ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 135
หลังจากส่งเมิ่งชิงและคนอื่นๆ เสร็จ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็กลับเข้าในวัง เริ่มใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและน่าเบื่อหน่าย
ท่าป๋าหั่นหลินกลับมีอารมณ์คุกรุ่น ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจเขาตลอดเวลาว่าจะต้องหาวิธีเอาคืนให้ได้ ในที่สุดหลังจากผ่านไปสองสามวัน เขาก็คิดหาวิธีหนึ่งขึ้นมาได้
วันนี้หลังจากเสร็จจากทรงว่าราชกิจ เขาก็นั่งเกี้ยวพระที่นั่งมาตำหนักหลวนเฟิ่ง หลังจากเดินเข้าไปแล้ว ก็พูดขึ้นทันที โดยไม่รอหวงฝู่เย่าเย่ว์คารวะ “เราจะประกาศรับนางสนม ฮองเฮาช่วยจัดการด้วยเถิด”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า พูดอย่างนอบน้อมว่า “หม่อมฉันจะจัดการให้เพคะ”
เมื่ออาการกรีดร้องโวยวายไม่ปรากฏให้เห็น ท่าป๋าหั่นหลินที่อารมณ์ดีเพราะคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้พลันหายวับไปทันที เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างขุ่นเคือง เดินออกจากตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยความเดือดดาล
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่ได้ใส่ใจ หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไปตำหนักหย่งเหอ และนำราชโองการของท่าป๋าหั่นหลินบอกแก่ไทเฮา
หลังจากไทเฮาชะงักไปเล็กน้อย หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พูดขึ้นว่า “เสด็จแม่เพคะ ตอนนี้ในวังมีเพียงหม่อมฉันและหลิวอวี้เอ๋อร์สองคน วิเวกวังเวงเหลือเกินเพคะ ฮ่องเต้เปิดรับนางสนมก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างไรเรื่องทายาทก็เป็นเรื่องสำคัญ”
ไทเฮามองใบหน้าสงบนิ่งของนาง แล้วลอบถอนหายใจ แม้ฮ่องเต้จะเปิดรับนางสนมจนเต็มวังหลังและมีบุตรให้แล้วอย่างไรเล่า เพราะก่อนที่ฮองเฮาจะมีบุตร ไม่ว่าบุตรคนใดของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งเป็นไท่จื่อได้ ชาติบ้านเมืองก็ยังคงไร้ทายาทสืบสกุลอยู่ดี แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ยอมขอให้นางและฮ่องเต้พยายามมากขึ้น คลอดไท่จื่อสักคนออกมาเสียยังจะดีกว่า แต่เมื่อคิดถึงการกระทำของท่าป๋าหั่นหลินแล้ว คำพูดที่อยู่ในปากของนางก็ถูกลืนกลับลงไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ค่อยรู้จักผู้หญิงในจวนของเหล่าขุนนางรัฐอิงเท่าไร แต่ไทเฮานั้นรู้เป็นอย่างดี เพราะว่าหลายปีมานี้ นางเองก็กังวลท่าป๋าหั่นหลินอยู่มาก ดังนั้น นางจึงนำบัญชีรายชื่อที่เคยสั่งคนจดไว้ตั้งนานแล้วออกมา แล้วแนะนำผู้หญิงทุกคนในนั้นให้หวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังทีละคน
หวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังอย่างตั้งใจ และปรึกษาหารือกับไทเฮา สุดท้ายตัดสินใจเลือกลูกสาวของจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่สิบกว่าคน จากนั้นจึงสั่งคนให้นำบัญชีรายชื่อถวายให้ท่าป๋าหั่นหลินดู
ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีที่ไปถวายบัญชีรายชื่อก็กลับมารายงานว่า “ฝ่าบาทขอให้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินใจพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้า “ในเมื่อเช่นนี้ ก็ไปประกาศราชโองการตามบัญชีรายชื่อนี้เสีย บอกให้พวกนางเตรียมตัว และบอกพวกนางว่าฝ่าบาทมีกิจธุระยุ่งเหยิง ขั้นตอนการคัดเลือกนั้นจึงขอละเว้นไว้ หลังจากได้ฤกษ์แล้ว จะมีคนไปรับพวกนางเข้าวัง”
