ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 138 อำนาจมืด
เห็นพวกนางไม่พูดอะไร ไทเฮาก็เบื่อที่จะลงโทษพวกนางแล้ว เลยโบกมือ “ออกไปเถอะ วันหลังห้ามพูดถึงฮองเฮาในทางที่ไม่ดีอีก มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายกับพวกเจ้าล่ะ”
เป็นถึงบุตรสาวของชนชั้นสูง แต่ละคนฉลาดจะตายไป เมื่อได้ฟังคำของไทเฮาแล้ว ก็เข้าใจได้ว่ากำลังปกป้องฮองเฮาอยู่ เลยไม่กล้าที่จะพูดต่ออีก หลังจากทำความเคารพแล้วออกจากตำหนักหย่งเหอ ก็กลับไปที่ตำหนักของตัวเองทันที รอวันที่ฮองเต้เกลียดฮองเฮาเข้ามาจริงๆ จะได้มาโปรดปรานพวกนางแทน
หลิวอวี้เอ๋อร์ก็ไม่ต่างกัน ความอิจฉาตาร้อนของนางทำให้นางขาดสติ เลยเข้าไปฟ้องไทเฮาเช่นเดียวกัน
ไทเฮาถึงได้นึกขึ้นได้ว่ามีนางอยู่อีกคนหนึ่งด้วย จึงขมวดคิ้ว ถามด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้ามีเรื่องอันใดรึ”
“ไทเฮาเพคะ อวี้เอ๋อร์เสียใจเพคะ” หลิวอวี้เอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ทำเป็นเช็ดน้ำตาที่หางตา
“อ่อ เสียใจเรื่องอันใดล่ะ” ไทเฮาถามช้าๆ
“ไทเฮาเพคะ อวี้เอ๋อร์ก็เป็นคนที่ฝ่าบาทเคยโปรดปราน แต่มาวันนี้ไม่เพียงแต่ตำแหน่งของตนที่หายไป ที่ตำหนักฉู่ลี่ ขนาดเรื่องของอาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ ก็ถูกลดทอนลงไปมาก ไม่ต้องคิดเลย นี่คงเป็นฝีมือของฮองเฮาอย่างแน่นอน นางโกรธแค้นที่ในวันอภิเสกสมรสของนางข้าได้แอบเข้าไปที่ห้องบรรทมของฝ่าบาท แต่นั่นเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท อวี้เอ๋อร์ไม่กล้าขัดเพคะ”
พูดถึงตรงนี้ ความเศร้าโศกในใจก็พรั่งพรูออกมาทั้งน้ำตา
ไทเฮาอยู่มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง แล้วหลิวอวี้เอ๋อร์คนนี้ไปผิดใจกับฮองเฮาตอนไหนถึงได้โดนลดตำแหน่งลง ขนาดตำแหน่งสนมเอกยังไม่ได้เลย แต่ที่บอกว่าฮองเฮาตัดทอนอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางนั้น ไทเฮาไม่ค่อยเชื่อนัก ฮ่องเต้ไม่ได้โปรดปรานนางคนเดียวเสียหน่อย แล้วเหตุใดถึงต้องตัดนางคนเดียวล่ะ
คิดได้ดังนั้น เลยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าพูดจริงงั้นรึ”
ถ้าเป็นคนอื่น ไทเฮาไม่อยากจะสนใจเรื่องเหล่านี้นักหรอก แต่หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่เหมือนกัน นางเป็นคนที่ท่าป๋าหั่นหลินพากลับมาเอง แถมยังให้หมัวมัวสอนนางอย่างดีอีกด้วย แสดงว่าฮ่องเต้ก็คงมีใจให้นางไม่น้อย ไทเฮาจะไม่สนใจไม่ได้
หลิวอวี้เอ๋อร์ทำทีเสียใจ “อวี้เอ๋อร์ไม่กล้าโกหก ขอไทเฮาตรวจสอบได้เลยเพคะ”
“เรียกบ่าวเข้ามา แล้วไปเชิญฮองเฮามาตำหนักหย่งเหอ!”
