ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 84
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 84 ต้องตัดอวัยวะ
คนในเรือนก็ได้ยินเสียงเอะอะนี่ ต่างลุกขึ้นจุดตะเกียง
ชิงหลวนและจูหลีแต่งตัวเสร็จโดยไว เดินมาหน้าห้องเมิ่งเชี่ยนโยว ร้องเรียกเสียงเบา “นายท่าน!”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นแล้ว เดินออกมาโดยไม่จุดตะเกียง เร่งฝีเท้าเดินมาถึงลานเรือน พบเข้ากับเมิ่งฉีที่สาวเท้าเข้ามาในเรือนตนเอง สองพี่น้องเดินไปหน้าประตูใหญ่พร้อมกัน
คนเฝ้าประตูตกใจตื่นนานแล้ว ร้องตะโกนถามคนด้านนอก “ใครกันมาเคาะประตูเสียงดังกลางดึกเช่นนี้”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น “ข้าเป็นบ่าวจวนเปา เกิดเรื่องที่จวน นายท่านให้ข้ามาตามแม่นางเมิ่งไปขอรับ”
ยามวิกาลเช่นนี้ ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดเป็นความจริงหรือไม่ คนเฝ้าประตูไม่กล้าเปิดประตู คิดจะเข้าไปรายงานเมิ่งเชี่ยนโยวก่อน พอหันศีรษะไปก็เห็นทั้งสองคนเดินออกมาแล้ว
ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวโพล่งปากสั่งทันที “เปิดประตู!”
คนเฝ้าประตูปลดคานไม้ เปิดประตูออก
ใต้แสงจันทร์สลัว บ่าวที่คอยช่วยงานในโรงงานจูงม้ายืนร้อนรนอยู่ด้านนอก พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา รีบร้อนพูดว่า “แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องที่จวน ใต้เท้าให้ข้ามาเชิญท่านไปขอรับ”
ดึกดื่นค่อนคืน หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เปาชิงเหอไม่มีทางผลุนผลันส่งคนเข้ามาเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ถามอีก สั่งการชิงหลวนและจูหลี “ไปจูงม้าออกมา!”
กัวเฟยก็เดินตามออกมา ได้ยินดังนั้นก็ตามทั้งสองนางไปคอกม้าด้วย จูงม้าจำนวนหนึ่งออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้ที่เพิ่งเดินมา “พี่เมิ่งอี้ ข้าและพี่รองจะไปจวนใต้เท้าเปา คาดว่าคงไม่กลับมาก่อนฟ้าสาง พวกเราไปแล้ว พวกท่านจงปิดประตูให้สนิท ไม่ว่าใครมาเคาะเรียกก็ห้ามเปิดเด็ดขาด”
เมิ่งอี้พยักหน้า “รู้แล้ว พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก้าวพ้นประตูใหญ่ออกมา รับบังเ**ยนจากชิงหลวน พลิกตัวขึ้นหลังม้า เมิ่งฉีและกัวเฟยขี่ม้าตัวเดียวกัน คนทั้งหมดฮ่อตะบึงไปเมืองฝั่งเหนือพร้อมกัน
พวกเขาจากไปแล้ว เมิ่งอี้ก็สั่งคนเฝ้าประตู “ลงกลอนประตูให้ดี เข้านอนให้สบาย ไม่ว่าใครเคาะเรียกก็ห้ามเปิด”
คนเฝ้าประตูรีบหุบบานประตูเข้ามา ลงดาลจนสนิทดี
เมิ่งอี้มองดูเขาทำจนเสร็จ ถึงหันหลังกลับไปพักผ่อนที่เรือนตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวกระวนกระวายใจ ควบตะบึงม้า ชิงหลวนและจูหลีไล่ตามไปติดๆ
กัวเฟยและเมิ่งฉีขี่ช้ากว่า ส่วนบ่าวถูกทิ้งไว้ด้านหลังลิบๆ
ยามวิกาลเงียบสงัด สองฝั่งทางไม่มีคน ไม่นานพวกเมิ่งเชี่ยนโยวก็มาถึงจวนเปา