ขันทีขานรับ แล้วไปประกาศราชโองการถึงแต่ละจวน เมืองหลวงพลันชลมุนวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเลือก หรือไม่ได้รับเลือก ต่างก็ตื่นตกใจมาก ในวันราชาภิเษกสมรส ความโปรดปรานที่ฮ่องเต้มีต่อฮองเฮานั้นพวกเขาประจักษ์ด้วยตาตนเอง แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ฮ่องเต้กลับประกาศรับคนเข้าวังหลัง นี่เป็นเพราะว่าฮ่องเต้เบื่อหน่ายและไม่ชอบฮองเฮาแล้ว หรือว่าเพราะว่าฮองเฮาใจกว้าง อยากให้ฮ่องเต้รีบมีบุตรล่ะ หากเป็นอย่างหลัง ย่อมเป็นการดีสำหรับลูกสาวที่ถูกเลือกเข้าวัง แต่หากเป็นอย่างแรก ชีวิตในวังของลูกสาวคงลำบากเป็นแน่
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร หลังจากผ่านไปสิบวัน วันที่ต้องเข้าวังก็มาถึง
มีทั้งคนที่อาลัยอาวรณ์ มีทั้งคนที่ดีอกดีใจ มีทั้งคนที่กังวล ไม่ว่าอย่างไร หญิงสาวสิบกว่าคนนี้ก็ถูกเกี้ยวที่มาจากวังแบกออกจากจวน และเข้าไปในพระราชวัง
หลังจากตรวจค้นทุกอย่างเสร็จแล้ว ทุกคนก็เข้าไปในตำหนักฉู่ลี่ รอพระบัญชาจากฮ่องเต้ และวันแต่งตั้ง
หลังจากวันนั้นที่ถูกลงโทษ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ไม่หยิ่งผยองอีก นางเอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักฉู่ลี่อย่างเศร้าซึม แม้แต่ประตูตำหนักก็ไม่ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องภายนอกนั้นยิ่งไม่มีความอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้เมื่อเห็นคนมากมายเข้ามาอยู่ในตำหนักฉู่ลี่ หลังจากถามแล้วทราบว่าเป็นนางสนมที่ฮ่องเต้คัดเลือกเข้ามา นางก็ฟื้นคืนชีพราวกับฉีดเลือดไก่เข้าไป นางเดินส่ายสะโพกออกจากห้องของตน มองดูหญิงสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นกังวลเจือปนกับความปรารถนาแล้ว ก็ยิ้มกระตุกมุมปากอย่างเย็นชา พูดจาพิลึกพิกลต่อหน้าทุกคนที่กำลังวุ่นกับการจัดเตรียมของ “แหม พวกเจ้าแต่ละคนคงเพ้อเจ้ออยากจะขึ้นบนเตียงฮ่องเต้มากสินะ ข้าบอกพวกเจ้าไว้ จงล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด ฮ่องเฮาของเราคนนั้นน่ะ ร้ายกาจนัก ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะถูกส่งไปขังในตำหนักเย็นก่อนจะได้เจอพระพักตร์ของฝ่าบาทเสียอีก”
หลังจากตอนนั้นที่หลิวอวี้เอ๋อร์ถูกท่าป๋าหั่นหลินจับตัวมา นางก็ถูกจับเข้าไปในวังทันที จึงมีผู้คนภายนอกเพียงน้อยนิดที่รู้จักนาง หรือไม่รู้จักเลย เมื่อฟังนางพูดจบ ทุกคนก็ชะงัก มองไปที่นางพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ในใจคาดเดาสถานะของนางไปต่างๆ นาๆ
“เลิกมองข้าเสียที ข้าเข้าวังมาตั้งแต่สองสามปีที่แล้ว ทุกเรื่องราวของที่นี่ข้ารู้ดีนัก และฝ่าบาทเองก็โปรดปรานข้ามาก ในวันราชาภิเษกสมรสของเขา เขาไม่ได้ไปตำหนักหลวนเฟิ่ง แต่กลับให้ข้าไปถวายงาน จริงๆ แล้วจะแต่งตั้งให้ข้าเป็นกุ้ยเฟยด้วย แต่ใครจะไปรู้ว่าฮองเฮาจะริษยา จงใจหาความผิดให้ข้าถูกทำโทษ และไล่ข้าออกจากตำหนักชิงเหอมาตำหนักฉู่ลี่ ในเมื่อมีข้าเป็นตัวอย่างแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าตรงไหนหรอก อย่าคิดเพ้อเจ้อเลย พวกเจ้าน่ะ อยู่กันดีๆ เถิด”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจใหญ่ อดไม่ได้ที่จะมองนางอีกครั้ง
หลิวอวี้เอ๋อร์ปล่อยให้พวกนางมอง ไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย
ทุกคนเริ่มเชื่อสิ่งที่นางพูด มีทั้งคนตกใจและคนสงสัย หากนางพูดเรื่องจริง ชีวิตในวังต่อจากนี้ของพวกนาง… เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกไม่สบายใจพลันทวีมากขึ้นกว่าเดิม ความปรารถนาที่มีนั้นก็มลายหายสิ้นไป