หลังจากบ่าวรับใช้ไปรายงาน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็รีบมาทันที
ไม่ได้เจอกันนาน หวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความเป็นสาวแรกแย้มได้หายไป แต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่และมีเสน่ห์มากขึ้น ดูรวมๆ แล้ว ทำให้ละสายตาจากนางไม่ได้เลย
หลิวอวี้เอ๋อร์มองแค่แวบเดียว ก็ก้มหน้าลง แล้วกำผ้าเช็ดหน้าในมือไว้แน่น ความอิจฉาริษยาภายในใจก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุด จนนางอยากที่จะเข้าไป ตบหน้าอันงดงามของนางให้มันรู้แล้วรู้รอด
แต่ไทเฮากลับดีใจจนอ้าปากค้าง ได้แต่มองไปที่ท้องของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างไม่ละสายตา
แล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะเสด็จแม่เพคะ”
ไทเฮารีบโบกมือ “มาๆ มานั่งข้างๆ ข้า ให้ข้าดูสิ เจ้าตอนนี้ดูดีกว่าตอนที่เข้าวังมาใหม่ๆ เยอะเลยล่ะ”
หน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์แดงขึ้น เดินเข้าไปที่ด้านข้างไทเฮาอย่างช้าๆ แล้วนั่งลง
ไทเฮามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพยักหน้าอยู่ตลอด แล้วพูดออกมาว่า “เจ้ากับฝ่าบาทรักใคร่กลมเกลียวกันดีแล้ว ข้าก็สบายใจ”
พอคิดถึงสิ่งที่ท่าป๋าหั่นหลินทำในทุกๆ วัน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หูแดงขึ้นมาทันที
ไทเฮาเห็นดังนั้น รู้ว่านางเขิน เลยไม่ได้ตรัสต่อ ได้แต่ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “อวี้เอ๋อร์คนนี้น่ะ วันนี้มาที่นี่เพื่อฟ้องร้อง บอกว่าเจ้าลดทอนอาหารการกินและอาภรณ์ของนาง จริงหรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เห็นหลิวอวี้เอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว แล้วรู้สึกได้ด้วยว่าที่ไทเฮาเรียกตนมาวันนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่าจะถามถึงเรื่องนี้ เลยอึ้งไปสักพัก แล้วรีบตอบกลับไปว่า “เสด็จแม่เพคะ เรื่องอาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ของแต่ละตำหนักนั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ทำตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาเท่านั้น ไม่เคยลดหรือตัดทอนอะไรของใครเลยเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วหันไปหาหลิวอวี้เอ๋อร์ “เจ้าฟังชัดเจนแล้วหรือไม่”
หลิวอวี้เอ๋อร์จะเชื่อได้อย่างไร จึงเถียงคอเป็นเอ็นว่า “ไทเฮาเพคะ อวี้เอ๋อร์ได้น้อยจริงๆ เพคะ ขอท่านโปรดพิจารณาด้วยเถิดเพคะ”
ทั้งสองต่างมีเหตุผลของตนเอง อย่างไรไทเฮาก็เชื่อหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่แล้ว เลยหันไปตรัสสั่งกูกูผู้ดูแลว่า “ไป ไปเรียกเจ้ากรมฝ่ายในมาหาข้า ข้าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กูกูผู้ดูแลตอบรับ แล้วรีบเดินออกไปทันที
เจ้ากรมฝ่ายในรีบมา นั่งคุกเข่าลงแล้วก้มกราบลงไป