ตะเกียงถูกจุดสว่างไปทั่วทั้งจวน พ่อบ้านกำลังยืนชะเง้อชะแง้รออยู่หน้าประตู พอเห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็รีบเดินออกมาพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวโยนบังเ**ยนม้า สาวเท้าเดินเข้าไปด้านในทันที เดินไปถามพ่อบ้านที่วิ่งเหยาะตามมา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“แม่ทัพฉู่ส่งตัวคุณชายใหญ่กลับมา เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ตอนนี้ยังสลบไสลไม่ได้สติขอรับ” พ่อบ้านพูดกระหืดกระหอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักเท้ากึก แล้วรีบเดินหน้า ขมวดคิ้วถาม “บาดเจ็บตรงไหน”
“นายน้อยถูกหามกลับมา สับสนอลหม่านไปทั้งจวน บ่าวเอาแต่จัดแจงเรื่อง ยังไม่ได้เข้าไปดูนายน้อยเลยขอรับ” พ่อบ้านตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวเร่งฝีเท้า ไม่นานก็เดินมาถึงเรือนซุนฮุ่ย
ชายแปลกหน้าหลายคนยืนถมึงทึงกลางลานเรือน เห็นนางพรวดพราดเดินเข้ามา ต่างหันมองนางเป็นตาเดียว
พ่อบ้านร้องตะโกน “นายท่าน แม่นางเมิ่งมาแล้วขอรับ”
สิ้นเสียงเขา ม่านประตูถูกเปิดออก ใบหน้ากระสับกระส่ายของเปาชิงเหอปรากฎเบื้องหน้านาง “แม่นางเมิ่ง รีบมาดูฝานเอ๋อร์ เขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ สาวเท้าไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงในห้อง ทั้งไม่สนใจคนในห้อง เดินตรงไปข้างเตียงทันที
ฮูหยินเปากำลังนั่งสะอึกสะอื้นข้างเตียง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาก็ลุกขึ้นหลีกทางให้นาง พูดเสียงเครือ “แม่นางเมิ่ง เจ้าต้องช่วยฝานเอ๋อร์ให้ได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างเตียง เห็นเปาอีฝานดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท นอนใบหน้าคล้ำเขียวอยู่บนเตียง เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
เสียงฉู่เหวินเจี๋ยดังขึ้น “เขาได้รับพิษ แพทย์สนามให้เขากินยาถอนพิษแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีฉู่เหวินเจี๋ยอยู่ด้วย ไม่มีเวลาทักทาย เพียงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ถามต่อ “เขาบาดเจ็บตรงไหน”
“ขาซ้าย” ฉู่เหวินเจี๋ยตอบสั้นๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้านวมขึ้น เห็นขาซ้ายของเปาอีฝานที่ไม่เพียงบวมจนใหญ่ผิดรูป ทั้งยังดำไปทั้งท่อนขา กระทั่งบางจุดก็เริ่มเน่าแล้ว อีกทั้งสีดำยังเริ่มลามขึ้นด้านบนรางๆ แสดงว่าพิษกำลังลุกลามไปส่วนอื่น
สถานการณ์เช่นนี้ยากจะรับมือ เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
ฮูหยินเปาจับมือนางไว้แน่น น้ำเสียงวิงวอนขอร้อง “แม่นางเมิ่ง เจ้าจะต้องช่วยฝานเอ๋อร์ให้ได้นะ พวกเรามีบุตรชายเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไป พวกเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร”
