาตลอด แต่นางใช้ความตายมาบีบคั้นนับครั้งไม่ถ้วน ตนเองและฮูหยินก็อับจนปัญญา จึงยอมตามใจนางมาตลอด ทว่าบัดนี้ เหวินเปียวก็อยู่เมืองหลวง นางมีความหวัง ยิ่งให้ดื้อรั้นไม่ฟังใคร เขาเองก็กลัวบุตรสาวจะคิดสั้น ถึงต้องยอมแบกหน้าเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เช่นนั้นด้วยบุญคุณที่เขาเคยช่วยคนจากสำนักคุ้มภัย หากวันใดสำนักคุ้มภัยเวยหย่วนฟื้นคืนได้อีกครั้ง เขาก็จะได้เป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของสำนักคุ้มภัย
ความละอายใจ ความคิดถึงตลอดห้าปีที่ผ่านมา สำหรับฮั้วเซียงหลิงแปรเปลี่ยนกลายเป็นความดื้อดันทุรังไปนานแล้ว ขอเพียงให้ได้มา นางยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง ที่วันนี้เข้ามาพร้อมนายท่านฮั้ว ก็เพื่อบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ขอเพียงให้ได้สมดังหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวตกตะลึงแล้วพูดว่า “หากไม่ว่าเป็นหรือตาย ข้าก็ไม่ยอมปล่อยคนเล่า คุณหนูฮั้วคิดจะทำอย่างไร”
ฮั้วเซียงหลิงเงยหน้า รุกเร้าอย่างไม่ลดละ “แม่นางเมิ่ง เรื่องการแต่งงานของท่านและซื่อจื่อเป็นที่รับรู้ไปทั้งเมืองหลวงแล้ว ท่านย่อมต้องเข้าใจความเจ็บปวดทรมานที่ไม่อาจได้ดังหวังนี้ เห็นแก่ที่เราต่างก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน ท่านรับปากให้ข้าไถ่ถอนตัวเหวินเปียวเถอะ”
“เพราะข้าเป็นผู้หญิง ข้าถึงไม่ยอมให้ท่านไถ่ถอนเหวินเปียว เขามีครอบครัว มีภรรยาและบุตร หากข้าตกลง ภรรยาและบุตรเขาจะทำอย่างไร ภรรยาของเขาต้องเข้าคุก ถูกตัดสินเป็นทาสหลวง ถูกขับออกไปขายพร้อมเขา เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาในช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิตที่แท้จริง หากข้ารับปาก จะให้เขาเอาภรรยาไปไว้ที่ไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเย็น
ฮั้วเซียงหลิงน้ำเสียงเร่งเร้า “ข้าไม่ได้คิดจะให้เขาทอดทิ้งภรรยาและบุตร ทั้งไม่ได้คิดจะครอบครองเขาเพียงคนเดียว ข้าเพียงต้องการให้เขามีสถานะให้ข้า ข้าจะไม่แก่งแย่ง ขอได้อยู่เป็นคนข้างกายเขาก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “คุณหนูฮั้วมีนิสัยดื้อดันทุรัง แม้แต่คนที่ตัวเองคะนึงหามาหลายปียังทำลายได้ ท่านมีสิทธิ์อะไรให้ข้าเชื่อวาจาท่าน ข้าบอกตามตรงก็ได้ คนในครอบครัวเหวินเปียวก็คือคนในครอบครัวข้า ดังนั้นข้าต้องปกป้องพวกเขา อภัยที่ข้าไม่อาจตอบรับคำขอของคุณหนูฮั้วได้ สำหรับคุณหนูฮั้ว ข้าว่าท่านปล่อยวางความดื้อรั้นนี้ แล้วไปหาความสุขอื่นเถอะ”
ฟังนางพูดจบ ฮั้วเซียงหลิงก็หัวร้อนฉับพลัน พูดโพล่งออกไปโดยไม่ผ่านการยั้งคิด “แม่นางเมิ่ง ว่ากันว่าท่านและซื่อจื่อมีความรักลึกซึ้งต่อกัน แต่บัดนี้เขาได้หมั้นหมายกับธิดาราชเลขาแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ปล่อยวาง ดื้อรั้นจะมาเมืองหลวงเล่า”
“หลิงเอ๋อร์ หุบปาก!” สิ้นเสียงนาง นายท่านฮั้วก็หน้าเปลี่ยนสี แผดเสียงตวาดนาง
หวงฝู่อี้เซวียนชักสีหน้าอึมขรึม พูดเสียงเย็นเยียบ “ชิงหลวน!”