ไทเฮาถาม “แม่นางอวี้เอ๋อร์โดนลดทอนค่าใช้จ่ายของนางลง เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่”
เจ้ากรมฝ่ายในรีบบอกว่า “ขอรายงานไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ค่าใช้จ่ายของแต่ละตำหนักมีกฎมีเกณฑ์ บ่าวไม่ได้ลดค่าใช้จ่ายของตำหนักไหนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“โกหก เห็นๆ อยู่ว่ารายจ่ายของตำหนักข้ามันถูกตัดออกไปมาก” หลิวอวี้เอ๋อร์ตะคอกใส่ด้วยความโกรธ
เจ้ากรมฝ่ายในไม่พูดต่อ พูดกับไทเฮาอย่างนอบน้อมว่า “แต่ก่อนฮ่องเต้ยังไม่ได้สมรส ในวังมีเพียงแค่แม่นางอวี้เอ๋อร์คนเดียว ดังนั้น ค่าใช้จ่ายของแม่นางจึงต้องมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้มีฮองเฮาและพระสนมหลายตำหนักมากมาย ต้องทำตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาเป็นเรื่องปกติพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้ง แม่นางอวี้เอ๋อร์ปาเครื่องลายครามในตำหนักแตกไปแล้วกี่ใบต่อกี่ใบ กรมฝ่ายในไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปซื้อมาให้ได้ตลอด ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้า ถามหลิวอวี้เอ๋อร์ “เจ้าได้ยินชัดเจนหรือไม่”
เจ้ากรมฝ่ายในพูดออกมาชัดเจนทุกอย่าง หลิวอวี้เอ๋อร์จะไม่เข้าใจได้อย่างไร แม้ในใจจะไม่ยอม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก กัดปาก แล้วร้องไห้ออกมา ทำท่าทีน่าสงสารเป็นที่สุด
ไทเฮาสนใจนางที่เรียกร้องความสนใจที่ไหน โบกมือให้ทั้งสองคน “ออกไปได้แล้วล่ะ ข้ากับฮองเฮามีเรื่องจะคุยกัน”
หลิวอวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เดินออกมาจากตำหนักหย่งเหอ กำผ้าเช็ดหน้าที่มือไว้แน่น มีสีหน้าไม่พอใจ
เป็นครั้งแรกที่เจ้ากรมฝ่ายในเห็นนางในสภาพเช่นนี้ จึงตกใจ จึงรีบวิ่งเหยาะๆ ออกไป
ภายในเรือน ไทเฮาได้แต่ยิ้มแล้วตีมือของหวงฝู่เย่าเย่ว์เบาๆ “แม่รู้ว่าเจ้าไม่พอใจอวี้เอ๋อร์ แต่อย่างไรเสียนางก็เคยเป็นสนมที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมาก่อน ไม่มีตำแหน่ง ตอนนี้นางคงอึดอัด เจ้าน่ะ ใจกว้างเสียหน่อย ให้ตำแหน่งกับนาง ส่วนตำแหน่งเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจความหมายของนางเป็นอย่างดี จึงยิ้มรับ “เข้าใจแล้วเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันกลับไปจะจัดการทันทีเพคะ”
ไทเฮาสบายใจ ตีมือของนางเบาๆ แล้วบอกว่า “ลูกของข้ามีเจ้าเป็นฮองเฮา คงเป็นเพราะบุญที่เขาได้ทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อนสินะ”
หลิวอวี้เอ๋อร์กลับมาที่ตำหนัก ความโกรธที่คับคั่งอยู่ไม่ได้ระบายออกมา จึงหยิบแจกันในตำหนักขว้างลงกับพื้น แต่ก็โดนกูกูผู้ดูแลห้ามเอาไว้ “แม่นางอวี้เอ๋อร์ หากท่านยังทำเช่นนี้อยู่ วันหน้าตำหนักของเราคงว่างเปล่านะเพคะ”
มือของหลิวอวี้เอ๋อร์หยุดกลางอากาศ
กูกูผู้ดูแลรีบเอาแจกันออกจากมือของนางไปวางไว้ที่เดิม โล่งอก ปลอบใจนางว่า “หากในใจฝ่าบาทมีแม่นาง เดี๋ยวฝ่าบาทก็ทรงคิดถึงท่านในไม่ช้า ท่านต้องใจเย็นๆ แล้วรอต่อไปนะเพคะ”