เรื่องราวทั้งหมดนี้เข้าหูหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางเพียงแค่ยิ้มเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
วันแต่งตั้งมาถึง ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาดของหลิวอวี้เอ๋อร์ ทุกคนถูกแต่งตั้งเป็นนางสนม เมื่อเห็นพวกนางย้ายออกจากตำหนักฉู่ลี่อย่างยินดีปรีดา สุดท้ายเหลือเพียงตนเองคนเดียวเช่นเคย หลิวอวี้เอ๋อร์ก็โกรธจนเขวี้ยงของในห้องอีกครั้ง
หลังจากนั้นมา ท่าป๋าหั่นหลินก็ค้างคืนในแต่ละตำหนักทุกคืน แต่กลับไปเคยไปตำหนักหลวนเฟิ่งเลยสักครั้ง
แต่มีเพียงนางสนมเท่านั้นที่รู้ว่าฮ่องเต้มาหาพวกนางแล้วก็จริง กลับไม่เคยแตะต้องตัวพวกนางเลย
หวงฝู่เย่าเย่ว์ทราบเรื่องดังนั้น ก็ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจ นางยังคงใช้ชีวิตของตนเองอย่างเรียบง่ายและสุขสบาย
ท่าป๋าหั่นหลินกลับยิ่งว้าวุ่นใจ เอาแต่คิดหาเรื่องหวงฝู่เย่าเย่ว์ วันหนึ่งเขาสั่งให้นางแต่งตั้งนางสนมคนหนึ่ง ผ่านไปอีกสองสามวันก็สั่งให้นางแต่งตั้งนางสนมอีกคนหนึ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยอมรับและปฏิบัติตาม แต่งตั้งพวกนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สุดท้ายตำแหน่งของเหล่านางสนมสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่อารมณ์ของท่าป๋าหั่นหลินกลับยิ่งเกรี้ยวกราด
ไทเฮาคอยสังเกตอยู่ตลอดเวลา นางจึงสั่งคนให้เรียกเขามาสั่งสอนอยู่หลายครา
ท่าป๋าหั่นหลินตอบรับไปอย่างผิวเผิน คนที่เข้ามาในวังทุกคนแทบจะได้เป็นตำแหน่งพระสนมกันหมดแล้ว และมีอีกสามคนที่ได้เป็นถึงกุ้ยเฟย หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังคงกินอิ่มนอนหลับเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดปกติไปเลย ท่าป๋าหั่นหลินกลับนอนไม่หลับ เค้นหาทุกวิถีทางเพื่อหาเรื่องนาง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็นอนไม่หลับ นางโกรธจนแทบจะทึ้งผมตนเองจนเกลี้ยงศีรษะ นางไม่เข้าใจว่าตนเองแย่กว่าหญิงอื่นตรงไหน เหตุใดฮ่องเต้จึงทิ้งให้ตนอยู่ที่นี่จนลืมไปเสียได้เล่า
ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตนด้วยความคิดเช่นนี้ของตน จนวันเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
ราวกับว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะคุ้นชินกับชีวิตในวังแล้ว นางยิ่งอยู่ยิ่งพึงพอใจ ทุกวันจะมีเสียงหัวเราะสนุกสนานดังออกมาจากตำหนัก
ท่าป๋าหั่นหลินกลับยิ่งทรุดโทรม
เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้น ก็สั่งคนไปเรียกเขามาตำหนักหย่งเหอ พูดอย่างอ้อมค้อมกับเขาว่า การปล่อยตามอำเภอใจมากเกินไปจะทำลายร่างกาย สาวโฉมงามใต้หล้านั้นมีมากถมไป เขาอายุยังน้อย อนาคตยังอีกยาวไกล มิต้องรีบร้อนเอาให้ได้เสียในบัดดลก็ได้
ท่าป๋าหั่นหลินสีหน้าเคร่งขรึม น้ำท่วมปาก เขาก็อยากอุปถัมภ์นางสนมเหล่านั้น แต่ว่าทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น ใบหน้าน้อยๆ ที่น่าชิงชังใบนั้นของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็มักปรากฎต่อหน้าเขา ทำให้เขาหมดอารมณ์ในทันใด
หลังจากฟังคำสั่งสอนของไทเฮาอย่างนอบน้อมแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็ออกจากตำหนักหย่งเหอ ครั้นเห็นเกี้ยวพระที่นั่งแล้วก็ว้าวุ่นใจนัก เขาโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาถอยกลับไป ส่วนตนก็เดินทอดน่องไปตามทางเล็กๆ รอบวัง เพื่อระบายความว้าวุ่นในใจ