ชิงหลวนรับคำเดินเข้ามา “ซื่อจื่อ!”
“จับตัวนางโยนออกไป! นับแต่นี้ไปหากเข้าใกล้จวนในระยะสามเชียะ ให้ใช้ท่อนไม้ฟาดจนตาย!”
ชิงหลวนรับคำ
สกุลฮั้วมีสถานะสำคัญในเมืองหลวง หากคุณหนูฮั้วถูกจับโยนออกไปจริงๆ นายท่านฮั้วจะต้องอับอาย และไม่มีทางยอมเลิกรา ถึงตอนนั้นตนเองจะมีคู่ปรับที่ยากจะต่อกรเพิ่มอีกคน คิดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสั่งห้ามชิงหลวน “ช้าก่อน!”
ชิงหลวนเดินมาถึงเบื้องหน้าฮั้วเซียงหลิงแล้ว ได้ยินคำสั่งเมิ่งเชี่ยนโยวรีบยั้งมือ
นายท่านฮั้วถอนใจโล่งอก
ฮั้วเซียงหลิงที่พอพูดออกไปถึงรู้สึกเสียใจ ได้ยินวาจาหวงฝู่อี้เซวียนตกใจถอยหลังหนึ่งก้าว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกปากสั่งห้ามชิงหลวน แอบโล่งใจลง
หวงฝู่อี้เซวียนมองนางอย่างไม่เห็นชอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มอ่อนให้เขา ให้เขาสงบสติอารมณ์ แล้วหันไปยิ้มพูดกับฮั้วเซียงหลิงที่ตื่นตกใจจนใบหน้าซีดขาว “คล้ายว่าคุณหนูฮั้วจะเข้าใจผิดเรื่องหนึ่ง ถูกต้องที่อี้เซวียนมีคู่หมั้นแล้ว แต่เขายังไม่ได้แต่งงานกัน จึงยังไม่มีผลใดๆ ข้าพูดเช่นนี้แล้วกัน หากอี้เซวียนแต่งงาน คนผู้นั้นไม่ใช่ข้า ต่อให้ข้ารักเขามากเพียงใด ข้าก็จะหันหลังกลับจากไป ไม่อาลัยอาวรณ์เด็ดขาด ไม่เหมือนคุณหนูฮั้วที่รู้ทั้งรู้ว่าเหวินเปียวแต่งงานแล้ว ยังหมายจะอ้างบุญคุณให้ตอบแทน สนองตอบความมักมากของตนเอง”
“พูดได้น่าฟัง” ฮั้วเซียงหลิงแค่นเสียงหึ “หากถึงเวลานั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะกระทำการคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าข้าก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่โกรธ ยังคงยิ้มอ่อนพูดว่า “เช่นนั้นเชิญคุณหนูฮั้วรอดูต่อไปว่า ข้าจะทำอย่างไรกันแน่”
น้ำเสียงฮั้วเซียงหลิงเริ่มเจือความกราดเกรี้ยว “ได้ ข้าจะรอดู ข้าอยากเห็นนักว่าแม่นางเมิ่งจะตบปากตัวเองอย่างไร”
“เช่นนั้น ข้าทำสัญญากับคุณหนูฮั้วเป็นอย่างไร ก่อนที่อี้เซวียนจะแต่งงาน ให้ท่านปล่อยวางความดื้อดึงของท่าน อดใจรอคอย หากข้าได้แต่งงานกับอี้เซวียน ท่านจะต้องตัดใจจะแต่งงานกับเหวินเปียว หากไม่ใช่ข้า ข้าจะจากไปอย่างองอาจ ตัดใจโดยเด็ดขาด”
ฮั้วเซียงหลิงแค่นเสียงผ่านลอดไรฟัน “ได้ ข้ารับปากเจ้า ข้าอยากเห็นนักว่า หญิงชนบทอย่างเจ้าจะสู้กับธิดาราชเลขา สู้กับกฎที่เคร่งครัดของราชสกุลได้อย่างไร”
“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำอย่างเบิกบาน “นับแต่นี้ไป คุณหนูฮั้วก็คอยเบิกตาชมว่า ข้าจะทำสำเร็จได้อย่างไร ทว่าก่อนหน้านั้น ข้าหวังว่าท่านจะไม่มาก่อกวนเหวินเปียวอีก หากท่านทำไม่ได้ ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแหวกทางให้นางลงแล้ว ฮั้วเซียงหลิงเองก็เป็นคนฉลาด ควรยอมความแต่โดยดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะถูกกระตุ้นเร้า หรือความปรารถนายังไม่บรรลุผล ให้ชิงชังโกรธแค้น พูดเสียงกร้าวออกไป “ไม่เกรงใจแล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ในเมืองหลวงนี้สกุลฮั้วของเราก็ไม่ใช่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันพูด เสียงดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “โยวเอ๋อร์ทำอะไรเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าเล่า คุณหนูฮั้วอยากลิ้มรสชาติสิ้นไร้ไม้ตอกในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่ แม้ข้าจะไม่เก่งกาจ แต่ความสามารถนี้ก็ยังพอมีอยู่บ้าง”
พอหวงฝู่อี้เซวียนลั่นวาจา หน้าผากนายท่านฮั้วมีเหงื่อผุดซึมไปทั่วพลัน โบราณว่าประชาไม่งัดข้อกับทางการ แม้สกุลฮั้วจะพอมีเส้นสายกับทางการอยู่บ้าง แต่ก็แลกเปลี่ยนมาด้วยเงินทองเท่านั้น หากอี้เซวียนคิดจะกลั่นแกล้งพวกเขาจริงๆ ไม่มีใครออกหน้าช่วยพวกเขาอย่างแน่แท้
ฮั้วเซียงหลิงก็เป็นคนฉลาด คิดถึงความเกี่ยวพันที่ร้ายแรงนี้ รีบหุบปาก ไม่กล้าพูดยั่วยุเมิ่งเชี่ยนโยวอีก
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมเลิกรา เค้นถามอีกครั้ง “คุณหนูฮั้วอยากลิ้มรสหรือไม่”
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้ เหงื่อก็ซึมออกมาทั่วร่างนายท่านฮั้ว เปียกซึมทั้งแผ่นหลังของเขาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่า เป็นอย่างที่ร่ำลือกัน ซื่อจื่อรักทะนุถนอมเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ยินยอมให้ใครเสียมารยาทต่อนาง คิดถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ที่ธิดาราชเลขาพาคนบุกมายั่วยุ ซื่อจื่อไม่เพียงสั่งคนโบยสาวใช้กลางถนนจนตาย ยังสั่งคนบังคับธิดาราชเลขามาดูการลงทัณฑ์ เหงื่อซึมไหลออกมาอีกครั้ง รีบพูดอย่างพินอบพิเทา “บุตรสาวผู้น้อยพลั้งปากไป ซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย”
หวงฝู่อี้เซวียนแค่นเสียงหึ “นายท่านฮั้วถือได้ว่ามีชื่อเสียงดีในเมืองหลวงนี้ อย่าให้บุตรสาวเพียงคนเดียวทำให้ชีวิตย่อยยับในยามแก่ กลับไปตั้งใจสอนสั่งให้หนักเถอะ”
นายท่านฮั้วรับคำ “ซื่อจื่อว่ากล่าวถูกต้องแล้ว ผู้น้อยกลับไปจะสั่งกักบริเวณนางขอรับ”
“ท่านพ่อ!” ฮั้วเซียงหลิงร้องเอะอะ
“หุบปาก!” นายท่านฮั้วตวาดนาง “เจ้าอยากให้พังพินาศไปทั้งตระกูลหรือไง”
ฮั้วเซียงหลิงรีบปิดปากเงียบ จับจ้องเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคียดแค้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแส พูดว่า “คุณหนูฮั้วควรจะปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันจะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง”
ต่อให้นายท่านฮั้วรักบุตรสาวมากเพียงใด ก็ไม่มีทางยอมเสียทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสกุล ได้ฟังรีบร้อนพูดทันที “ขอบคุณแม่นางเมิ่งที่ไม่เอาความบุตรสาวผู้น้อย วันนี้ข้าบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด วันหน้าจะส่งของขวัญมาขอขมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้พูด น้ำเสียงกระด้างของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “ชิงหลวน ส่งแขก!”