อย่างไรเปาชิงเหอก็รับราชการมาหลายปี แรกเริ่มยังมีอาการร้อนรนไม่เป็นสุข แต่ตอนนี้สงบลงได้แล้ว เห็นฮูหยินเปาเสียอาการเช่นนี้ จึงพูดเตือน “ฮูหยิน เจ้าทำเช่นนี้จะกระทบต่อการรักษาของแม่นางเมิ่งได้ เจ้ามานั่งตรงนี้ก่อนเถอะ”
นับแต่ที่เปาอีฝานถูกหามเข้ามา ฮูหยินเปาเป็นอาการของเขา ก็ขวัญกระเจิง พอได้ยินเสียงเปาชิงเหอก็รีบปล่อยมือแม่นางเมิ่ง พูดว่า “ข้าไม่อยู่เกะกะแม่นางเมิ่งรักษาฝานเอ๋อร์แล้ว ข้าจะไปนั่งตรงนั้น”
ซุนฮุ่ยดวงตาแดงก่ำพาม่อเอ๋อร์เข้ามา ประคองนางไปนั่งบนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “คุณชายเปาอาการสาหัสหนัก ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาเขาให้หายได้”
ฮูหยินเปาได้ฟังปิดปากร้องไห้โฮ
ซุนฮุ่ยน้ำตาหลั่งริน
เปาชิงเหอร่างกายโอนเอน ฝืนพูดว่า “แม่นางเมิ่งรักษาให้เต็มที่ ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ฟ้ากำหนด”
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้น “เจ้ามั่นใจกี่ส่วน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากพูดว่า “หากตัดอวัยวะมีห้าส่วน หากไม่ตัดอวัยวะมีเพียงสองส่วน”
ฉู่เหวินเจี๋ยยิ่งให้ขมวดคิ้วเกร็งแน่น “แม่นางหมายความว่าจะต้องตัดขาเขาทิ้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ ยังพอจะช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้”
“เช่นนั้นก็ตัดเถอะ ยังจะรออะไร” เปาชิงเหอที่พอได้ยินว่ามีทางรักษาชีวิตบุตรชายไว้ได้ ก็ส่งเสียงขึ้นทันที
ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยต่างคร่ำครวญโหยไห้ มองนางด้วยน้ำตาอาบสองแก้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ที่ต้องตัดคือขาของคุณชายเปา พวกเราควรถามความคิดเห็นของเขาก่อน”
เปาชิงเหอยิ่งเปล่งเสียงแข็งกร้าว “ตอนนี้เขาไม่ได้สติ จะถามความเห็นเขาได้อย่างไร เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง ตัดขาของเขาออกก่อนค่อยว่ากัน”
“ใต้เท้าเปายังฟังคำพูดข้าไม่ชัดเจน การตัดขาเขา ก็มีความหวังเพียงห้าส่วนเท่านั้น ขอท่านไตร่ตรองให้รอบคอบด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ข้าใคร่ครวญดีแล้ว ขอเพียงรักษาชีวิตเขาไว้ได้ ต่อให้มีความหวังเพียงส่วนเดียวพวกเราก็ต้องลองดู” เปาชิงเหอพูด
ฮูหยินเปาก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่ แม่นางเมิ่ง เจ้าลงมือเถอะ ขอเพียงรักษาชีวิตเขาไว้ได้ ขาดแขนไม่มีขาก็ไม่เป็นไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองซุนฮุ่ย
ซุนฮุ่ยรีบพยักหน้า “ข้าพูดแต่แรกแล้ว ขอเพียงเขาปลอดภัย ต่อให้แขนขาดไม่มีขาข้าก็ยอม”
สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วเคร่งเครียด “หากตัดขาทิ้ง ต่อไปเขาจะต้องกลายเป็นคนพิการ แม่นางเมิ่งหาวิธีทำให้รองแม่ทัพเปาฟื้น แล้วถามความคิดเห็นจากเขาเองเถอะ”