แต่เสียงปลอบใจนี้ไม่เข้าหูของหลิวอวี้เอ๋อร์หรอก มีเพียงแค่นางเท่านั้น ที่รู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากที่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับมาที่ตำหนักหลวนเฟิ่ง คิดอยู่นาน เสร็จแล้วก็สั่งให้ผู้ดูแลไปประกาศราชโองการที่ตำหนักฉู่ลี่
“ฮองเฮามีรับสั่ง แต่งตั้งหลิวอวี้เอ๋อร์เป็นเจี๋ยอวี๋ ให้ออกจากตำหนักฉู่ลี่และย้ายไปที่ตำหนักซิ่วลี่ ณ บัดนี้”
ทุกคนในตำหนักฉู่ลี่ดีใจเป็นอย่างมาก ก้มลงกราบขอบพระคุณ มีแต่เพียงหลิวอวี้เอ๋อร์ที่นั่งก้มหน้า มองพื้นด้วยความคับแค้นใจ อยากจะตบนังหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่นให้รู้แล้วรู้รอด
ท่าป๋าหั่นหลินได้ยินผู้ดูแลมารายงาน มือที่กำลังอ่านฎีกาอยู่หยุดชะงักไปเล็กน้อย เสร็จแล้วก็อ่านฎีกาต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอมาถึงตอนกลางคืน การกระทำของเขากลับดูดิบเถื่อนขึ้นกว่าเดิมมาก
หลายวันติดกัน ท่าป๋าหั่นหลินไปแต่ตำหนักเฟิ่งหลวน อยู่นานวันเข้า จนสุดท้ายก็พักที่ตำหนักนี้ไปเสียเลย
ทุกคนเห็นดังนั้น ดีใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกหมิงเย่ว์ ที่ได้เห็นสีหน้าที่เบิกบานของหวงฝู่เย่าเย่ว จึงถอนหายใจเฮือกยาวออกมาด้วยความโล่งใจ
ข่าวจากวังหลวงแพร่สะพัดออกไปไวนัก เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานฮองเฮาเพียงผู้เดียวนั้น ไม่เพียงแต่คนในวังเท่านั้นที่รู้ ขนาดชนชั้นสูงและชาวบ้านธรรมดายังได้ยินข่าวนี้ ชาวบ้านต่างดีใจเป็นอย่างมาก ส่วนพวกคนที่มีราชโองการลับจากฮ่องเต้องค์ก่อนกลับนั่งไม่ติด จึงรวมตัวเพื่อปรึกษากัน แล้วตัดสินใจว่าจะดูเชิงไปก่อนสักระยะหนึ่ง หากฮ่องเต้หลงไหลในความงดงามของฮองเฮาจนลืมคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อนล่ะก็ พวกเขาจะถือวิสาสะเข้าไปตักเตือนเอง
ท่าป๋าหั่นหลินลืมจุดประสงค์ที่ไปสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์มาตั้งนานแล้ว ในใจมีแต่นาง เมื่อห่างจากนาง ขนาดไปแค่ห้องทรงพระอักษรอ่านฎีกายังไม่สามารถข่มใจลงได้ ในทุกวันหลังจากประชุมเช้าเสร็จ จะสั่งให้คนไปเรียกหวงฝู่เย่าเย่ว์มาเสวยพระกายาหารเช้ากับเขา แล้วจูงมือนางไปที่ห้องทรงพระอักษรด้วยกัน
ตั้งแต่ตอบรับอภิเสกกับท่าป๋าหั่นหลิน ในส่วนของธรรมเนียมการเป็นฮองเฮาต่างๆ หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้เชิญคนมาสอนนางโดยเฉพาะ สิ่งแรกคือห้ามยุ่งเรื่องการบ้านการเมือง ดังนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์แม้จะไปอยู่ในห้องทรงพระอักษร แต่ก็นั่งอยู่ด้านข้าง อ่านหนังสือไปเงียบๆ หรือไม่ก็ฝนหมึกให้กับท่าป๋าหั่นหลิน ในส่วนของฎีกาที่กองเป็นภูเขานั้น นางไม่ได้แลเลยแม้สักนิด