ชิงหลวนรับคำ เดินเข้ามา แสดงท่าผายมือให้นายท่านฮั้ว
นายท่านฮั้วไม่กล้าแม้แต่จะเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หมุนตัวเดินออกไป ฮั้วเซียงหลิงมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคียดแค้น แล้วเดินตามออกไป
เสียงกระด้างของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง “ถ่ายทอดคำสั่ง ภายหน้าหากมีคนไม่รู้กาลเทศะเข้าใกล้จวน ให้ตีไล่ออกไปทันที”
ชิงลวนรับคำเสียงกระจ่าง
นายท่านฮั้วโงนเงนเล็กน้อย แล้วฝืนบังคับเท้าเดินออกไป
ชิงหลวนเห็นทั้งหมดนี้ ออกมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตูจวน หลังจากพวกเขาขึ้นรถม้าจากไปไกล จึงกลับมารายงานปฏิกิริยาของนายท่านฮั้วแก่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “นายท่านฮั้วเองก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ วันนี้กลัวตื่นกลัวเพราะเจ้าได้เช่นนี้ ดูท่าต่อไปจะไม่กล้ามาที่นี่โดยง่ายอีก”
ตอนนี้เหลือเพียงสองคนแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกลับมายิ้มแย้ม พูดว่า “คนที่ทำการค้าได้เจริญรุ่งเรืองระดับนั้น จะต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ จักต้องไม่ยอมให้สกุลต้องล่มสลายเพื่อบุตรสาวเพียงคนเดียว เจ้าวางใจเถอะ นับแต่นี้ไป พวกเขาไม่มีทางกลับมาอีกเด็ดขาด”
“เจ้าส่งสัญญาณเตือนออกไป นายท่านฮั้วจะต้องจดจำไว้ขึ้นใจ ทว่า คุณหนูฮั้วดูยังดื้อดันลุ่มหลง จนขาดสติไปแล้ว หวังว่านางจะไม่ทำอะไรโง่ๆ ออกมา”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง นายท่านฮั้วเป็นคนฉลาด รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอให้เป็นเช่นนั้น”
ทั้งสองพูดคุยกัน ชิงหลวนก็รายงานขึ้นจากด้านนอก “นายท่าน ซื่อจื่อ เหวินฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนหน้างอร้องโอดครวญพลัน “คนหนึ่งเพิ่งจะไป อีกคนก็เข้ามา เมื่อไหร่จะหมดเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นเดินเข้าหาเขา ลูบศีรษะเขาเป็นการปลอบใจ “ข้าได้ตกลงจะรักษาโรคให้เหวินฮูหยินไว้แต่แรกแล้ว จะบอกปัดไม่ได้ ท่านไปพักผ่อนที่เรือนพี่รองก่อนเถอะ พอพวกนางไปแล้ว ข้าจะให้ชิงหลวนไปตามเจ้า”
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม เดินออกไป
สองพี่น้องเฝิงจิ้งเหวินเดินเข้ามาถึงทางเข้าเรือนแล้ว เห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไล่หลังกันออกมาจากในห้อง ให้นิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม “คำนับซื่อจื่อ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งฝีเท้าเข้าไปสองก้าว ประคองสองพี่น้องขึ้น “อาซ้อ ซูเอ๋อร์ อี้เซวียนไม่ใช่คนอื่น ต่อไปเจอหน้าไม่ต้องทำความเคารพชุดใหญ่ดอก”
สกุลเฝิงก็โดดเด่นในเรื่องการค้า ไม่เช่นนั้นท่านปู่ของเหวินซื่อคงไม่ให้สัญญาว่า หากใครได้แต่งงานกับเหวินฮูหยินคนนั้นจะได้เป็นนายใหญ่ร้านยาเต๋อเหรินคนต่อไป ดังนั้น สองพี่น้องเหวินฮูหยินจึงได้รับการอบรมด้านระเบียบมารยาทมาเป็นอย่างดี ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เหวินฮูหยินยกยิ้มพูดว่า “น้องสาวพูดอะไรเช่นนั้น ซื่อจื่อมีสถานะสูงส่ง พวกเราจะไม่ทำความเคารพได้อย่างไร หากแพร่งพรายออกไปคนจะหัวเราะเยาะเอาได้”
“เราอยู่ในเรือนของพวกเรากันเอง จะเล็ดลอดไปได้อย่างไร”
ว่าแล้วก็หันไปแนะนำหวงฝู่อี้เซวียน “ท่านนี้คือฮูหยินเหวินและน้องสาวของนาง”
หวงฝู่อี้เซวียนมองคนทั้งสองแวบหนึ่ง ผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วเดินผ่านพวกนางไปยังเรือนของเมิ่งฉีอย่างเย็นชา
กระทั่งเขาไปแล้ว สองพี่น้องถึงเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้อง เพิ่งจะนั่งลง เฝิงจิ้งซูก็โน้มตัวเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว ทำหน้าตื่นเต้นพูดว่า “พี่เมิ่ง ซื่อจื่อช่างมีใบหน้างดงามนัก!”