เดินไปครู่หนึ่ง ฝีเท้าก็เดินมุ่งไปทางตำหนักหลวนเฟิ่งคล้ายเดินตามสัญชาติญาณ จนเมื่อเขารู้ตัว ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตำหนักหลวนเฟิ่งแล้ว
เขารำคาญใจนักที่ตนดันมาที่นี่ ท่าป๋าหั่นหลินหันหลังกลับ ครั้นกำลังจะเดินกลับไป เสียงหัวเราะสดใสของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดังออกมาจากตำหนักหลวนเฟิ่ง
ท่าป๋าหั่นหลินเดือดพล่าน ตนเองนอนไม่หลับติดต่อหลายคืน อารมณ์หดหู่และเบื่อหน่าย แต่นางกลับมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขได้อย่างไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปในตำหนัก ภาพเบื้องหน้าสะท้อนเข้าไปในม่านตาอย่างแจ่มชัด
ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่ตำหนักหลวนเฟิ่งผูกชิงช้าไว้ และในตอนนี้เองหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังนั่งอยู่บนชิงช้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอบยิ้มอันสดใส ใบหน้าของหมิงเย่ว์และหมิงสยาก็ปรากฏรอยยิ้ม พวกนางกำลังไกว่ชิงช้าให้อยู่ข้างหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ชิงช้าแกว่งไปมา กระโปรงก็พริ้วไหวตาม ท่าป่าหั่นหลินกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ราวกับว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์กำลังจะบินออกจากกำแพงสูงตระหง่านนี้ บินหนีพระราชวังแห่งนี้ไป ทันใดนั้นก็อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ เขาพูดเสียงดังขึ้นว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร”
คนในตำหนักหลวนเฟิ่งตกใจ ต่างคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์หายไป เมื่อชิงช้าค่อยๆ หยุดลง นางจึงลงจากชิงช้า แล้วเดินไปข้างหน้าท่าป่าหั่นหลินอย่างเนิบช้า ถอนสายบัวคารวะ “คารวะฝ่าบาทเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินหรี่ตามองนาง ความทรุดโทรม ความผ่ายผอม ความกังวลใจ ความโมโห อาการเหล่านี้ไม่ปรากฏบนร่างกายนางเลย แต่กลับกัน หากตั้งใจดู จะพบว่านางงดงาม ล้ำค่า และ…เย้ายวนกว่าเมื่อครั้นเพิ่งเข้ามาในวังเสียอีก
เสียงโมโหดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร”
“ทูลฝ่าบาทเพคะ ในวังนั้นน่าเบื่อหน่ายนัก หม่อมฉันจึงหาวิธีแก้เบื่อ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์เพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ตอบอย่างสุภาพ
“แล้วผ่อนคลายหรือยัง” น้ำเสียงเคร่งขรึมกว่าเดิม
หวงฝู่เย่าเย่ว์พนักหน้า “ทูลฮ่องเต้เพคะ ผ่อนคลายแล้วเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงแฝงความคุกรุ่น
นางยังคงพยักหน้า น้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม “ใช่เพคะ ฝ่าบาท”
“ดี ดีมาก” ท่าป๋าหั่นหลินพยักหน้าหงึกหงักอย่างโมโห จ้องเขม็งไปที่ท้ายทอยของนาง ถามด้วยความโทสะว่า “เราเบื่อหน่ายนัก ไม่รู้ว่าฮองเฮามีวิธีอะไรทำให้เรารู้สึกดีบ้าง”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หันกลับไปมองชิงช้า แล้วหันกลับมามองท่าป๋าหั่นหลิน นางขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ฝ่าบาท เกรงว่าชิงช้านี้จะรับน้ำหนักท่านไว้ไม่…”
ยังไม่ทันพูดจบ เบื้องหน้าพลันมืดวูบ ร่างก็ลอยเหนือพื้นและถูกหมุนกลับหัว จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกพาดบนบ่าของท่าป๋าหั่นหลินแล้ว ในขณะที่ทุกคนตกใจอยู่นั้น นางก็ถูกแบกเข้าไปในห้องแล้ว