แม้เปาอีฝานจะเป็นบุตรชายของตนเอง แต่ตอนนี้เขายังเป็นคนของกองทัพ ต้องเชื่อฟังคำสั่งฉู่เหวินเจี๋ย ได้ยินเช่นนั้น เปาชิงเหอไม่กล้าโต้แย้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูดว่า “เอากระดาษและพู่กันมา ข้าจะเขียนตัวยาขับพิษ พวกท่านรีบไปจัดยามาให้เขาดื่ม ดูว่าจะทำให้เขาฟื้นได้หรือไม่”
เปาชิงเหอสั่งการบ่าวพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเขียนใบสั่งยาอย่างว่องไว
ไม่รอให้เปาชิงเหอสั่ง บ่าวก็รีบวิ่งแนบออกไปพร้อมใบสั่งยาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวยังเขียนชื่อยาสมุนไพรอีกเป็นพรวนลงในกระดาษ หันไปพูดกับเปาชิงเหอว่า “สมุนไพรพวกนี้น่าจะหาได้จากร้านยาเต๋อเหริน ท่านให้คนไปจัดมา ข้าจะปรุงยาอีกขนานให้เขา”
เปาชิงเหอร้องเรียกพ่อบ้าน ให้เขาไปสั่งบ่าวที่ปราดเปรียวรีบไปจัดยามา
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้านวมออกอีกครั้ง ตรวจดูบาดแผลของเปาอีฝาน แล้วถามฉู่เหวินเจี๋ย “ที่ตัวท่านมียาห้ามเลือดหรือไม่”
ฉู่เหวินเจี๋ยล้วงขวดยาออกมาจากอกเสื้อ วางไว้บนโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “แค่นี้ไม่พอ ยังมีอีกหรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก ไม่นานก็ถือขวดยาเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ พูดว่า “มีเพียงเท่านี้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวคำนวณเล็กน้อย เดินมาหน้าประตู เปิดม่านออก พูดกับกัวเฟยที่ลานเรือน “เอามีดของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อย”
กัวเฟยหยิบมีดเล่มงามของตัวเองออกมา มอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา แล้วพูดกับชายแปลกหน้าที่ยืนนิ่งกลางลานเรือน “พวกเจ้าเข้ามาช่วยสักสองคนเถอะ” พูดจบ หันหลังเดินกลับเข้าห้อง
พวกเขาล้วนเป็นนายทหารที่หามเปาอีฝานกลับมาพร้อมฉู่เหวินเจี๋ย เห็นแม่นางน้อยไม่ถามว่าพวกเขาเป็นใครก็ออกคำสั่ง ต่างหันหน้ามองกัน สุดท้ายสองคนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดก็เดินเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพลิกมีดเผาไปมาบนเปลวไฟ สั่งการชายทั้งสองคน “ประเดี๋ยวข้าจะคว้านเนื้อเน่าบนขาเขาออกมาก่อน เพื่อป้องกันเขาตื่นขึ้นมาคลุ้มคลั่งอาละวาด พวกเจ้าจงกดเขาไว้ให้แน่น”
ทั้งสองหันมองฉู่เหวินเจี๋ย
ฉู่เหวินเจี๋ยเอ่ยปาก “ทำตามที่แม่นางเมิ่งสั่ง”
ทั้งสองรับคำ เดินมาข้างเตียง แยกกันคนหนึ่งอยู่บนคนหนึ่งอยู่ล่างกดร่างของเปาอีฝานไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวเผามีดเสร็จ เดินมาข้างเตียง เริ่มเฉือนเนื้อเน่าบนขาของเปาอีฝานออก
เนื้อเน่าพวกนี้อยู่บริเวณปากแผล เมิ่งเชี่ยนโยวเฉือนออกทีละนิดอย่างระมัดระวัง ครู่เดียวเหงื่อก็ผุดซึมทั่วหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดการกระทำ เงยหน้าขึ้นพูดกับซุนฮุ่ย “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ท่านช่วยเช็ดเหงื่อให้ข้าหน่อยเถิด”