หนึ่งวันสองวันผ่านไป ท่าป๋าหั่นหลินสังเกตได้ จึงจงใจเอาฎีกาที่ไม่ได้สำคัญมากไปวางไว้ตรงหน้านาง ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าลำบากถึงเพียงนี้ ฮองเฮาช่วยข้าแบ่งเบาทีเถิด”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำหน้าลำบากใจ แล้วดันเล่มฎีกากลับไปที่เขา พร้อมพูดโน้มน้าวว่า “ฝ่าบาท โบราณว่าเกิดเป็นหญิงไม่ควรข้องเกี่ยวกับการบ้านการเมือง หม่อมฉันก็เช่นกัน หากฝ่าบาทเหนื่อย หม่อมฉันจะช่วยนวดหลัง ให้ท่านได้ผ่อนคลายนะเพคะ ส่วนเรื่องฎีกา ท่านตรวจเองเถิดเพคะ”
“นี่ก็เป็นการอบรมจากจวนอ๋องของเจ้างั้นหรือ” ท่าป๋าหั่นหลินยิ้มหยอกล้อนาง
หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ฝ่าบาทพูดถูกเพคะ ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าสอนข้ามา ว่าฮองเฮาก็มีหน้าที่ของฮองเฮา มิอาจก้าวก่ายได้เพคะ”
“หากว่าข้าต้องการให้เจ้าช่วยดูล่ะ” ท่าป๋าหั่นหลินมีสีหน้าสนุก ยิ้มไปถามไป
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขมวดคิ้วมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน
ท่าป๋าหั่นหลินกวักมือเรียก
หวงฝู่เย่าเย่ว์ลุกขึ้น เดินไปที่ตรงหน้าเขา
ท่าป๋าหั่นหลินบอกให้นางก้มลง แล้วก็กระซิบบอกนางข้างๆ หู
หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หน้าแดง เงยหน้าขึ้น ได้แต่มองจ้องไปที่เขา
นานๆ จะได้เห็นนางเป็นเช่นนี้ ท่าป๋าหั่นหลินอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงแอบหัวเราะออกมาเบาๆ “ฮองเฮา ข้อแลกเปลี่ยนนี้เป็นเช่นไร”
หวงฝู่เย่าเย่ว์หน้าแดงก่ำ แล้วกลับไปที่นั่งของตนตามเดิม หยิบฎีกาเหล่านั้นขึ้นมา เอาเล่มบนสุดมาเปิดออกแล้วอ่านอย่างตั้งใจ
ท่าป๋าหั่นหลินยิ้มมองนางแล้วพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะรอคอยค่ำคืนนี้ของข้าสินะ”
ตอนนี้ ท่าป๋าหั่นหลินกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ตัวติดกันตลอดเวลา ตอนกลางวันก็อ่านฎีกาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร ส่วนตอนกลางคืน ท่าป๋าหั่นหลินก็นอนตำหนักหลวนเฟิ่ง นี่เป็นสิ่งที่นางสนมในวังทุกคนต่างอิจฉาตาร้อน และทำให้พวกนางไม่พอใจเป็นอย่างมาก และในนั้น ยังมีบุตรสาวของอัครเสนาบดีและบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลังอยู่ด้วย เป็นนางสนมของฮ่องเต้เหมือนกัน ฮองเฮาได้เป็นที่โปรดปรานมากกว่าคนอื่น ยังพอเข้าใจได้ แต่ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ยอมแบ่งใครแบบนี้ พวกนางไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ทั้งสองคนคิดไตร่ตรองดูแล้ว อดรนทนไม่ไหว จึงส่งจดหมายกลับไปที่จวนของตน ให้ครอบครัวคิดหาวิธี
อัครเสนาบดีได้รับจดหมาย หลังจากที่สืบสาวราวเรื่องแล้วเรียบร้อย ก็รีบเรียกเสนาบดีกรมคลังกับเสนาบดีกรมทหารไปที่จวนเพื่อปรึกษา ส่วนคุยเรื่องอะไรนั้น ไม่มีใครรู้ แต่ว่าบุตรสาวของอัครเสนาบดีคนนี้คงไม่มีวันได้รู้ ว่าการส่งจดหมายกลับจวนไปในครั้งนี้ของนาง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นางได้พบกับชีวิตที่น่าอนาถ