ซุนฮุ่ยรีบปล่อยมือม่อเอ๋อร์ หยิบผ้าเช็ดหน้าเดินมาข้างกายนาง ช่วยนางซับเหงื่อบนหน้าผาก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีกว่า “ใต้เท้าเปา รบกวนท่านให้คนมาถือตะเกียงเบื้องหน้าข้า แสงไฟสลัวเกินไป ข้ามองไม่ถนัดเลย”
“ข้าเอง” ฉู่เหวินเจี๋ยลุกขึ้น ยกตะเกียงบนโต๊ะเดินเข้ามา ยื่นแขนเข้าไป ให้ตะเกียงส่องเหนือบริเวณแผล
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงอีกครั้ง เฉือนเนื้อเน่าออกมา
คล้ายว่าเปาอีฝานจะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด เริ่มดิ้นรนตามสัญชาตญาณ
เปาชิงเหอเห็นเช่นนั้น ร้องเสียงลั่น “ฝานเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว”
ฮูหยินเปาได้ยินเปาชิงเหอพูด ก็ลุกพรวดขึ้น ร้องถามเสียงหลง “ฝานเอ๋อร์ฟื้นแล้วเรอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้า เอานิ้วชี้ประกบริมฝีปาก เปล่งเสียง “ชูว์” “คุณชายเปาเพียงมีปฏิกิริยาตอบสนอง หาได้ฟื้นไม่ พวกท่านอย่าเพิ่งพูดอะไร จะทำให้ข้าว่อกแว่กได้”
ฮูหยินเปาน้ำตาเอ่อคลอ นั่งกลับไปตามเดิม ดึงม่อเอ๋อร์เข้ามากอดแน่นแนบอก
ม่อเอ๋อร์เม้มริมฝีปากเหมือนผู้ใหญ่ มองดูคนที่นอนสลบอยู่บนเตียง ได้ยินว่าเป็นบิดาของตนเอง
ซุนฮุ่ยเฝ้ามองเปาอีฝานที่เอาแต่ขยับตัวชักกระตุก ในตอนนี้กลับนอนแน่นิ่ง ราวกับไร้ลมหายใจแล้ว
น้ำตาเม็ดใหญ่ของซุนฮุ่ยไหลรินโดยไร้เส้นเสียง
ใต้เท้าเปากำมือแน่น พยายามควบคุมไม่ให้ร่างกายสั่น
ภายในห้องเงียบสงัด
เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงอีกครั้ง เฉือนเนื้อเน่ารอบบาดแผลออกทีละน้อย คงเป็นผลมาจากพิษ หลังจากเฉือนเนื้อเน่าออกก็มีเลือดสีดำไหลตามออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือพูดว่า “ใต้เท้าเปา ท่านช่วยนำยาห้ามเลือดบนโต๊ะส่งมาให้ข้าหน่อย”
เปาชิงเหอได้สติกลับมา ตะลีตะลานคว้ายาห้ามเลือดบนโต๊ะ รีบนำมามอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา เทลงบนบริเวณที่เฉือนเนื้อเน่าออก พอเห็นว่าเลือดหยุดไหล ถึงถอนใจโล่งอก ลุกขึ้นพูดว่า “ยกน้ำสะอาดเข้ามา”
สาวใช้เฝ้าประตูได้ฟังนางสั่ง รีบออกไปยกน้ำสะอาดหนึ่งกะละมังเข้ามา วางไว้บนโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา โยนมีดทิ้งลงไป ล้างมือเล็กน้อย แล้วหยิบมีดมาล้าง ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งดี ขมวดคิ้วถาม “ต้มยาเสร็จแล้วหรือไม่ เหตุใดถึงช้าเช่นนี้”
เปาชิงเหอแผดเสียงออกไปด้านนอก “พ่อบ้าน เกิดอะไรขึ้น ยายังต้มไม่เสร็จเรอะ”
พ่อบ้านขานรับ “เรียนนายท่าน ใกล้จะเสร็จแล้วขอรับ”
สิ้นเสียง บ่าวก็เร่งฝีเท้ายกถ้วยยาเดินเข้ามา “พ่อบ้าน ต้มยาเสร็จแล้วขอรับ”
พ่อบ้านเปิดม่านออกทันที “รีบนำเข้าไป”
บ่าวยกถ้วยยาเดินตรงเข้ามาในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นรับมา เดินมาข้างเตียง มองดูริมฝีปากปิดสนิทของเปาอีฝาน ไร้สติสัมปชัญญะ ไม่อาจกรอกยาให้ดื่มได้ ให้ขมวดคิ้วมุ่น