พริบตาเดียว ผ่านไปสามเดือนกว่า ในตอนเช้าตรู่ ที่ท่าป๋าหั่นหลินไปประชุมเช้าปกติ หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายตนเองนั้นอ่อนล้าผิดปกติ ตอนที่ใส่ชุดให้ท่าป๋าหั่นหลินเสร็จ มองเขาเดินออกไปแล้ว พอกลับไปนอนที่เตียง กะจะหลับสักประเดี๋ยวเดียว แต่คิดไม่ถึงว่า จะรู้สึกเจ็บท้องเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ก็อาเจียนออกมาเสียแล้ว
“ฮองเฮาเพคะ!” พวกหมิงเย่ว์ตกใจ รีบล้อมเข้ามา ทุบหลังเอย ไปเทน้ำเอย กันให้จ้าละหวั่น
นอกห้อง พอผู้ดูแลได้ยินดังนั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ยังไม่ทันสั่งให้เข้ามา เขาก็รีบถามโดยทันทีว่า “ฮองเฮาเป็นอะไรงั้นรึ”
ฮองเฮาเป็นที่โปรดปราน บ่าวรับใช้อย่างพวกเขาก็จะได้ดิบได้ดีไปด้วย เวลาเดินในวังก็สามารถเชิดหน้าชูคอได้สบายๆ ถ้าฮองเฮาเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าเอาที่ฮ่องเต้โปรดปรานมาเป็นประเด็นหลักล่ะก็ ชีวิตบ่าวรับใช้อย่างพวกเขาคงไม่รอดอย่างแน่นอน
ในห้องต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันอยู่ จึงไม่มีเสียงตอบรับ
ขันทีปั๋วยืนเหงื่อแตกพลั่กอยู่ด้านนอก
ความรู้สึกผะอืดผะอมกำเริบออกมาไม่หยุด หวงฝู่เย่าเย่ว์อาเจียนตลอดเวลา พวกหมิงเย่ว์ก็เหงื่อออกเต็มไปหมด ถามว่า “ฮองเฮาเพคะ ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หรือว่าเสวยอะไรผิดสำแดง บ่าวจะไปตามหมอหลวงมาเพคะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์อาเจียนจนพูดไม่ได้ แต่โบกมือ บอกให้นางไม่ต้องรน
พอผ่านไป หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หยุดอาเจียน บ้วนปากเสร็จ แล้วนอนลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยงแรง
พวกหมิงเย่ว์จึงรีบเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็เปิดม่านหน้าต่างออกเล็กน้อย ให้ห้องได้ระบายอากาศ จากนั้นก็มาล้อมรอบที่ตัวของหวงฝู่เย่าเย่ว์ มองนางอย่างเป็นห่วง
หวงฝู่เย่าเย่ว์นอนนิ่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ฮองเฮาเพคะ” กลัวว่าจะทำให้นางตกใจ หมิงเย่ว์จึงเรียกนางเบาๆ
หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้สติ แล้วมองไปที่นาง
“ให้บ่าวไปตามหมอหลวงมาเถิดเพคะ สีหน้าของท่านซีดจนหน้ากลัวเชียว”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกมาจับไปที่หน้าของตนเอง
“ชัดขนาดนั้นเลยหรือ”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน
“หรือว่า… …” พูดกับพึมพำออกมา แต่พูดได้สองคำ ก็ไม่ได้พูดต่อ
พวกหมิงเย่ว์ก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ได้ยินแค่สองคำ จึงมองหน้ากัน แล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับออกคำสั่งว่า “เวลานี้ หมอหลวงยังไม่ได้เข้าวัง ข้าจะพักผ่อนเสียก่อน พอพวกเขาเข้ามา ค่อยไปเชิญพวกเขาเข้ามาแล้วกัน”